รู้ไว้ใช่ว่า
ไม่ใช่เหตุสุดวิสัย
เวลามีเหตุบนถนน รถเฉี่ยวชนกัน ฝ่ายที่ดูท่าว่าจะต้องรับผิด ต้องเสียเงิน ต้องเข้าห้องกรง หรืองานเข้า มักนึกถึงคำว่า "เหตุสุดวิสัย" จะได้อ้างว่าตนไม่ประมาท เพื่อเอาตัวรอด ผู้ที่ชี้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัยหรือไม่ ไม่ใช่คู่กรณี หรือตำรวจ หากเรื่องถึงอัยการหรือศาล เป็นหน้าที่ของอัยการหรือตุลาการครับผม ลองดูคดีนี้เป็นตัวอย่างก็แล้วกัน
เรื่องเกิดขึ้นเมื่อ "นส. หนูแมว" อายุยังมีเลข 2 นำหน้า เป็นหญิงมาดมั่น ขับรถไปไหนได้สบาย คืนนั้นราวๆ 3 ทุ่ม เธอขับรถยนต์ไปตามลำพัง แล้วจอดติดไฟแดงอยู่ในกทม. นี่แหละ จู่ๆ มีชายไทยประพฤติตัวเป็นคนร้าย เปิดประตูเข้าไปนั่งคู่กับ นส. หนูแมว เท่านั้นไม่พอ ยังใช้ระเบิดมือขู่ให้เธอขับรถไปแต่โดยดี ห้ามยึกยักขัดขืน ไม่งั้นเละ
นส. หนูแมว ชื่อน่ารัก แต่สมัยนี้ถือว่าเชยระเบิด ก็แปลกเป็นทั้งหนูทั้งแมวในคนๆ เดียว หายาก เธอตกใจเป็นอันมาก เป็นผู้หญิงด้วยยิ่งหนัก ไม่กล้าขัดขืน รีบเหยียบคันเร่งพารถเดินหน้า ฝ่าไฟแดงแล้วเลี้ยวซ้าย ขณะนั้นมีรถเก๋งสวนมาคันหนึ่ง เมื่อเห็นรถของ นส. หนูแมว ฝ่าไฟแดง จึงหยุดรถ แต่ไม่รอด รถของ นส. หนูแมว แถเข้าชน รถทั้ง 2 คันเสียหาย เดินหน้าไม่ได้ คนร้ายพยายามมุดออกจากรถ แต่เธอช่างกล้า จับขาดึงไว้ แล้วตำรวจมาถึงพอดี ช่วยจับไว้ได้ ไม่รู้นะ เธออาจตั้งใจขับชน เพื่อหาทางหยุดรถและเอาตัวรอด ไม่ไปกับโจร ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะให้ไปไหน ทำอะไร แค่คิดก็หวาดเสียวจะแย่
ผู้พิพากษาท่านอยู่ดีๆ เรื่องที่เกิดขึ้นกับ นส. หนูแมว วิ่งไปหาจนได้ เมื่อรถเก๋งเขาทำประกันไว้กับ "บริษัท ไว้ใจได้แน่ประกันภัย จำกัด" ซึ่งปฏิบัติตัวสมชื่อ ยอมจ่ายค่าซ่อมรถเก๋ง แล้วใช้สิทธิ์ไล่เบี้ย เรียกร้องเงินจาก นส. หนูแมว พร้อมดอกเบี้ย ตั้งข้อหาว่าเธอขับรถประมาทชนรถเก๋งจนเสียหาย ต้องรับผิดชอบ
นส. หนูแมว ไม่ยอมจ่าย จ้างทนายสู้คดี ให้การว่า ขณะเกิดเหตุ หนูเป็นหญิงลำพังผู้เดียว กลางคืนอีกต่าง หาก ถูกคนร้ายซึ่งมีระเบิดมือขู่เข็ญเพื่อชิงทรัพย์ หนูจึงต้องป้องกันตัว การชนเกิดจากเหตุสุดวิสัยเพราะโดนคนร้ายขู่เข็ญ จนไม่สามารถควบคุมสติได้ หนูไม่ต้องรับผิด
ศาลชั้นต้นนั่งบัลลังก์พิจารณาคดี ใบหน้าออกแนวเคร่งขรึม ตามธรรมเนียมผู้เป็นตุลาการทั้งหลาย ชาวบ้านจะได้เกรงขาม ฟังพยานหลักฐานจนได้ที่แล้ว เห็นว่า นส. หนูแมว ทำไปขณะตกใจ จึงเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่ต้องรับผิด พิพากษายกฟ้อง บริษัท ไว้ใจได้แน่ประกันภัย จำกัด แพ้คดียกแรก
โจทก์ คือ บริษัทประกันภัย ขึ้นชื่อว่าเป็นมือพโรการค้าความ เดินหน้ายื่นอุทธรณ์ อ้างว่างานนี้ไม่ใช่เหตุสุด วิสัย เพื่อเอาชนะเอาเงินจาก นส. หนูแมว ให้ได้
ศาลอุทธรณ์เพ่งดูแต่สำนวนอยู่ในห้องทำงาน จึงทำหน้าสบายๆ ไม่ต้องเห็นใคร แล้วมองว่า ไอ้คนร้ายมันไม่ได้บังคับให้ขับไปด้วยอาการอย่างไร ให้ขับไปชนรถอื่นหรือไม่ เพราะฉะนั้น นส. หนูแมว ยังต้องใช้ความระมัด ระวัง ตามวิสัยคนขับรถ เมื่อขาดความระมัดระวัง ไปชนรถอื่นเสียหาย ต้องรับผิด จึงพิพากษากลับให้ นส. หนูแมว จ่ายตามโจทก์เขาฟ้องมา พร้อมดอกเบี้ย
จำเลย คือ นส. หนูแมว ซึ่งมาถึงตอนนี้คงจะเปลี่ยนชื่อตามกระแส มีตัวอักษร ณ น ช ญ หรืออะไรก็ได้ ใส่การันต์ลงไปหลายๆ ตัวจนรุงรัง เจ้าของเองยังอ่านออกเสียงไม่ถูก จำไม่ได้ว่าเขียนยังไง เดินหน้าเต็มพิกัด ยื่นฎีกาขึ้นไป ยังไงก็ไม่จ่าย หนูทำไปเพราะตกใจ จนอกก็สั่นขวัญก็แขวน ไม่ได้ประมาทเลยนะคะ ใครมาเจออย่างหนูบ้างถึงจะรู้
ศาลฎีกาซึ่งอายุอานามค่อนข้างเยอะ แต่งานหนัก ใครต่อใครพยายามลากคดีมาสุมไม่ขาด ทำยังไงก็ไม่หมด กัดฟันคว้าคดีนี้มาส่องดู แล้วชี้จนขาด
คดีนี้ได้ความว่า นส. หนูแมว คนเดียวขับรถยนต์ไปในซอยร่วมฤดี ตอนจะออกถนนเพลินจิต ขณะหยุดรถรอสัญญาณไฟ มีคนร้ายเปิดประตูรถเข้าไปนั่งคู่ ใช้ลูกระเบิดมือขู่ บอกให้ขับรถไป เธอตกใจกลัวจึงขับรถฝ่าไฟแดงแล้วเลี้ยวซ้าย พร้อมร้องขอความช่วยเหลือ ขณะนั้นมีรถเก๋งมาจากสี่แยกราชประสงค์จะผ่านปากซอยร่วมฤดี เมื่อเห็นรถของ นส. หนูแมว วิ่งฝ่าไฟแดงออกมา จึงหยุดรถ แล้วรถของ นส. หนูแมว ก็วิ่งมาชน รถทั้ง 2 คันแล่นต่อไปไม่ได้ คนร้ายพยายามหนีออกทางหน้าต่างรถ นส. หนูแมว ใจกล้า จับขาคนร้ายไว้ มีตำรวจมาสมทบพอดิบพอดี ทำยังกะในหนัง จับคนร้ายไว้ได้
ศาลฎีกานั่งเพ่งมองเพดานห้อง จินตนาการต่อไป เมื่อเธอเป็นหญิง อยู่ในรถยนต์ลำพังผู้เดียว เวลากลางค่ำกลางคืน ตั้ง 3 ทุ่ม คนร้ายมันมีอาวุธ เข้ามาบังคับให้ขับรถไป ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำมิดีมิร้ายขนาดไหน ย่อมตกอกตกใจ ขับฝ่าไฟแดงพรวดพราดออกไป ชนรถอื่นโดยไม่ได้เจตนา จะบอกว่าเกิดจากความประมาทของ นส. หนูแมว คงไม่ได้ เพราะอยู่ในภาวะตกตะลึงกลัว จะให้ระมัดระวังเช่นบุคคลปกติไม่ได้หรอก ถือว่ากรณีนี้เป็นเหตุสุดวิสัย ศาลชั้นต้นตัดสินยกฟ้องถูกต้องแล้วละ
ศาลฎีกายอมเวียนหัวอีกหนหนึ่ง พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ตามที่ศาลชั้นต้นว่าไว้
นี่คือตัวอย่างชัดๆ กรณีที่เรียกว่าเหตุสุดวิสัย อันที่จริงเป็นเรื่องขึ้นมาเพราะ นส. หนูแมว เธอไม่ระวัง ไม่ลอครถ จนคนร้ายพรวดพราดเข้าไปในรถได้ง่ายๆ เราๆ ท่านๆ ไม่ว่าหญิงหรือชาย สาวไม่สาว อย่าประพฤติอย่าง นส. หนูแมว เชียวละ เพราะมันอันตราย อีกอย่างการอ้างเหตุสุดวิสัยเพื่อให้พ้นผิด ศาลท่านไม่ค่อยรับฟัง เช่น ยางแตก ลูกปืนล้อรถแตก เพลาขาด คันส่งคันชักหลุด ศาลมองว่า เจ้าของรถหรือคนขับมีหน้าที่ดูแลรักษาตรวจตรา แล้วไม่ทำ เกิดเหตุถือว่าประมาทครับ
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 769/2510
เรื่องโดย : ณรงค์ นิติจันทร์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2556
คอลัมน์ Online : รู้ไว้ใช่ว่า
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/91164