Mitsubishi Colt 2023 กลับมาอีกครั้ง ในรูปแบบ Hybrid

หลังจากที่ Mitsubishi วางแผนร่วมกับ Nissan และ Renault ในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า 30 รุ่น บน 5 พแลทฟอร์ม เพื่อสู้กับคู่แข่งที่ต่างเร่งปรับตัว เพื่อเข้าสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า Mitsubishi Colt ถูกยุติการผลิตในยุโรปมาตั้งแต่ปี 2012 แต่ล่าสุด Mitsubishi ยุโรป ประกาศจะนำ Colt กลับมาทำตลาดอีกครั้ง นอกจาก Mitsubishi จะปล่อยทีเซอร์ ASX เอสยูวีขนาดเล็กแล้ว ยังปล่อยทีเซอร์รถเก๋งขนาดเล็ก 5 ประตู Mitsubishi Colt เจเนอเรชันใหม่ ทั้ง 2 รุ่น มีภาษาการออกแบบที่คล้ายคลึงกัน Mitsubishi Colt รุ่นใหม่ คาดว่าจะเปิดตัวช้าที่สุด ไม่น่าเกินสิ้นปีนี้ เนื่องจากปีนี้ (2022) ตรงกับปีครบรอบ 60 ปีที่ Mitsubishi Colt ถูกทำตลาดครั้งแรกที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี 1962 โดยใช้ชื่อว่า Colt 600 ก่อนจะพัฒนาต่อมาเรื่อยๆ จนกระทั่งวางจำหน่ายในยุโรปครั้งแรกในปี 1978 และสามารถทำยอดขายสะสมในประเทศเยอรมนีได้สูงถึงประมาณ 500,000 คัน แต่ถูกยุติการผลิตลงในช่วงปลายปี 2012 ที่ผ่านมา จากทีเซอร์ของ Mitsubishi Colt รุ่นใหม่ กระจังหน้ายังคงใช้ดีไซจ์นแบบ Dynamic Shield พร้อมไฟ DRL LED ดีไซจ์นเพรียวบาง ไฟหน้าย้ายลงมาที่กันชนหน้า แต่ส่วนอื่นของตัวรถไม่ว่าจะเป็น ฝากระโปรงหน้า แนวกรอบกระจก เส้นสายตัวถัง ไฟท้าย มีความคล้ายคลึงกับ Renault Clio รุ่นล่าสุด เพราะทั้ง 2 คัน ใช้พแลทฟอร์ม CMF-B ร่วมกัน จากความร่วมมือของกลุ่มพันธมิตร Renault-Nissan-Mitsubishi Alliance Mitsubishi Colt จะมาพร้อมกับขุมกำลังไฟฟ้าแบบไฮบริด (สังเกตได้จาก ตัวอักษร Hybrid EV ที่ประตูหน้า) ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าอาจได้ใช้ขุมพลังยกชุดจาก Nissan Juke Hybrid ซึ่งเป็นการยกชุด E-tech Hybrid ที่พัฒนาร่วมกับ Renault เครื่องยนต์เบนซิน E-Tech ขนาด 1.6 ลิตร ขุมกำลัง 94 แรงม้า ที่ 5,600 รตน. แรงบิด 148 นิวตัน-เมตร ที่ 3,200 รตน. จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลัง 49 แรงม้า แรงบิด 205 นิวตัน-เมตร และมอเตอร์ไฟฟ้าอีกตัวทำงานเป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแรงดันสูง 15 กิโลวัตต์ ให้พละกำลัง 20 แรงม้า มาช่วยกันขับเพลาคู่หน้าร่วมกัน ให้แรงม้าสูงถึง 142 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 9.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 180 กม./ชม. แบทเตอรีที่มีความจุ 1.2 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถใช้พลังงานไฟฟ้าทุกครั้งที่ออกตัว รวมไปถึงการทำงาน 80 % ของการขับขี่ในเมือง ช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง และยังสามารถใช้งานโหมดการขับขี่ Pure EV ได้จนถึงความเร็ว 55 กม./ชม. เลยทีเดียว ขอบคุณภาพ Render จาก Kleber Silva และ Autospias