"autoinfo.co.th" นำ 2 เรื่องเกี่ยวกับความคุ้มค่าในการเติมน้ำมัน ที่หลายคนมักเข้าใจผิดมาฝาก พร้อมหาคำตอบให้แล้ว1. เติมน้ำมันเต็มถัง เราขาดทุน เพราะน้ำมันจะค้างสาย จริงไหม ? >>> ไม่จริง เพราะจะเติมเต็มถัง หรือแค่ครึ่งถัง ปริมาณน้ำมันที่ได้ก็เท่ากับตัวเลขที่แสดงบนหน้าปัดตู้จ่ายเสมอ น้ำมันไม่สามารถไหลย้อนกลับได้ เพราะถ้าสังเกตที่ปลายหัวจ่ายน้ำมัน จะมีรูเล็กๆ อยู่ล่างสุด รูที่ว่านี้ คือ "เซนเซอร์" เอาไว้สั่งตัดการจ่ายน้ำมันจากตู้จ่าย เมื่อปริมาณน้ำมันในถังล้นมาถึง ดังนั้น ตู้จ่ายจะคิดเงินก็ต่อเมื่อ มีการจ่ายน้ำมันออกจากหัวจ่ายเท่านั้น น้ำมันที่ออกมาจากตู้จ่าย และค้างอยู่ในสาย จะยังไม่ถูกคิดเงิน ทุกลิตรที่จ่ายออกไป ถูกควบคุม และตรวจสอบจากกรมการค้าภายในอยู่ตลอดอยู่แล้ว จะเติมเต็มถัง หรือแค่ครึ่งถัง ก็ได้ปริมาณน้ำมันเท่ากับตัวเลขบนหน้าปัดตู้จ่ายอย่างแน่นอน สบายใจได้ 2. เติมน้ำมันช่วงเช้า จะได้ปริมาณน้ำมันมากกว่าเติมในช่วงอื่น จริงไหม ? >>> จริง สำหรับรถขนส่งน้ำมันขนาดยักษ์ความจุประมาณครึ่งแสนลิตร >>> ไม่จริง สำหรับรถบ้านทั่วไปที่เติมมากสุดไม่กี่สิบลิตร หลายคนคงเคยได้ยินคำบอกเล่า เกี่ยวกับวิธีการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงให้คุ้มค่าที่สุด (เต็มลิตร) กันมาบ้าง ซึ่งคำแนะนำส่วนใหญ่ แนะให้เติมใน “ช่วงเช้า” ตอนที่อุณหภูมิบนพื้นราบยังเย็นอยู่ (อุณหภูมิต่ำ) โดยอ้างว่า บ้านเรานั้นถังน้ำมันส่วนมากจะฝังอยู่ใต้ดิน ขณะที่พื้นดินเย็นน้ำมันจะควบแน่น และจะขยายตัวเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ถ้าหากเติมน้ำมันช่วงบ่ายหรือเย็น จะได้ปริมาณน้ำมันที่น้อยกว่าเติมในช่วงเช้า เรื่องนี้ แม้ว่าจะมีเค้าความเป็นไปได้อยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีผลอะไรเลย กับการเติมน้ำมันในรถยนต์ส่วนตัวของพวกเรา เพราะไม่ว่าจะเติมน้ำมันในช่วงเวลาไหน ปริมาณที่ได้ก็ใกล้เคียงกันตลอด ไม่ได้แตกต่างกันมากจนเรารู้สึกได้ และเกิดความคุ้มค่าที่ต้องเติมช่วงเช้าเท่านั้น เนื่องจากประเทศเราไม่ได้มีอุณหภูมิที่แตกต่างกันมากๆ ระหว่างกลางวันกับกลางคืนเหมือนบางประเทศ ดังนั้นปริมาณที่ต่างกัน ที่เกิดจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นจึงมีค่าเล็กน้อยมาก ถ้าวัดกันจริงๆ อาจแตกต่างเพียง 1 ถึง 2 ซีซี เท่านั้น (1 ซีซี เท่ากับ 1 มิลลิลิตร) ถ้าจะให้เห็นภาพที่ชัดขึ้น คงต้องมองไปที่รถขนส่งน้ำมันขนาดยักษ์ ที่บรรจุน้ำมันได้กว่าครึ่งแสนลิตร แบบนั้นสิ ถึงจะเห็นปริมาณที่แตกต่างมากกว่า