ธุรกิจ
ปตท. แจงผลประกอบการ ส่งรัฐอนุมัติเงินปันผล
ชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ปตท. เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563 รับทราบผลการดำเนินงาน ปตท. และได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2562 โดย ปตท. และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 2.2 ล้านล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 92,951 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4.2 ของรายได้ ปรับลดลงร้อยละ 22 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ตามสภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว เนื่องมาจากผลกระทบของสงครามทางการค้าโลก ทำให้ความต้องการของผู้บริโภคชะลอตัว และส่งผลให้ส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูป และราคาน้ำมันดิบ และส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีปรับลดลง ประกอบกับปัจจัยภายในประเทศ เงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่องส่งผลกระทบต่อการส่งออกและอุตสาหกรรม ทั้งภาคการผลิต และภาคขนส่ง ส่งผลให้ปริมาณความต้องการพลังงาน และผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีไม่เติบโตตามเป้าหมาย รวมถึงปริมาณการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี และการกลั่นที่ลดลงจากการหยุดซ่อมบำรุงขนาดใหญ่ประจำงวดตามแผนของกลุ่มปิโตรเคมีและการกลั่น และค่าใช้จ่ายชดเชยพนักงานเพิ่มเติมโดยเปลี่ยน การคิดค่าจ้างอัตราสุดท้ายจาก 300 วัน เป็น 400 วัน ตามประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ และ พรบ. คุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ ส่งผลให้กลุ่ม ปตท. มีค่าใช้จ่าย 4,219 ล้านบาท
ท่ามกลางความไม่แน่นอนของปัจจัยภายนอก และภายใน ที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการดำเนินธุรกิจให้เป็นไปตามเป้าหมาย กลุ่ม ปตท. ได้แสวงหาโอกาสขยายการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานแกสธรรมชาติ รองรับการเติบโตของการผลิตไฟฟ้า การขยายธุรกิจทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ผ่านการร่วมลงทุน หรือการซื้อกิจการ รวมถึงการปรับพอร์ทการลงทุน โดยขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจต่างๆ ตลอดห่วงโซ่คุณค่าตามทิศทางกลยุทธ์การลงทุนที่สอดรับกับแนวโน้มอนาคตไปสู่พลังงานสะอาด และผลิตภัณฑ์เคมีมูลค่าสูง และช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาตลาดโลกต่อผลประกอบการของกลุ่ม ปตท. นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมาได้ผลักดันมาตรการปรับปรุงผลประกอบการอย่างต่อเนื่อง ด้วยการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างเหมาะสม และเกิดประโยชน์สูงสุด ส่งผลให้งบดำเนินการลดลงร้อยละ 17 เมื่อเทียบกับเป้าหมาย ลดต้นทุนการผลิตเพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไร เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานด้วยการนำระบบดิจิทอลมาใช้ บริหารความเสี่ยงราคา และบริหารทรัพย์สินให้เกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนั้น ผลประกอบการส่วนเพิ่มโดยหลัก มาจากการเข้าซื้อบริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) (GLOW) ของบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC) รวมถึงธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเพิ่มขึ้น จากปริมาณขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น จากการเข้าซื้อสัดส่วนการลงทุนเพิ่มในโครงการบงกช และการเข้าซื้อกิจการของ Murphy Oil Corporation และ Partex Holding B.V. ของบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (PTTEP)
ในส่วนของกำไรสุทธิของ ปตท. 92,951 ล้านบาท โดยหลักมาจากกำไรของธุรกิจแกสธรรมชาติ คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 33 ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมสัดส่วนร้อยละ 34 และธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นสัดส่วนร้อยละ 9 ในขณะที่กำไรจากธุรกิจอื่นๆ รวมถึงธุรกิจน้ำมันและค้าปลีก ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศมีสัดส่วนรวมกันประมาณร้อยละ 24 ทั้งนี้กำไรในส่วนของธุรกิจแกสธรรมชาติ และธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น ปรับลดลง เนื่องจากธุรกิจโรงแยกแกสฯ ราคาขายอ้างอิงราคาปิโตรเคมีซึ่งปรับลดลงมาก ในขณะที่ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ของกลุ่มปิโตรเคมี และการกลั่น ปรับลดลงตามสถานการณ์โลกดังกล่าวข้างต้น
จากความพยายามของกลุ่ม ปตท. จึงทำให้ผลประกอบการใกล้เคียงกับที่ประมาณการไว้ ดังนั้นคณะกรรมการ ปตท. จึงได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลจำนวน 2 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผล (Payout Ratio) ร้อยละ 62.5 ของกำไรสุทธิ และอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) ที่ร้อยละ 4.5 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 57,126 ล้านบาท สำหรับผลประกอบการปี 2562 ซึ่ง ปตท. ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.9 บาท/หุ้นแล้วเมื่อเดือนตุลาคม 2562 และคงเหลือเงินปันผล 1.10 บาท/หุ้น ที่คาดว่าจะจ่ายในเดือนเมษายน 2563 ซึ่งจะต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของ ปตท. ในวันที่ 10 เมษายน 2563
การจ่ายเงินปันผลจากผลประกอบการปี 2562 ดังกล่าว ส่งผลให้กระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ และกองทุนวายุภักษ์ จะได้รับเงินปันผล รวมประมาณ 36,145 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินงบประมาณของประเทศนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ชุมชน ให้แก่ประเทศ รวมทั้งสามารถสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจผ่านเงินปันผลจำนวน 20,981 ล้านบาท ให้นักลงทุนสถาบัน และผู้ถือหุ้นรายย่อยกว่า 1.3 แสนราย
นอกจากนี้เพื่อเป็นการสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก และประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่ ปตท. ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องในการแบ่งเบาภาระต้นทุนด้านพลังงาน และค่าครองชีพของประชาชนให้มีอาชีพที่มั่นคงขึ้น คณะกรรมการ ปตท. จึงได้อนุมัติการบริจาคเงินเข้ากองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ในรูปแบบส่วนลดค่าซื้อแกสหุงต้ม จำนวน 50 บาท/คน/เดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน-30 มิถุนายน 2563 โดยใช้งบดำเนินงาน 30 ล้านบาท ทั้งนี้เป็นความร่วมมือของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และ ปตท.
การดำเนินงานในปี 2562 ที่ ปตท. มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามทิศทางกลยุทธ์การสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนตามหลักการ 3 P-People Planet Prosperity ด้าน People ปตท. ได้พัฒนาศักยภาพของบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในอนาคต สร้าง “สังคมอุดมศึกษา” ด้วยการลงทุนระดับบัณฑิตศึกษาในสถาบันวิทยสิริเมธี และระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียนกำเนิดวิทย์ โดยมีผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท จำนวน 6 คน ระดับปริญญาเอก จำนวน 2 คน และนักเรียนโรงเรียนกำเนิดวิทย์ได้สำเร็จการศึกษาจำนวน 70 คน ซึ่งได้รับทุนศึกษาต่อต่างประเทศ 32 ทุน อีกทั้งยังได้ยกระดับศักยภาพบุคลากรทางการศึกษาพัฒนาครู 1,601 คน จากโรงเรียนประชารัฐและโรงเรียนเครือข่าย ให้พร้อมเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 นอกจากด้านการศึกษา ยังจุดประกายฝัน พัฒนาศักยภาพด้านกีฬาให้แก่เยาวชนและผู้ด้อยโอกาส โดยร่วมกับสมาคมและสโมสรกีฬาในการฝึกสอนกีฬาประเภทต่างๆ อาทิ โครงการว่ายน้ำเพื่อชีวิตลดความเสี่ยงของการสูญเสียชีวิตเยาวชน ทีมฟุตบอลเยาวชนในนาม พีทีที อคาเดมี เพื่อให้เยาวชนได้รับการฝึกสอนที่ดี เตรียมความพร้อมให้เยาวชนเป็นนักฟุตบอลอาชีพ
ปตท. ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม ชุมชน เติบโตอย่างแข็งแรงและยั่งยืน ด้วยโครงการ Cafe Amazon for Chance ที่ส่งเสริมอาชีพให้กับผู้บกพร่องทางการได้ยิน และกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 7 สาขา รวมทั้งโครงการ “ไทยเด็ด” ที่ช่วยสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรไทย และส่งเสริมผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) ในท้องถิ่นต่างๆ ทั่วประเทศ ในการกระจายสินค้าชุมชน และยกระดับเศรษฐกิจฐานรากอีกด้วย รวมทั้งได้ร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนในการสร้าง “National Platform” โดย บริษัท อินโนสเปซ (ประเทศไทย) จํากัด เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการและวิสาหกิจเริ่มต้นด้านนวัตกรรมธุรกิจ สร้างระบบนิเวศ และยกระดับสตาร์ทอัพไทยให้สามารถแข่งขันได้ในระยะยาว
ด้าน Planet ปตท. ยังมุ่งมั่นเพิ่มพื้นที่สีเขียว และสร้างพลังความร่วมมือเครือข่ายอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ที่เริ่มจากโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติฯ 1 ล้านไร่ ต่อเนื่องมาเป็นเวลา 25 ปี สู่การเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมือง ปตท. ได้ร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พร้อมด้วยหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา เปิดเส้นทางจักรยานระยะทาง 10 กิโลเมตร พื้นที่แปลงปลูกป่า FPT 49 จ. นครราชสีมา เพื่อให้เป็นแหล่งเชื่อมโยงเรื่องราวการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ และนำองค์ความรู้การปลูกป่ามาเป็นต้นแบบประยุกต์ใช้ในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมือง โดยร่วมกับภาคีเครือข่ายเพื่อบูรณาการทำงานร่วมกัน (Social Collaboration) พัฒนาพื้นที่คุ้งบางกะเจ้า จ. สมุทรปราการ ซึ่งเป็นเสมือนปอดของกรุงเทพฯ ทั้งยังได้ร่วมกับกรุงเทพฯ และภาคีเครือข่าย We Park และ Big Trees ประกาศเจตนารมณ์เพื่อผลักดันกรุงเทพฯ สู่เมืองสีเขียว ภายใต้การดำเนินโครงการ Green Bangkok 2030 เพื่อปลูกจิตสำนึกรักษาสิ่งแวดล้อมและสร้างหัวใจสีเขียว พร้อมเชิญชวนประชาชนในเขตเมืองร่วมกันปลูกต้นไม้พร้อม #ปลูกเพื่อเปลี่ยน แสดงพลังหัวใจสีเขียวเพื่อเมืองที่น่าอยู่ของเราทุกคนไปด้วยกัน
ด้าน Prosperity ได้ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด โดยขยายการใช้แกสธรรมชาติ และ LNG ในโรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่นอกแนวท่อส่งแกสฯ เร่งเปิดสถานีบริการเพื่อจัดจำหน่ายน้ำมัน พีทีที อุลทราฟอร์ศ ดีเซล บี 10 และ บี 20 เพื่อช่วยลดมลภาวะ PM2.5 จากการเผาไหม้ และช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันในประเทศ นอกจากนี้เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว ปตท. ผลักดันให้เกิดการลงทุนของ ปตท. และบริษัทในกลุ่มอย่างต่อเนื่อง อาทิ การเริ่มก่อสร้างโครงการท่าเทียบเรือ และสถานีรับ-จ่าย LNG แห่งที่ 2 การชนะการประมูลโครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะ 3 (ช่วงที่ 1) โดยการร่วมทุนของบริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด การลงทุนของบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ที่ชนะประมูลแหล่งแกสธรรมชาติบงกช และเอราวัณ รวมถึงการเข้าซื้อกิจการของ Murphy Oil Corporation และ Partex Holding B.V. การขยายการลงทุนธุรกิจไฟฟ้า โดยบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) ได้เข้าซื้อกิจการของบริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) เป็นต้น
นอกจากนี้ ปตท. ได้เตรียมแผนการลงทุนในปี 2563 - 2567 วงเงินรวม 180,814 ล้านบาท และจัดเตรียมงบลงทุนในอนาคต (Provisional Capital Expenditure) ในระยะ 5 ปีข้างหน้า จำนวน 203,583 ล้านบาท โดยธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้น มีแผนขยายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางพลังงาน และมุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจ LNG อาทิ โครงการท่อส่งแกสธรรมชาติบนบกเส้นที่ 5 โครงการ LNG Receiving Terminal หนองแฟบ และขยายการเติบโตด้วยการลงทุนธุรกิจแกสฯ สู่ไฟฟ้า (Gas to Power) โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงการดำเนินธุรกิจ LNG แบบครบวงจร และการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการซื้อ-ขาย LNG ของภูมิภาคอาเซียน สำหรับธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย จะผลักดันกระบวนการผลิตด้วยการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าตามแนวทาง Circular Economy และขยายการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีความชำนาญ และได้เปรียบในการแข่งขันไปสู่การลงทุนในผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีมูลค่าสูง นอกจากนี้ ในด้านนวัตกรรมและการลงทุนธุรกิจใหม่ ปตท. เตรียมพร้อมพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเมืองอัจฉริยะ (Smart City Development) โดยเน้นในด้านการบริหารจัดการพลังงานในพื้นที่ที่มีศักยภาพ และจะขยายการเติบโตด้วยการร่วมทุน หรือซื้อกิจการในธุรกิจพลังงานใหม่ (New Energy) อาทิ ธุรกิจไฟฟ้าครบวงจร พลังงานหมุนเวียน ระบบกักเก็บพลังงาน และยานยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น
เพื่อเป็นการแสวงหาโอกาสลงทุนในพลังงานรูปแบบใหม่และสร้างธุรกิจใหม่ ปตท. ได้พัฒนาพื้นที่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EECi) เพื่อสร้าง “วังจันทร์วัลเลย์” ให้เป็นเมืองนวัตกรรมแห่งอนาคตของประเทศไทย สนับสนุนแนวคิดทางด้านนวัตกรรมใหม่ๆ ผ่านการลงทุนประเภท Prototype เพื่อผลักดันงานวิจัยและพัฒนาไปสู่การดำเนินการเชิงพาณิชย์มากขึ้น ได้แก่ การพัฒนาวัสดุปิดแผลจาก ไบโอเซลลูโลสคอมโพสิท เพื่อช่วยเร่งการรักษาบาดแผลด้วยเทคโนโลยีที่เป็นเอกสิทธิ์ของสถาบันนวัตกรรม ปตท. การวิจัยและพัฒนา EV Charger ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนสินค้านวัตกรรมของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ รวมถึงการพัฒนาต้นแบบนวัตกรรมรถสามล้อไฟฟ้า และจักรยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และเป็นต้นแบบยานพาหนะในอนาคต การสนับสนุนการวิจัย “VISBAT” แบทเตอรีคุณภาพสูงโดย KVIS เพื่อเป็นอุปกรณ์กักเก็บพลังงานต้นแบบสำหรับรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า และการมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทย โดยร่วมกับสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ และองค์การเภสัชกรรม ในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ชีววัตถุ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาโรคมะเร็งเต้านม ให้ต้นทุนยาลดลง และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านยาของรัฐ