Audi ยืนยันว่ารถที่เติมน้ำมัน HVO จะทำให้มีปริมาณมลพิษคาร์บอนไดออกไซด์ลดลงได้ถึง 70-95 % ถ้าเทียบกับน้ำมันดีเซลจากน้ำมันฟอสซิล เพราะค่าซีเทนของ HVO สูงกว่าน้ำมันปกติถึง 30 % ทำให้การจุดระเบิดดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการสตาร์ทเครื่องยนต์ในตอนเช้าข่าวจากประเทศอังกฤษ ระบุว่า ค่าย Audi อนุมัติแผนการใช้เชื้อเพลิงทดแทน หรือ Hydrotreated Vegetable Oil (HVO) กับเครื่องยนต์ดีเซล เพื่อให้บรรยากาศมีค่าคาร์บอนไดออกไซด์เป็นกลางภายในปี 2593 ทางบริษัทอนุมัติให้รถ Audi หลายรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล TDI บลอค V6 สูบ และเครื่องยนต์ดีเซลที่ให้กำลังมากกว่า 282 แรงม้า สามารถเติมเชื้อเพลิง HVO ได้ ซึ่งมีรุ่นต่างๆ ได้แก่ A4, A5, A6, A7, A8, Q7 และ Q8 สำหรับ Audi Q5 รุ่นเครื่องยนต์ดีเซล บลอค V6 สูบ เติม HVO ได้ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา ตามด้วย A6 Allroad จะเติมได้ช่วงฤดูร้อนที่กำลังมาถึง โดยเจ้าของรถสามารถสังเกตสติคเกอร์ตัวอักษร “XTL” ที่ฝาเติมน้ำมัน ซึ่งจะรวมถึงเครื่องยนต์ดีเซล บลอค 4 สูบ อีกด้วย ก่อนที่ Audi จะอนุมัติเรื่องดังกล่าว ต้องทำการทดสอบเครื่องยนต์จนมั่นใจว่าจะไม่มีผลกระทบกับชิ้นส่วน สมรรถนะ และระบบท่อไอเสีย น้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ HVO นำมาจากวัตถุดิบรีไซเคิล ที่มาจากพืช เป็นของเหลวที่ผ่านการใช้งานแล้ว อาทิ น้ำมันพืช หรือของเหลือการเกษตร ที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนในระดับโมเลกุลเข้าไปยังของเหลว จะสามารถเปลี่ยนคุณสมบัติของเหลว ให้สามารถใช้งานแทนน้ำมันเชื้อเพลิงดีเซลได้อย่างไม่มีปัญหา ทาง Audi ทำตามแผนกลยุทธ์ Vorsprung 2030 ซึ่งกำหนดให้ปรับการผลิตรถรุ่นใหม่ทั้งหมด ให้เป็นรถพลังงานไฟฟ้าภายในปี 2569 ในขณะเดียวกันก็ผลักดันให้การใช้งานขนส่งให้บรรยากาศมีค่าคาร์บอนไดออกไซด์เป็นกลางเช่นกัน ก่อนการยุติการผลิตเครื่องยนต์สันดาปภายใน ในปี 2576 ทาง Audi พยายามปรับปรุงเครื่องยนต์สันดาปภายใน ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ปล่อยมลพิษต่ำ และอีกทางหนึ่งคือการพัฒนาด้านเทคโนโลยี เพื่อให้ใช้เชื้อเพลิงทดแทนที่ยั่งยืนอย่าง HVO