พิเศษ(formula)
แมคลาเรน เอมพี 4-12 ซี สไปเดอร์
รูปแบบที่ไร้หลังคา ทำให้ซูเพอร์คาร์สัญชาติอังกฤษคันนี้ มีภาพลักษณ์โดดเด่น และน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น (เพียงไม่กี่ กก. เมื่อเทียบกับรุ่น คูเป) ก็ไม่ได้รบกวนสมรรถนะของรถเลย
คู่แข่ง
แฟร์รารี 458 สไปเดอร์
ลัมโบร์กินี กัลญาร์โด สไปเดอร์
ผมกำลังตั้งใจดูมือทั้งสองของนักขับทดสอบของเรา ที่กำลังจับพวงมาลัย มันเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย ขณะที่รถทะยานผ่านโค้งไปด้วยความเร็วสูง
แมคลาเรน เอมพี 4-12 ซี สไปเดอร์ ทำหน้าที่ได้อย่างใจและสมบูรณ์แบบ แม้เมื่อรถกวาดตัวออกจากโค้งหักศอก ก็แค่แก้พวงมาลัยเล็กน้อยเท่านั้น โดยเฉพาะเมื่อกดคันเร่งถ่ายทอดพลังเต็มๆ ลงไปบนพื้นถนน มันบอกได้เลยถึงความสมดุลระหว่างช่วงล่างกับตัวถังที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งผ่านการควบคุมของระบบ แอคทีฟ ไฮดรอลิค โรลล์ ซิสเตม ระบบอากาศพลศาสตร์ รวมไปถึงระบบอีเลคทรอนิคต่างๆ ที่ทำงานผสานกัน ส่วนอาการหน้าดื้อโค้ง หรืออันเดอร์สเตียร์แทบไม่ปรากฏ การควบคุมทำได้อย่างยอดเยี่ยม ผลที่ได้ คือ ความเร็วแบบสุดๆ ซึ่งมีผลลัพธ์เป็นตัวเลขเวลาต่อรอบ ซึ่งกว่าคู่แข่งโดยตรงอย่าง ลัมโบร์กินี อเวนตาโดร์ และ แฟร์รารี 458 สไปเดอร์ 1 และ 2 วินาที ตามลำดับ
การขับ เอมพี 4-12 ซี สไปเดอร์ ให้ความประทับใจมาก เริ่มตั้งแต่บานประตูที่เปิดได้อย่างสวยงาม โดยยกบานชี้ขึ้นไปบนฟ้า อีกอย่าง คือ การเข้าไปนั่งอยู่หลังพวงมาลัย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องธรรมดาสำหรับรถคันนี้ เพราะพื้นที่ภายในมีน้อย ขอบธรณีประตูก็กว้าง ซึ่งวัตถุประสงค์ คือ ถูกออกแบบมาเพื่อคลุมเฟรมตัวถังที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์นั่นเอง แต่เมื่อคุณได้เข้าไปนั่งแล้วจะรู้สึกทันทีว่ามันง่าย และเช่นเดียวกับรุ่น คูเป คือ เบาะนั่งทั้ง 2 มีตำแหน่งที่อยู่ชิดกันมาก โดยมีคอนโซลกลางทรงแคบวางเป็นสะพานกั้นอยู่ระหว่างกัน ข้อดี คือ ช่วยให้มีพื้นที่ภายในเพียงพอต่อการใช้งาน โดยไม่จำเป็นต้องไปยุ่งกับส่วนที่เป็นโครงสร้างหลักของรถ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าไปนั่งด้วยกันทั้ง 2 คน ภายในรถ คุณจะรู้ซึ้งและใกล้ชิดกับความสปอร์ทแบบสุดๆ (ไม่มีความหมายอะไรที่มาอธิบายได้ดีเท่านี้) ทั้งมีเสน่ห์ และไม่เหมือนใคร นอกจากนี้ ด้วยเหตุผลที่มีพื้นที่ภายในไม่มากนัก จอภาพแบบมัลทิมีเดีย จึงถูกวางในตำแหน่งแนวยาว ขณะที่ชุดควบคุมระบบปรับอากาศภายในตัวรถ ถูกย้ายไปติดตั้งที่บริเวณคอนโซลเล็กๆ ที่บริเวณประตูแทน
เปลี่ยนเกียร์ด้วย รอคเคอร์ อาร์ม
พวงมาลัยให้ความรู้สึกแปลก และค่อนข้างจะสวนทางกับทเรนด์ในปัจจุบัน แมคลาเรน เลือกใช้ก้านรอคเคอร์ อาร์ม แทนที่จะใช้แป้น แพดเดิล ชิฟท์ สำหรับการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์บนพวงมาลัย อย่างไรก็ตาม มันก็ดี และสมบูรณ์แบบด้วยกันทั้งคู่สำหรับการใช้งาน
วิสัยทัศน์ ด้านหน้ารถเยี่ยมมาก โดยมุมของผู้ขับขี่จากหลังพวงมาลัยจะเห็นเพียงมาตรวัดรอบเท่านั้น จึงไม่มีอะไรที่รบกวนสายตา ส่วนที่เหลือจะทำในขณะนี้ คือ การกดปุ่มเพื่อให้หลังคาพับลงไปเก็บในที่ของมัน และเพียงไม่กี่วินาทีต่อจากนี้ สิ่งที่เหลือก็คือ โดมทรงโค้งทั้ง 2 ที่อยู่หลังที่นั่งของเรา ซึ่งการพับหลังคาลง ทำให้เส้นสายของ เอมพี 4-12 ซี สไปเดอร์ ดูสวยงามมากยิ่งขึ้น ส่วนความจริงที่ว่า รถคันนี้ออกแบบ โดยใช้เส้นสายของ แฟร์รารี 458 ก็คงไม่ใช่เรื่องลึกลับซับซ้อนอะไร ที่จะบอกว่ามันคล้ายกับรถเปิดหลังคาจาก มาราเนลโล อย่างมาก โดยเฉพาะกลไกพับหลังคา
จากนี้ความสนใจของคุณจะถูกเบี่ยงเบนไปได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเสียงคำรามของเครื่องยนต์ วี 8 เทอร์โบคู่ ดังกระหึ่มขึ้น แรงม้าทั้ง 616 ตัว ก็พร้อมออกมาโลดแล่น คุณสามารถจะลากยาวเจ้าเครื่องยนต์ตัวนี้จาก 7,500-8,500 รตน. โดยไม่ต้องกังวลเลยว่ากำลังจะตกลง มันเป็นเครื่องยนต์ที่ยอดมาก ถึงแม้จะไม่มีเสียงที่ชวนขนลุก แบบเครื่อง วี 8 จากค่าย มาราเนลโล ก็ตาม แต่มันมีทั้งแรงบิด แรงดึง และพลังเครื่องยนต์ที่ยอดเยี่ยม
ค่อนข้างยากที่เราจะรับรู้ว่าเทอร์โบกำลังทำงาน ถ้าหากไม่ถอนคันเร่งจนได้ยินเสียงแรงดันลมที่ถูกระบายออกอย่างเต็มกำลังจาก โบลว์ ออฟ วาล์ว รอคเคอร์ อาร์ม ที่อยู่บนแผงหน้าปัด ซึ่งใช้ควบคุมทั้งเครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง รวมไปถึงระบบรองรับ และระบบอีเลคทรอนิคส์ต่างๆ สร้างลักษณะเฉพาะตัวให้แก่ แมคลาเรน คันนี้ โดยเฉพาะใน "ทแรค โหมด" มันเกือบจะเป็นรถแข่งดีๆ นี่เอง และเพียงปรับโหมดกลับไปไม่กี่ตำแหน่ง ก็จะพบกับอารมณ์ของการขับขี่ที่ดูนอบน้อม และอ่อนโยนอย่างไม่คาดคิด
ตอนนี้คุณก็สามารถขับไปบนท้องถนนได้อย่างสบายใจ และสนุกสนาน พร้อมชมภูมิทัศน์ ขณะเดียวกันก็ฟังเสียงเจ้าเครื่องยนต์ วี 8 ที่คำรามอย่างเบาๆ อยู่ด้านหลัง เอมพี 4-12 ซี สไปเดอร์ จึงเป็นรถซึ่งมีอะไรหลากหลายที่ทำให้ผู้คนหลงรักมันได้
[table]
เทคโนโลยีจากสนามแข่ง
แป้นเหยียบแบบโลหะให้ความรู้สึกที่เยี่ยมยอด คันเร่งเป็นแบบบานพับยึดติดกับพื้นรถ
[/table]
[table]
ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น
เช่นเดียวกับ แมคลาเรน เอฟ 1 ในยุค 90 ที่มีประตูรถเปิดได้สวยงาม และล้ำสมัย โดยพับขึ้นไปด้านบน ในส่วนของมาตรวัด (ด้านซ้าย) มาตรวัดแสดงความเร็ว และรอบ (แบบดิจิทอล) มองเห็นได้ชัดเจน โดยแต่ละฝั่งจะมีจอมัลทิฟังค์ชัน แสดงข้อมูล อุณหภูมิเครื่องยนต์ รวมไปถึงแรงดันลมยาง
[/table]
[table]
ข้อมูลทางเทคนิค
3799 ซีซี - วี 8 สูบ 90 องศา เทอร์โบคู่
หัวฉีด ไดเรคท์อินเจคชัน - อ่างแห้ง
616 แรงม้า ที่ 7500 รตน.
61.2 กก.-ม. ที่ 3000-7000 รตน.
ขับเคลื่อนล้อหลัง
เกียร์ คลัทช์คู่ 7 จังหวะ
ยาง : หน้า 235/35 เซดอาร์ 19
หลัง 305/30 เซดอาร์ 20
ตัวถัง โมโนคอค โครงสร้างคาร์บอน
ตัวถังทำจากอลูมิเนียม
ระบบกันสะเทือน ปีกนก พร้อม แอคทีฟ ไฮดรอลิค โรลล์ คอนทโรล
เบรค คาร์บอน เซรามิค (ออพชัน) + แอร์เบรค
ระบบผ่อนแรงพวงมาลัย อีเลคทรอ ไฮดรอลิคส์
ยาว 4509 มม.
กว้าง 1908 มม.
สูง 1203 มม.
น้ำหนัก 1376 กก.
[/table]
เลาะขอบสนาม
สถิติใหม่ของ แมคลาเรน
การขับแบบท้ามฤตยูบนสนามของเรา ทำให้ เอมพี 4-12 ซี สไปเดอร์ ทำลายสถิติเก่าแหลกลาญ
มันทิ้งคู่แข่งทั้งหมดไว้ข้างหลัง รวมทั้ง เอมพี 4-12 ซี สไปเดอร์ รุ่น คูเป ที่ได้ทดสอบไปเมื่อปี 2011 นี่คือ ข้อดีของการเพิ่มแรงม้า แต่น่าจะรวมถึงการปรับปรุงโครงสร้างเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งมีส่วนทำให้เร็วขึ้น นอกจากนี้ยังต้องยกนิ้วให้กับพวงมาลัย ซึ่งตอบสนองฉับไวและแม่นยำ รวมถึงความนิ่งของท้ายรถ ที่ทำให้เราสามารถกวาดผ่านโค้งแรกไปได้แบบเนียนๆ ด้วยความเร็ว 175 กม./ชม. พร้อมอัตราเร่งที่วัดแรงดึงได้ถึง 1.16 จี พอๆ กับรถที่กำลังวิ่งอยู่บนทางตรง ซึ่งทั้งหมดล้วนมาจากกำลังทั้ง 616 แรงม้า ที่ส่งผ่านออกมาจากเครื่องยนต์ เทอร์โบคู่ โดยมีรอบเครื่องให้ใช้งานได้สูงถึง 8,500 รตน. นอกจากนี้ระบบเบรคคาร์บอนเซรามิค ซึ่งเป็นออพชันเสริม ก็เป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมในการจะหยุดม้าฝูงนี้ รวมไปถึงความทนทานของมันสำหรับการใช้งานในสภาวะที่รุนแรงแบบสุดขั้ว
ใส่ใจในระบบอากาศพลศาสตร์
หนึ่งในความพิสดารเหนือชั้นของ เอมพี 4-12 ซี สไปเดอร์ คือ สปอยเลอร์หลัง โดยขณะที่เบรค มันจะถูกยกขึ้นในมุมเกือบจะตั้งฉาก ถ่ายทอดคุณสมบัติของตัวเองในลักษณะของ แอร์เบรค หรือการต้านอากาศ ค่าซีเอกซ์ กระโดดพรวดจาก 0.37-0.48 แต่ที่สำคัญกว่านั้น คือ การใช้หลักอากาศพลศาสตร์กดท้ายรถ ซึ่งช่วยให้เบรคหลังทำงานได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ท้ายรถนิ่งขึ้นอีกด้วย โดยในรุ่นเปิดหลังคา ใช้วัสดุ คาร์บอน เซลส์ เช่นเดียวกับรุ่น คูเป ซึ่งรับประกันได้ถึงความแข็งแรง โดยขณะทดสอบ ตัวรถและผู้ขับขี่ มีน้ำหนักรวมกัน 1,609 กก. มากกว่ารุ่น คูเป อยู่ 45 กก.
[table]
10 อันดับแรกที่ VAIRANO
แมคลาเรน เอมพี 4-12 ซี สไปเดอร์, 1'12"92
ลัมโบร์กินี อเวนตาโดร์ แอลพี 700-4, 1'13"86
แฟร์รารี เอฟ 12 แบร์ลิเนตตา ,1'14"08
ลัมโบร์กินี กัลญาร์โด สไปเดอร์ แอลพี 570-4, 1'14"28
แมคลาเรน เอมพี 4-12 ซี คูเป, 1'14'81
เอาดี อาร์ 8 5.2 วี 10 กวัตตโร จีที ,1'15"04
แฟร์รารี 458 อิตาลีอา, 1'15"14
แฟร์รารี 458 สไปเดอร์ ,1'15"15
แฟร์รารี เอฟเอฟ ,1'16"38
โพร์เช จีที 3 อาร์เอส 4.0 ,1'16"40
[/table]
บทสรุป
ในความจริงถึงแม้มีเพียงน้อยนิด แต่มันก็เป็นความฝันที่แสนสวยงามของเหล่าบรรดาแฟนซูเพอร์คาร์ พูดได้เลยว่า เมื่อพับหลังคาลง เอมพี 4-12 ซี สไปเดอร์ มีเสน่ห์ชวนมอง มากกว่ารุ่น คูเป ขณะที่ข้อสงสัย หรือความคลางแคลงใจในรถรุ่นนี้ก็มีไม่มาก เมื่อแรกเปิดตัวออกมา กำลังเครื่องยนต์ และการปรับปรุงในส่วนอื่นๆ ที่ได้ทำลงไปในรุ่นปี 2013 ได้ผลลัพธ์ออกมา โดยมีการเพิ่มทั้งประสิทธิภาพและความเร็ว ซึ่ง เอมพี 4-12 ซี สไปเดอร์ ได้ออกมาเตือนแล้วนะว่า มันนี่แหละ คือ ศัตรูตัวฉกาจของ แฟร์รารี
จุดเด่น: ต้องขอถึงจะได้ขับรถให้ประสบการณ์ที่ตื่นเต้นหลังพวงมาลัย และยิ่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อพับหลังคาลง
ข้อเสีย: คุณต้องใช้ความพยายาม ในการจ่ายค่าทางด่วนจากตำแหน่งที่นั่งคนขับ
[table]
ความเร็วและรอบเครื่องยนต์
ความเร็วสูงสุด, 335 กม./ชม.
รอบเครื่องยนต์สูงสุด, 7900 รตน.
อัตราเร่ง
ความเร็ว กม./ชม. ,เวลา วินาที
0-60, 1.8
0-100, 3.1
0-130 ,4.5
0-160 ,6.1
0-200 ,9.1
0-230 ,12.3
0-260, 17.0
ระยะ 400 เมตร จากจุดหยุดนิ่ง, 10.7
ระยะ 1 กม. จากจุดหยุดนิ่ง ,19.4
การตอบสนองขณะขับขี่
ความเร็ว กม./ชม. ,เวลา วินาที
70-90, 2.1
70-120, 3.6
70-160 ,5.8
70-200 ,8.9
ระยะเบรค
ความเร็ว กม./ชม. ,เมตร (จี)
100 น้ำหนักบรรทุกปกติ, 36.7 (1.07)
200 น้ำหนักบรรทุกปกติ ,142.2 (1.11)
100 บนถนนลาดยาง + ไหล่ทาง, 46.8 (0.84)
100 บนถนนลาดยางเปียก + น้ำแข็ง, 100.2 (0.39)
เปลี่ยนเกียร์, ที่ 8500 รตน.
ความเร็ว กม./ชม.
เกียร์ 1/2 ,82
เกียร์ 2/3 ,125
เกียร์ 3/4 ,167
เกียร์ 4/5 ,220
เกียร์ 5/6 ,283
เสียง
ความเร็ว กม./ชม. ,เดซิเบล (เอ)
50 บนถนนลาดยาง, 68.7
50 บนถนนลาดยาง (เปียก) ,75.2
50 บนไหล่ทาง ,80.1
ที่อัตราเร่งสูงสุด, 92.5
[/table]
ความประทับใจแรกขับ
อัตราเร่งปานสายฟ้าแลบ ใช้เวลาเพียง 3.1 วินาที ก็ทะลุ 100 กม./ชม. และผ่านไปอีกแค่ 6 วินาที ก็ถึง 200 กม./ชม. ความสิ้นเปลือง ในตัวเมืองทำได้ 6 กม./ลิตร และสามารถทำได้ถึง 9 กม./ลิตร ในช่วงการจราจรเบาบาง
ABOUT THE AUTHOR
M
MARCO PERUCCA ORFEI
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2557
คอลัมน์ Online : พิเศษ(formula)