รู้ลึกเรื่องรถ
รถของเราทนทานแค่ไหน
ผมเชื่อว่าผู้ใช้รถที่ถนอมรถทุกคน ที่ต้องการใช้รถให้คุ้มค่า คงจะต้องการหรือเคยต้องการทราบว่า รถเก๋งที่พวกเราขับกันอยู่นี้ ถ้าใช้ให้ถูกวิธีที่ผู้สร้างเขาตั้งใจไว้ มันจะทนทานหรือมีอายุใช้งานยืนนานเท่าใด ซึ่งเป็นที่เข้าใจกันดีว่าใช้ระยะทางเป็นเกณฑ์ ไม่ใช้ระยะเวลาหรืออายุของรถ และระยะทางที่รถสามารถ "ทำได้" โดยไม่ต้องซ่อมใหญ่ โดยเฉพาะเครื่องยนต์แล้วถือกันว่าทนทาน ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ครับ จาก 100,000 กม. หรือหลาย 10 ปีก่อน มาจนถึง 400,000-500,000 กม. ในขณะนี้ ถ้าให้ทายว่าเพราะเหตุใด ผมเชื่อว่าส่วนใหญ่คงอยากตอบว่า เพราะความก้าวหน้าทางด้านโลหะวิทยาและการนำวัสดุที่ค้นพบหรือประดิษฐ์ได้ มาใช้กับรถของเรา บางคนก็เชื่อว่าเป็นเพราะคุณภาพของน้ำมันหล่อลื่นสูงขึ้น โดยเฉพาะในด้านการป้องกันการสึกหรอ ไม่มีใครยืนยันหรือตัดสินให้เด็ดขาดลงไปได้ครับ เพราะมีปัจจัยอื่นมาเกี่ยวข้องอีกมาก ไม่ใช่ผมไม่มีคำตอบให้นะครับ แต่คำตอบจะเป็นเช่นใดนั้น ขึ้นอยู่กับวิจารญาณของผู้ที่ต้องการหาคำตอบแต่ละคนด้วย อ่านเรื่องนี้จบแล้วได้คำตอบแน่ครับและไม่จำเป็นต้องเหมือนกันด้วยถ้าจะหาหลักฐานมาประกอบ คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการหารถที่ผ่านการใช้งานมามากเป็นพิเศษ โดยเจ้าของที่บำรุงรักษาและขับมันอย่างถูกต้องตามหลักวิชา และต้องมีพยานยืนยันได้อย่างเป็นทางการด้วย อะไรจะดีไปกว่าการไปหาหลักฐานจากผู้ครอบครองสถิติโลกครับ อย่าเพิ่งเหลือบมองไปด้านล่างครับ ลองทายกันดูก่อนว่า ระยะทางที่ถูกใช้งานของรถที่ครองสถิติโลก "รถยนต์ที่ถูกครอบครองโดยผู้เดียวตั้งแต่ถูกผลิตและยังใช้เครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อนเดิม ไม่ถูกใช้งานในเชิงพาณิชย์ ซ่อมใหญ่ ซ่อมบำรุงได้ ไม่ห้าม และมีระยะทางใช้งานรวมมากที่สุด" นั้นน่าจะกี่ กม. เจ้าของรถที่ครองสถิติโลกรายนี้ เป็นชาวสหรัฐอเมริกา ครับ มีอาชีพเป็นครูสอนวิทยาศาสตร์ อายุ 70 ปี หยุดพักทายกันได้แล้วครับ ว่ารถส่วนตัวของ เออร์ว์ กอร์ดอน ผู้นี้ผ่านการใช้งานมาแล้วกี่ กม. เออร์ว์ ซื้อรถคันนี้เมื่อ ปี 1966 เป็นรถ โวลโว สปอร์ท รุ่น P1800 สีแดง หลังจากผิดหวังกับคุณภาพชั้นต่ำของรถที่เคยใช้งานมา 2 คัน ผลิตในสหรัฐอเมริกาทั้งคู่ เพื่อนสนิทของ เออร์ว์ ทราบปัญหานี้เข้าจึงแนะนำให้ไปลองขับ โวลโว P1800 เออร์ว์ เป็นคนจริงจัง และเข็ดหลาบกับการต้องใช้รถห่วยอยู่พอดี เลยลองขับรถคู่ชีพในอนาคตคันนี้อยู่ 5 ชม. เต็ม ตามมาด้วยการลงชื่อในสัญญาซื้อทันที ในราคา 4,150 เหรียญสรอ. ซึ่งเท่ากับรายได้ของ เออร์ว์ "ฝรั่ง" ถือว่ามากครับ แต่พวกเราถือว่าน้อย ลองเอารายได้ของครูมัธยมชาวไทยต่อปี หารด้วยราคารถสปอร์ทจากยุโรปดูก็ได้ครับ ว่าจะออกมาสักกี่ 10 ปี โวลโว คันนี้สร้างความประทับใจหลังการทดสอบ รวมทั้งรูปลักษณ์ทั้งภายนอก และภายใน ให้แก่เออร์ว์ อย่างมาก ถึงขนาดขายรถ เชฟโรเลต์ ให้แก่ตัวแทนจำหน่าย โวลโว ทันที รวมกับเงินของตนเอง แล้วก็ยังไม่พอ ขอยืมเพื่อนมาโปะจนครบ แล้วขับออกมาทันที ผมไม่แปลกใจในความหลงใหลเจ้า P1800 ของ เออร์ว์ หรอกครับ โดยเฉพาะในยุคนั้น ที่คุณภาพและสมรรถนะของรถยุโรป สูงกว่ารถของสหรัฐอเมริกาอย่างมาก เออร์ว์เล่าว่า ภายใน 48 ชม. แรกหลังจากขับออกจากร้าน เขาขับไป 2,400 กม. ขอตัดตอนมาเฉลยระยะทางที่ เออร์ว์ ควบเจ้า P1800 สีแดงคันนี้ มา 45 ปีเต็มก่อน 4,500,000 กม. ครับ เป็นค่าอย่างน้อย เพราะเออร์ว์ ขับมันเพื่อเพิ่มระยะทางทุกวัน ผมคำนวณมาจากระยะทางที่ใช้หน่วยเป็นไมล์ คือ 2,800,000 ไมล์ เป้าหมายของ เออร์ว์ ซึ่งครอบครองสถิติโลกมาเป็น 10 ปีแล้ว เพราะไม่มีใครตามทัน คือ ใช้รถคันนี้ให้ครบ 3,000,000 ไมล์ ในวันเกิดปีที่อายุ 73 คือ วันที่ 15 กค. 2014 ช่วง 10 ปีแรก เออร์ว์ ขับรถคันนี้ไป 800,000 กม. เฉลี่ยวันละกว่า 200 กม. ดูเหมือนไม่มากนะครับ แต่ถ้าหารแบบไม่รวมวันหยุด ก็จะได้ค่ามากกว่านี้ แรกเริ่มเดิมทีก็เป็นการใช้รถแบบธรรมดาของคนที่มีที่ทำงานห่างไกลจากบ้านเท่านั้นเองครับ แต่การที่ เออร์ว์ ไม่ย้ายที่ทำงาน ไม่ย้ายบ้าน และไม่เปลี่ยนรถด้วย ทำให้ระยะทางที่ใช้รถคันนี้เริ่มเข้าข่ายติดอันดับสถิติโลก เออร์ว์ จึงขับรถมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยการท่องเที่ยวทางไกล เออร์ว์ ไปมาทั่วทุกรัฐแล้ว ระยะทางที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ ไกลกว่าระยะทางระหว่างโลกกับดวงจันทร์ถึง 5 เท่า ตลอด 45 ปี ที่ใช้มา รถคันนี้ไม่เคยเสียกลางทางเลยแม้แต่ครั้งเดียว ถูกผู้หญิงชนท้าย 1 ครั้ง ถูกรถโรงเรียนชนท้าย 2 ครั้ง เออร์ว์ บำรุงรักษารถเอง โดยถือหลักปฏิบัติตามตารางบำรุงรักษาของบริษัท โวลโว อย่างเคร่งครัด ใช้อะไหล่แท้ทุกชิ้น ยกเว้นงานซ่อมที่เกินกำลังเท่านั้น เออร์ว์ จึงจะใช้บริการของช่างประจำฝีมือดี เออร์ว์ เปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุกๆ 5,000-6,000 กม. ตอนที่ เออร์ว์ ซื้อรถคันนี้มา ยังไม่มีน้ำมันสังเคราะห์ล้วนในตลาดอยู่แล้วครับ แม้ปัจจุบัน เออร์ว์ ก็ยังใช้น้ำมันเครื่องแบบเดิมมาตลอด เมื่อมีประเด็นเกี่ยวกับความทนทานของเครื่องยนต์ บรรดาผู้รักรถ ถนอมรถ ย่อมจะต้องหูผึ่ง ตัวเกร็ง เพราะความอยากรู้ทันทีครับว่า เออร์ว์ ใช้น้ำมันเครื่องตราใด และรุ่นไหน ผมขอไม่เอ่ยถึงครับ ไม่ใช่ความลับอะไรหรอกครับ แต่ไม่มีความโปร่งใสชัดเจนเพียงพอ เออร์ว์ มักจะพยายามเลี่ยงการตอบคำถามนี้ ถึงตอบก็แบบ "ไม่เต็มปาก" วงในลือกันว่า เออร์ว์ ไม่ได้ใช้น้ำมันเครื่องตราที่อ้างตลอด คาดว่ามาเอ่ยถึงตรงนี้เมื่อมีการตกลงผลประโยชน์ตอบแทนกันอย่างไม่เป็นทางการ และผมเชื่อว่าน่าจะเป็นเช่นนี้จริง อย่าเพิ่งผิดหวังครับ ในประเด็นนี้ผมขอให้คำตอบจากการติดตามบรรดารถจอมอึดมาหลายคัน หลายตราด้วยกัน ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ เลย กับน้ำมันเครื่องตราใดหรือรุ่นใด เจ้าของรถเหล่านี้ มักเป็นผู้เห็นค่าของเงินเป็นพิเศษ ดูแลรักษารถเอง ขับแบบถนอม ด้วยเทคนิคเฉพาะตัว ส่วนใหญ่ซื้อน้ำมันเครื่องรุ่นธรรมดา ตราที่ยอมรับกันทั่วไป จากห้างค้าปลีกใหญ่ ที่ขายราคาถูกกว่าท้องตลาด แล้วนำมาเปลี่ยนเอง เออร์ว์ ซ่อมใหญ่ หรือโอเวอร์ฮอลเครื่องยนต์ไป 2 ครั้งครับ เปลี่ยนเฉพาะชิ้นส่วนที่สึกหรอไม่กี่อย่าง เกียร์และเฟืองท้าย ยังเป็นชุดเดิมหมด และไม่เคยต้องซ่อมใหญ่เลย ถ้าจำไม่ผิด เปลี่ยนพวกซีลกันรั่วกับแหวนซินโครเมชของเกียร์ 3 ไปเท่านั้น เออร์ว์ เปลี่ยนน้ำมันเกียร์และเฟืองท้ายทุกๆ ประมาณ 35,000 กม. โวลโว ให้รถเก๋งใหม่ตอบแทนแก่การสร้างชื่อเสียง และความ "จงรักภักดี" แก่ เออร์ว์ ไป 2 คันแล้ว ตอนครบ 1 และ 2 ล้านไมล์ ไม่มีใครทราบว่า เออร์ว์ จะได้อะไรเป็นของขวัญ เมื่อครบ 3 ล้านไม่ เมื่อถูกถามว่าต้องการทำให้ถึง 4 ล้านไมล์หรือไมล์ ? เออร์ว์ บอกว่ารถนั้นน่าจะไหว แต่เจ้าของรถน่าจะหมดหวังเพราะอายุเป็นสิ่งจำกัด เมื่อถูกถามต่อว่าจะทำอะไรกับรถคันนี้ เมื่อครบ 3 ล้านไมล์ (ประมาณ 4,830,000 กม.) เออร์ว์ บอกว่าอยากขายให้ใครก็ได้ ในราคาไมล์ละ 1 เหรียญสรอ. หรือ 3 ล้านเหรียญสรอ. (ประมาณ 90 ล้านบาท) ผมไม่ได้อิจฉา แต่เห็นว่าแพงไปหน่อย ถ้ามีเงินพอ ผมขอซื้อรถคลาสสิค รุ่นที่ดี สวย และหายาก เพราะผลิตจำนวนน้อยดีกว่า เดายากครับว่าจะมีผู้ต้องการเห็นรถเก๋งที่ครองสถิติโลก 3 ล้านไมล์ตัวจริงมากหรือไม่ ? ผมคิดว่าไม่ เพราะมองดูเหมือนรถรุ่นเดียวกันคันอื่นๆ ที่ผลิตออกมาเกิน 40,000 คัน ถึงจะชำรุดสูญหายไปแล้วก็ยังเหลืออยู่ทั่วโลกอีกมาก คงไม่มีพิพิธภัณฑ์ไหนกล้าลงทุนซื้อ เพราะอาจเก็บค่าชมได้ไม่คุ้มกับราคาที่ซื้อมา ผมไม่แน่ใจว่ามีการบันทึกสถิติโลกที่ใช้หน่วยระยะทางเป็น กม. ในระดับความสำคัญเท่ากับเป็นไมล์หรือไม่ ถ้ามี เออร์ว์ อาจจะต้องขับต่ออีก แค่ 100,000 กว่า กม. เพื่อให้ครบ 5,000,000 กม. ในระบบเมตริกที่ใช้กันในทวีปยุโรป ความกังวลของผู้ที่ครอบครองสถิติโลกในด้านต่างๆ นั้น คงเหมือนกันหมด คือ กลัวว่าจะมีใครมาทำลายสถิติของตนเอง ในเวลาอีกไม่นาน บางรายก็พยายามทำใจครับ เพราะรู้ตัวว่าโดนแน่ในเวลาอีกไม่นาน โดยเฉพาะสถิติที่เป็นค่าตายตัว เช่น ทำเวลาน้อยที่สุด ทำความเร็วสูงสุด หรือ ฯลฯ แต่สถิติโลกในกรณีของ เออร์ว์ เป็นระยะทางที่มีสิทธิ์เพิ่มเติมได้ตลอดเวลา เออร์ว์ จึงไม่อยากหยุดง่ายๆ แม้จะมองไปที่อันดับ 2 ก็หมดห่วงเพราะไม่น่าจะมาแซงได้ แค่ตามมาให้ใกล้ก็ยังยากครับ เจ้าของสถิติโลก ไม่ว่าในด้านใด เป็นมนุษย์พิเศษทั้งนั้นครับ ถ้าไม่มี "พรสวรรค์" เป็นพิเศษ ก็มีความตั้งใจ อดทน เป็นพิเศษ เลียนแบบได้ยากมาก ลองมาวิเคราะห์กันดูครับว่า เออร์ว์ ทำสำเร็จเพราะอะไร เป็นความเห็นส่วนตัวของผม ไม่จำเป็นต้องถูกต้องนะครับ แต่ผมเชื่อว่าเกือบทุกข้อน่าจะถูกต้อง เพราะผมสนใจ และค้นคว้า เรื่องความทนทานของรถมาหลาย 10 ปีแล้ว คงพอเชื่อได้บ้างครับ 1. เออร์ว์ มีโอกาสดี ที่เริ่มต้นตั้งแต่อายุยังน้อย คือ 26 ปี เพราะภารกิจนี้ขึ้นอยู่กับเวลาด้วย เช่น มนุษย์ไม่สามารถขับรถทั้งวันทั้งคืนติดต่อกัน โดยไม่พักผ่อน 2. ต้องเป็นสิ่งที่เจ้าตัวชอบด้วย ไม่มีใครฝืนใจขับรถทุกวัน วันละหลายร้อย กม. เป็นเวลากว่า 40 ปีแน่ครับ แน่นอนว่าจุดประสงค์ในช่วงหลังนี้เปลี่ยนไป เพราะ เออร์ว์ มีเป้าหมายในการขับให้ครบระยะทางหนึ่ง ในกำหนดเวลาหนึ่งเสมอ เช่น ให้ครบ 3 ล้านไมล์ ในวันที่อายุครบ 73 ปี เป็นต้น 3. ต้องเป็นผู้ที่ชอบหรือรักรถนั้น มิฉะนั้นคงใช้มันเป็นเวลานานขนาดนี้ไม่ได้แน่ครับ ซึ่งต้องถือว่าเป็นโชคอย่างหนึ่งของ เออร์ว์ ที่เพื่อนแนะนำให้รู้จัก โวลโว P 1800 คันนี้ ที่นอกจากไว้วางใจได้ ไม่เสียจุกจิกแล้ว ยังสวยและมีเสน่ห์ด้วยเอกลักษณ์หลายอย่าง 4. ต้องโชคดีที่ได้รถที่น่าขับ มีความทนทาน ไว้วางใจได้ ไม่เสียจุกจิก หรือเสียกลางทาง 5. เจ้าของรถต้องเป็นพวกอนุรักษนิยมอย่างมาก เพราะเมื่อเวลาผ่านไปเป็น 10 ปี เทคโนโลยียานยนต์ ก้าวหน้าไปมาก ทั้งด้านความสะดวกสบาย และความปลอดภัย ใครที่ไม่เข้าข่ายนี้ มักจะทนความเย้ายวนของคุณภาพ และสมรรถนะของรถรุ่นใหม่ ไม่ไหว 6. ถึงคุณสมบัติใน ข้อ 4 จะสำคัญ แต่ก็ไม่เท่ากับคุณสมบัติของ เออร์ว์ เองครับ ผมเชื่อว่ายังมีรถตราอื่นอีก แม้จะไม่มาก หาก เออร์ว์ เลือกใช้ใน ปี 1966 แทน P 1800 คันนี้ ก็สามารถช่วยให้ เออร์ว์ ทำสถิติโลกได้เหมือนกัน แม้การซ่อมแซม และการบำรุงรักษาอาจจะมากกว่านี้ อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่า ความทนทานของรถตรานี้ก็มีส่วนช่วยอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะในบรรดารถที่ถูกใช้ระยะทางมากเป็นพิเศษ โดยมีหลักฐานที่เชื่อถือได้ รถตรานี้ก็ติดกลุ่มในจำนวนที่มากจนสังเกตได้ง่าย 7. ข้อนี้สำคัญมากครับ เออร์ว์ ไม่ใช่ผู้ใช้รถปกติทั่วไป นอกจากเป็นครูวิทยาศาสตร์ที่ความรู้ของเขา ช่วยให้เข้าใจระบบต่างๆ และภาระของมันได้ดีกว่าผู้ใช้รถทั่วไป ทั้งเรื่องความร้อน แรงกระทำต่างๆ แรงเสียดทาน ความสึกหรอ ฯลฯ แล้วผมเชื่อว่า เออร์ว์ ต้องเป็นคนที่มีความละเอียดอ่อนเป็นพิเศษ วิธีขับรถของ เออร์ว์ ไม่ธรรมดาแน่ครับ มิฉะนั้นคงไม่มีผลงานระดับนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ ผมขอยกตัวอย่างแบบไม่ครบก็คงพอนะครับ * ซ่อมใหญ่เครื่องยนต์เพียง 2 ครั้งในการขับระยะทาง 5,000,000 กม. * เปลี่ยนผ้าเบรค หลังใช้งานเกิน 160,000 กม. (100,000 ไมล์) ทุกครั้ง * เปลี่ยนผ้าคลัทช์ หลังใช้งานเกิน 500,000 กม. * ฟันเฟืองในห้องเกียร์ และเรือนเฟืองท้ายชุดแรกจากโรงงาน ยังอยู่ในสภาพใช้งานได้ปกติ หลังถูกใช้มา 4,800,000 กม. ขนาด เออร์ว์ เห็นการเปลี่ยนเกียร์ของผู้ขับระดับเฉลี่ยทั่วไป รวมทั้งการถอนแป้นคลัทช์เพื่อให้ชุดคลัทช์ถ่ายทอดแรงขับเคลื่อน เออร์ว์ ยังให้ความเห็นว่า คนสมัยนี้ช่างใช้รถอย่างรุนแรงเกินเหตุกันทั้งนั้น 8. การใช้แต่อะไหล่แท้ของผู้ผลิตรถนั้น ย่อมมีผลต่ออายุใช้งานแน่นอน 9. เออร์ว์ พิสูจน์ให้พวกเราเห็น เหมือนบรรดาผู้ครอบครองรถที่ขับได้ หลายแสน หรือเกินล้าน กม. อีกนับร้อยคนทั่วโลก ว่าไม่จำเป็นต้องเสียเงินมากกับการซื้อน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ล้วน 100 % ซึ่งราคาสูงกว่าหลายเท่าครับ การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะทางที่ผู้ผลิตกำหนด สำคัญกว่า และเพียงพอด้วย ไม่จำเป็นต้องแสดงความรักความถนอมเป็นพิเศษ ด้วยการเปลี่ยนบ่อยเกินกำหนด ในกรณีของ เออร์ว์ เปลี่ยนทุก 5,000-6,000 กม. ซึ่งถือว่าสั้นมาก ผมเชื่อว่าถ้า เออร์ว์ เปลี่ยนทุกๆ 8,000-9,000 กม. เครื่องยนต์ของ เออร์ว์ ก็จะทำงานได้ดีจนถึง 5 ล้าน กม. อยู่ดีละครับ ใครที่ใช้น้ำมันเครื่องแท้ ชั้นดี แล้วเปลี่ยนทุก 3,000 กม. เอา 2 คูณ แล้วเอาเงินที่ประหยัดได้ ไปบริจาคให้ผู้สมควรได้รับดีกว่า ประเสริฐสุดแล้วครับ
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2555
คอลัมน์ Online : รู้ลึกเรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/85045