เรื่องน่ารู้
พ่วงแบทเตอรีอย่างถูกวิธี ใครๆ ก็ทำได้

ทำไมต้องพ่วงแบทเตอรีอย่างถูกวิธี ?
แบทเตอรีรถยนต์ ประกอบไปด้วย ขั้วบวก และขั้วลบ สิ่งที่เราต้องระวังที่สุด คือ อย่าให้ทั้ง 2 ขั้วมาแตะกัน เพราะจะทำให้เกิดประกายไฟ อาจเป็นต้นเหตุของอันตรายอื่นๆ ตามมาได้ ดังนั้น การพ่วงแบทเตอรีที่ถูกต้อง จึงต้องมีวิธีการพ่วงตามลำดับขั้นเสมอ
จุดสำคัญที่ต้องเน้นมีอยู่ 2 จุด คือ "จุดเริ่ม" ที่ต้องเริ่มต่อสายพ่วงสีแดง กับขั้วบวกของแบทเตอรีที่หมดก่อนทุกครั้ง เนื่องจากหากปลายสายพ่วงสีแดงอีกด้าน ไปสัมผัสกับส่วนที่เป็นโลหะโดยบังเอิญเข้า ก็จะไม่ทำให้เกิดประกายไฟ หรืออาจเกิดขึ้นได้ แต่ประกายไฟก็จะน้อยมาก ขั้นตอนที่เหลือก็คือ การต่อแบทเตอรีให้ครบวงจร
อีกจุด คือ "จุดจบ" การที่ไม่ต่อแบทเตอรีขั้วลบสายสีดำ ที่เป็นเส้นสุดท้ายเข้ากับแบทเตอรีที่ไม่มีประจุไฟโดยตรง เนื่องจากเราไม่ต้องการให้ประกายไฟที่อาจเกิดขึ้น กระเด็นเข้าไปในแบทเตอรี ซึ่งอาจทำให้แบทเตอรีเกิดการระเบิดได้ แบทเตอรีรถยนต์นั้นมีสายกราวน์ดซึ่งต่อเข้ากับตัวถังรถอยู่แล้ว ดังนั้นการต่อสายพ่วงแบทเตอรีเส้นสุดท้ายเข้ากับตัวถังรถ จึงเหมือนกับการต่อสายกราวน์ดเข้าแบทเตอรีอย่างไม่ผิดเพื้ยน
อุปกรณ์
1. สายพ่วงแบทเตอรีขั้วบวก (สายสีแดง)
2. สายพ่วงแบทเตอรีขั้วลบ (สายสีดำ)
ขั้นตอนการพ่วงแบทเตอรี
1. นำรถคันที่ไฟเต็มมาจอดให้หน้ารถเข้าหากัน แล้วติดเครื่องยนต์ค้างไว้
2. นำสายพ่วงสีแดง ต่อพ่วงกับขั้วบวก (+) ของรถคันที่แบทเตอรีหมด
3. แล้วนำปลายสายสีแดงอีกด้าน ต่อเข้ากับขั้วบวก (+) ของแบทเตอรีที่ไฟเต็ม
4. นำสายพ่วงสีดำ ต่อพ่วงกับขั้วลบ (-) ของแบทเตอรีที่ไฟเต็ม
5. จากนั้นนำปลายสายสีดำ ต่อพ่วงกับกราวน์ดของรถ (ชิ้นส่วนตัวถังรถ)
6. สตาร์ทเครื่องยนต์ที่แบทเตอรีหมด ถ้าทำถูกต้องเครื่องยนต์จะติด
7. ขั้นตอนการถอด ต้องถอดขั้วลบ (สายกราวน์ดสีดำบนตัวถังรถที่แบทเตอรีหมด) ออกก่อน เพื่อเป็นการตัดวงจร
8. ถอดปลายสายสีดำอีกด้านหนึ่งที่เป็นขั้วลบ ของรถที่มีประจุไฟเต็มออก
9. ถอดสายสีแดงที่เป็นขั้วบวก ในรถที่มีประจุไฟเต็มออก
10. หลังจากนั้นถอดสายขั้วบวก ของรถที่แบทเตอรีหมดออก เป็นอันเสร็จ
เกร็ดควรรู้ ?
หน้าที่ของแบทเตอรี
แบทเตอรีทำหน้าที่หลายอย่าง อย่างแรก สะสมพลังงานไฟฟ้าไว้สำหรับการสตาร์ทเครื่องยนต์ หน้าที่ต่อมา คือ จ่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่อุปกรณ์ต่างๆ (แทนไดชาร์จของรถ) ตอนที่เครื่องยนต์ไม่ทำงาน เช่น เปิดฟังเพลง หรือวิทยุ เป็นต้น หน้าที่ลำดับต่อมา คือ เป็นแหล่งพลังงานไฟฟ้าสำรอง เมื่อใดที่เราใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าหลายอย่างพร้อมกัน จนกระแสไฟที่ใช้เกินกว่ากระแสไฟที่ไดชาร์จผลิตได้ เช่น รถติดเป็นเวลานานตอนกลางคืนแล้วฝนตก ทำให้ต้องใช้ทั้งไฟหน้า/หลัง เครื่องปรับอากาศ ที่ปัดน้ำฝน เครื่องเสียง โดยที่เครื่องยนต์หมุนแค่รอบเดินเบาเท่านั้น
หน้าที่สุดท้าย คือ จ่ายกระแสไฟฟ้าให้อุปกรณ์บางอย่างที่ต้องทำงานแม้จะดับเครื่องแล้ว เช่น ระบบกันขโมย ระบบลอคประตูไฟฟ้า หน่วยความจำวิทยุ เป็นต้น
ชนิดของแบทเตอรี
ที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน เป็นแบบตะกั่ว-น้ำกรด (Lead-Acid Battery) หรือที่เรียกว่า "แบบเปียก" นั่นเอง แบทเตอรีแบบนี้เก็บ และคายพลังงานไฟฟ้า โดยอาศัยปฏิกิริยาทางเคมีระหว่างตะกั่ว และน้ำกรด ขณะทำปฏิกิริยาจะเกิดความดันภายในตัวแบทเตอรี เลยต้องมีรูระบายไอระเหยของน้ำกรดไว้ จึงทำให้ต้องหมั่นเติมน้ำกลั่นอยู่เรื่อยๆ ปัจจุบันมีการผลิตแบทเตอรีแบบเปียกรุ่นใหม่ ที่เป็นระบบหมุนวนไอระเหยจากน้ำกรด (Maintenance Free) หรือระบบปิดนั่นเอง แบบนี้จะไม่มีรูเติมน้ำกลั่น ไอที่ถูกดันออกจะมีช่องวนกลับไปที่เดิม จึงทำให้ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น แบทเตอรีแบบเปียกนี้มีอายุการใช้งานประมาณ 2-3 ปี แล้วแต่การใช้งาน
แบทเตอรีอีกชนิดหนึ่ง คือ "แบบแห้ง" มักนิยมใช้ในเมืองหนาว ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น แต่มีราคาสูงมากเมื่อเทียบกับแบบเปียก
รักษาแบทเตอรี ให้อยู่ได้นาน
อายุของแบทเตอรีนั้น สามารถอยู่ได้ถึง 3-4 ปี ถ้าเราดูแลรักษาให้อยู่ในสภาพปกติตลอดเวลา วิธีที่ง่ายที่สุด คือ ตรวจดูระดับน้ำให้อยู่ในระดับ Max หรือขีดบนสุดอยู่เสมอๆ ถ้ามองไม่เห็น ให้หมุนเปิดเกลียวด้านบนดู โดยต้องให้น้ำกรดท่วมแผ่นธาตุตะกั่วขึ้นไปประมาณ 1 เซนติเมตร และต้องใช้น้ำกลั่นเท่านั้นในการเติม แบทเตอรีอายุยิ่งนานยิ่งกินน้ำกลั่น ฉะนั้นควรตรวจระดับน้ำกรดในแบทเตอรีทุกสัปดาห์
ไม่ควรใช้ขั้วลบของแบทเตอรีเป็นกราวน์ด (Ground) จากการต่ออุปกรณ์เสริมต่างๆ ควรใช้วิธีการต่อสายกราวน์ดจากตัวถังรถจะดีที่สุด ถ้าใช้ขั้วลบของแบทเตอรีเป็นกราวน์ดมากเกินไป จะส่งผลเสียต่อแบทเตอรี ทำให้อายุการใช้งานสั้นลง
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ พ่วงแบทเตอรี ดูเหมือนง่าย แต่ไม่ง่าย
หากสนใจรถไฟฟ้า EV สามารถเข้าไปดู หัวชาร์จรถ EV มีกี่แบบ แตกต่างกันอย่างไร ? 

