ธุรกิจ
Ford ส่ง Ranger Rapter ลงสนาม Baja 1000

การแข่งขัน Baja 1000 ซึ่งจัดขึ้นที่คาบสมุทร Baja California เป็นหนึ่งในรายการแข่งขันออฟโรดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก และดึงดูดผู้เข้าแข่งขันจากทั่วโลกที่กระหายจะพิชิตเส้นทางสุดโหดหินของภูมิประเทศแบบทะเลทราย และหน้าผาที่สูงชัน รวมถึงการขับไต่ขึ้นไปตามเนินทรายที่ลาดชัน
ในอดีต Ford F-150 Raptor และ Ford Bronco ประสบความสำเร็จในการแข่งขัน Baja 1000 มาแล้ว โดยรถกระบะ Ford มีประวัติศาสตร์ที่น่าภูมิใจร่วมกับรายการนี้มาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นรถ Ford F-150 Raptor รุ่นปี 2017 ที่นอกจากจะจบการแข่งขันด้วยการครองโพเดียมแล้ว ยังโชว์ศักยภาพความอึดด้วยการเดินทางต่ออีก 643 กม. กลับบ้านหลังการแข่งจบลง เช่นเดียวความประทับใจจากการลงสนามของรถแข่งต้นแบบ Ford Bronco R ซึ่งเป็นรถที่พัฒนาขึ้นเพื่อทดสอบสมรรถนะก่อนผลิตรุ่นที่วางจำหน่ายจริงในปัจจุบัน รวมถึงการแข่งขันของรถในตำนานอย่าง Ford Bronco รุ่นปี 1969 ที่คว้าชัยชนะคะแนนรวมมาแล้วในสนามนี้
Ford Performance เชื่อมั่นว่า Ranger Raptor พร้อมแล้วสำหรับความท้าทายในรายการนี้ โดยรถคันนี้ได้รับการพัฒนาขึ้นตามข้อกำหนดของผู้จัดงาน ในประเภท Stock Class ที่มุ่งโชว์สมรรถนะของรถกระบะที่ผลิตขึ้นเพื่อวางจำหน่ายให้แก่ลูกค้าทั่วไป
ตลอดการแข่งขันครั้งนี้ Ford Ranger Raptor จะใช้น้ำมันของ Shell ที่ผสมเชื้อเพลิงชีวภาพในสัดส่วน 1 ต่อ 3 ที่ผลิตจากเอธานอล และไบโอแนปธา
ซินเธีย วิลเลียมส์ ผู้อำนวยการด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน การกำกับดูแลการปฏิบัติงาน และการรับรองมาตรฐาน Ford Motor Company กล่าวว่า “การนำเชื้อเพลิงคาร์บอนต่ำมาใช้ในรายการสุดวิบากอย่าง Baja 1000 จะช่วยให้เทคโนโลยีพลังงานสะอาด และเชื้อเพลิงชีวภาพขยายไปสู่วงกว้างได้เร็วขึ้น และมีจำหน่ายทั่วถึงในราคาที่จับต้องได้สำหรับทุกคนมากขึ้น”
Ford มุ่งมั่นบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ทั้งจากรถยนต์ กระบวนการผลิต และห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกภายในปี พศ. 2593 โดยในระหว่างนั้นมีการตั้งเป้าหมายระยะสั้นเพื่อบรรลุเป้าหมายตามหลักทางวิทยาศาสตร์ไว้ภายในปี พศ. 2578 โดย Ford ได้ทยอยเปิดตัวรถยนต์รุ่นยอดนิยมที่ใช้พลังงานไฟฟ้ามาแล้วหลายรุ่น และยังคงเดินหน้าวิจัย และพัฒนาเชื้อเพลิงทางเลือกสำหรับรถยนต์ Ford รุ่นอื่นๆ รวมถึงในรถที่ปรับแต่งเพื่อการแข่งขัน เพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกค้าในการใช้เชื้อเพลิงคาร์บอนต่ำที่มีประสิทธิภาพ โดยรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงทางเลือกจะช่วยลดการปล่อยแกสเรือนกระจกตามหลัก Well-to-Wheel ซึ่งใช้วัดประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ต่างชนิดกันในหลายด้าน รวมถึงการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์ในการผลิต และการใช้เชื้อเพลิง


