GWM-Great Wall Motors (กเรท วอลล์ มอเตอร์ส) ร่วมงานประชุมวิชาการนานาชาติ International Electric Vehicle Technology Conference and Exhibition (iEVTech2020) ครั้งที่ 5 ซึ่งจัดขึ้น ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค ร่วมกับค่ายรถยนต์ชั้นนำในสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) พร้อมเผยกลยุทธ์ส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle) ยานยนต์พลังงานทางเลือก (New Energy Vehicle) ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ตลอดจนนำเสนอนโยบายต่อภาครัฐ เพื่อสนับสนุน และผลักดันการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า และยานยนต์พลังงานทางเลือกในประเทศไทยอย่างมีประสิทธิภาพ และอย่างยั่งยืน เพื่อเพิ่มโอกาส และทางเลือกให้ผู้บริโภคสามารถเลือกรถยนต์ที่เหมาะสมกับการใช้งาน
สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) ผนึกกำลัง อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ (Informa Markets) จัดงานประชุมวิชาการนานาชาติ International Electric Vehicle Technology Conference and Exhibition (iEVTech2020) ครั้งที่ 5 ซึ่งถือเป็นการร่วมมือและสนับสนุนระบบขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของภูมิภาค โดยภายในงานประกอบด้วย 7 ผู้นำจากอุตสาหกรรมยานยนต์ในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ Great Wall Motors ประเทศไทย (GWM Thailand), เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย)ฯ, นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย)ฯ, พนัส แอสเซมบลีย์ฯ, สกายเวลล์ (ประเทศไทย)ฯ, วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย)ฯ และเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย)ฯ มาร่วมแบ่งปัน และเสนอแนะแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ ตลอดจนเผยทิศทางการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยในอนาคต ภายใต้หัวข้อ Scaling-Up Electric Mobility & Beyond 2020
จาง เจียหมิง ประธาน Great Wall Motors ภูมิภาคอาเซียนและประเทศไทย กล่าวถึงความมั่นใจที่มีต่อการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า และยานยนต์พลังงานทางเลือกในประเทศไทย รวมถึงเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางยานยนต์พลังงานทางเลือก (New Energy Vehicle) ในภูมิภาคอาเซียน ด้วยเล็งเห็นศักยภาพของการวิจัยและพัฒนา ทรัพยากร และบุคลากรที่มีคุณภาพ ดังนั้น Great Wall Motors ในฐานะ “บริษัทที่ให้บริการการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีระดับโลก” (Global Mobility Technology Company) ได้วางกลยุทธ์การบุกตลาดยานยนต์ไทยด้วยการสร้างความแตกต่าง และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคให้มากที่สุด โดยหนึ่งในกลยุทธ์ที่สำคัญของ Great Wall Motors ก็คือการนำเสนอเทคโนโลยีพลังงานทางเลือก (New Energy Technology) พร้อมนำผู้บริโภค และอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยไปสู่ความยั่งยืน ควบคู่กับการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดย Great Wall Motors มีเทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้า และพลังงานทางเลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ยานยนต์ไฮบริด (Hybrid Electric Vehicle) ที่ผู้บริโภคไทยมีความคุ้นเคยเป็นอย่างดี พลัก-อิน ไฮบริด (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) รถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (Battery Electric Vehicle) และยานยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell Electric Vehicle) ซึ่งจะเป็นการยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้พัฒนาไปอีกขั้น
ทั้งนี้แม้อยู่ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 แต่ Great Wall Motors ยังเดินหน้าแผนการลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง สวนกระแสภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก สะท้อนถึงความตั้งใจ และความมุ่งมั่นต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยในระยะยาว ซึ่งจะส่งผลให้ผู้บริโภค และนักลงทุนมีความมั่นใจอย่างมาก
“ความพร้อมในการผลิต และการให้บริการของค่ายรถยนต์มีส่วนสำคัญในการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย แต่อีกปัจจัยที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน คือ นโยบายจากภาครัฐที่จะส่งเสริม และสนับสนุนการผลิต และการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าและพลังงานทางเลือกของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นการสร้างอุปทานผ่านสิทธิประโยชน์จากแผนส่งเสริมการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้า และการให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีสรรพสามิต ซึ่งจะมีผลแปรผันโดยตรงต่อต้นทุนการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ต่อเนื่องไปจนถึงระดับราคาของรถยนต์ ที่จะเพิ่มโอกาสให้ผู้บริโภคสามารถเป็นเจ้าของยานยนต์ไฟฟ้าได้มากขึ้น ตลอดจนการสร้างอุปสงค์ของผู้บริโภคผ่านโครงการนำร่องของภาครัฐ เช่น การสนับสนุนให้หน่วยงานภาครัฐ และเอกชนมีการติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นภายในอาคารสำนักงาน บ้าน คอนโดมิเนียม รวมถึงห้างสรรพสินค้า และสถานที่ชุมชนต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้ การให้ความรู้ และการสื่อสารกับภาคประชาชนให้เล็งเห็นถึงผลดีของ EV ในด้านเทคโนโลยี การใช้งาน ต้นทุนการดูแลรักษาโดยรวมที่ต่ำ และผลดีที่มีต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว”
นอกจากนี้ จาง เจียหมิง ยังกล่าวเสริมอีกว่า “Great Wall Motors วางแผนระยาวในการพัฒนาคุณภาพ การวิจัย และพัฒนาประสิทธิภาพ และเทคโนโลยีของยานยนต์อย่างยั่งยืน โดยตั้งเป้าวางจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิงภายในปี 2025 เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับโลกอย่างแท้จริง สำหรับประเทศไทย เรายังคงเดินหน้าตามแผนงานที่วางไว้อย่างต่อเนื่อง ตามโครงสร้างพื้นฐาน และความพร้อมในการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีอย่างเหมาะสม”