ธุรกิจ
Continental เสนอนวัตกรรม และบริการยานยนต์ล้ำสมัย
Peter Rankl ประธานฝ่ายบริหารภูมิภาคอาเซียน และ ดร. ณรงศักดิ รัตนสุวรรณชาติ ผู้จัดการทัวไปประจําประเทศไทย และผู้อํานวยการฝ่ายขาย และการตลาดภูมิภาคอาเซียน Continental Automotive Bangkok กล่าวว่า Continental ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ และปรับโครงสร้างให้มุ่งสู่ตลาดที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งโครงสร้างใหม่ของ Continental ประกอบด้วยธุรกิจ 3 ภาคส่วนภายใต้หลังคาเดียวกัน ได้แก่ กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีด้านยานยนต์ กลุ่มธุรกิจยางรถยนต์ และกลุ่มธุรกิจ Contitec (กลุ่มผลิตภัณฑ์ยางทางเทคนิค และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีพลาสติค) ทําให้บริษัทฯ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และไม่มีบริษัทอื่นในตลาดที่สามารถนําเสนอในเรื่องเดียวกันกับที่ Continental ทำได้
ที้งนี้ Continental มุ่งมั่นในการพัฒนาโซลูชันที่จะเป็นนวัตกรรมสําหรับการช่วยเหลือการขับขี่ และการขับขี่แบบอัตโนมัติ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของเราเกี่ยวกับโลกที่ปราศจากอุบัติเหตุจราจร นอกจากเรื่องความปลอด ภัยแล้ว เรายังให้ความสําคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ไม่เพียงแต่ทําให้การขับขี่ปราศจากความเครียดเท่านั้น แต่ยังมอบประสบการณ์ใหม่ๆ ให้แก่ผู้ใช้งานอีกด้วย ขณะนี้ Continental กําลังกําหนด มาตรฐานสําหรับการขับขี่แบบเชื่อมต่อสําหรับอนาคต ด้วยการใช้เทคโนโลยีการขับขี่แบบไร้รอยต่อ และอุปกรณ์อีเลคทรอนิคส์ที่มีประสิทธิภาพสูง
สำหรับนวัตกรรมเทคโนโลยีในยานยนต์ Continental มี 5 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ การขับเคลื่อนอัตโนมัติ (Autonomous Mobility) ความปลอดภัย และการขับเคลื่อน (Safety and Motion) ยานยนต์อัจฉริยะ (Smart Mobili ty) การเสริมสร้างประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience) สถาปัตยกรรม และการเชื่อมต่อโครงข่าย
โดยในส่วนแรกได้นําเสนอเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติที่ใช้กล้อง เรดาร์ และเซนเซอร์ต่างๆ เข้าช่วยเหลือผู้ขับขี่ เริ่มจากกล้องมัลทิฟังค์ชันอัจฉริยะจับภาพด้านหน้าที่สามารถตรวจจับวัตถุกีดขวางได้เร็วขึ้นตรวจจับเส้นแบ่งจราจร และควบคุมสถานการณ์การจราจรที่ซับซ้อนบนท้องถนน ตรวจจับสัญญาณไฟจราจร ป้ายจราจร และสามารถแจ้งเตือนเมื่อผู้ขับขี่เมื่อเกิดการขับขี่ที่ไม่มั่นคงได้ อีกทั้งยังมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ป้องกันการโจรกรรมทางไซเบอร์ได้อีกด้วย
กล้อง Surround View System ให้มุมมองรอบทิศทางที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ขับขี่ในหลายสถานการณ์ ตั้งแต่การตรวจจับสิ่งกีดขวางล่วงหน้าการตรวจสอบจุดบอดของรถเมื่อเปลี่ยนเลนบนท้องถนน ไปจนถึงการจอดรถเทียบข้างทางโดยที่รถไม่ปีนทางเท้า
Surround Radars ช่วยเพิ่มความปลอดภัยด้วยการตอบสนองที่มากขึ้นทําให้เรดาร์รอบทิศทางที่ตรวจจับได้ถึง 360 องศา สามารถตรวจจับวัตถุได้รวดเร็ว และแม่นยํายิ่งขึ้น เช่น รถจักรยาน หรือรถจักรยานยนต์ขณะข้ามทางแยก แม้ว่าตําแหน่งของเซนเซอร์จะอยู่ด้านหลังกันชนทั้งซ้าย และขวาของตัวรถ แต่เรดาร์รอบทิศทางก็จะยังสามารถช่วยเหลือผู้ขับขี่ และการขับขี่อัตโนมัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับมาตรฐานระดับความปลอดภัยในอุตสาหกรรมยานยนต์ ASIL-B
เทคโนโลยีระบบเบรคไม่ว่าจะเป็นในรถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์ ต่างก็เป็นเรืองที่ต้องให้ความสําคัญไม่แพ้กัน MK120 เป็นระบบเบรคอีเลคทรอนิคส์รุ่นใหม่จาก Continental ใช้สําหรับระบบควบคุมเสถียรภาพทางอีเลคทรอนิคส์ ซึ่งมีความสามารถในการปรับเปลี่ยนสมรรถนะไฮดรอลิคเพื่อรองรับการเบรคฉุกเฉินแบบอัตโนมัติ รองรับระบบเพิ่มแรงดันเบรคแบบสุญญากาศ และแบบไฟฟ้า และยังมีความสามารถสร้างกําลังในการเบรค พร้อมลดแรงดันในเวลาเดียวกัน
นอกจากเทคโนโลยีความปลอดภัยในระบบเบรคแล้ว การควบคุมถุงลมนิรภัยนันก็สําคัญไม่แพ้กัน ชุดควบคุมถุงลมนิรภัย (Airbag Control Units) ที่ทันสมัยจาก Continental สามารถควบคุมการทํางานของถุงลมนิรภัยได้มากถึง 48 ใบ และคาดว่าจะมีจํานวนเพิ่มขึ้นอีกในอนาคตประสิทธิภาพของ ACU จะแตกต่างกันไปตามแต่ละส่วนของยานพาหนะ และอุปกรณ์ ซึ่งมีฟังค์ชันพื้นฐานในการป้องกันการกระแทกจากด้านหน้า และด้านหลังด้วยถุงลมนิรภัย ตัวปรับสายคาดนิรภัย และยังมีฟังค์ชันเพิ่มเติม เช่น การอัพเดทแบบ Over-The Air
บริษัทเทคโนโลยียังมีเซนเซอร์ 2 ตัวสําหรับรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ได้แก่ Current Sensor Module (CSM) และระบบ Battery Impact Detection (BID) โซลูชันใหม่ทั้ง 2 มุ่งเน้นไปที่การปกป้องแบทเตอรี และส่งข้อมูลไปยังส่วนอื่นๆ เพื่อให้ระบบควบคุมรักษาพารามิเตอร์ของแบทเตอรี ภายในปี 2565 Continental จะเริ่มผลิตโมดูลเซนเซอร์กระแสไฟแรงสูง (CSM) ใหม่ทั้งหมด การออกแบบเซนเซอร์โมดูลาร์ขนาดกะทัดรัดนี้วัดกระแส และตรวจจับอุณหภูมิพร้อมกัน ค่าทั้ง 2 มีความเกี่ยวข้องสูงโดยเป็นอินพุทสําหรับการจัดการแบทเตอรี ส่วนประกอบที่เป็นนวัตกรรมใหม่ของการป้องกันแบทเตอรีจะถูกนําออกสู่ตลาดโดย Continental คือ โซลูชันที่เรียกว่า Battery Impact Detection (BID) จะตรวจจับแรงกระแทกจากภายนอกที่ส่งผลต่อความเสียหายของแบทเตอรี เป็นทางเลือกที่มีนําหนักเบาลง ตอบสนองเร็วขึ้น และปกป้องแบทเตอรีได้ในขณะเดียวกัน เมื่อพูดถึงอุบัติเหตุในรถจักรยานยนต์ โอกาสการเกิดอุบัติเหตุสามารถลดลงได้มาถึง 10 % เมื่อรถจักรยานยนต์ติดตังระบบ ABS ในสถานการณ์ที่ผู้ขับเบรครถแบบกระทันหัน ระบบเบรคแบบธรรมดาจะไม่มีคุณสมบัติกระจายระบบแรงระหว่างล้อหน้า และล้อหลัง ทําให้ล้อลอค และผู้ขับขี่สามารถสูญเสียการควบคุมรถได้ หากใช้ระบบเบรค ABS ระบบจะเป็นตัวช่วยควบคุมแรงดันในการเบรคให้ลงลด-เพิ่มขึ้นอย่างเป็นจังหวะ ป้องกันรถสะบัด ล้อลอค ลื่นไถล และพลิกคว่ำ ทําให้ผู้ขับขี่สามารถทรงตัว และบังคับทิศทางของรถได้ ในปัจจุบัน Continental มี ABS รุ่น MK 100 MAB โดยติดต้ัง 2 ล้อหน้า-หลัง และมีฟังค์ชันอื่นๆ ได้แก่ ฟังค์ชันป้องกันล้อหมุนฟรี (Traction Control System) ฟังค์ชันเพิ่มความปลอดภัยเมื่อเบรคขณะเข้าโค้ง (Optimized Curve Braking) และฟังค์ชันตรวจจับการยกตัวขึ้นของล้อหลังโดยเฉพาะเพื่อการชะลอความเร็วที่เหมาะสมอย่างมีเสถียรภาพ (Rear Wheel Lift-Off Protection, RLP)
ดร. ณรงศักดิ์ รัตนสุวรรณชาติ กล่าวว่า ในปัจจุบันลูกค้าเป็นแรงขับเคลื่อนที่สําคัญในตลาดเทคโนโลยี เห็นได้จากความต้องการเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น การใช้สมาร์ทโฟนในการเข้าถึงฟังค์ชันต่างๆ ของรถ ระบบเทเลเมติคส์ รถยนต์นําร่องที่เป็นระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ และหน้าจอแสดงผลที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ทําให้กฎหมายที่เกียวข้องกับการขับขี่อย่างปลอดภัยบนท้องถนนได้รับการปรับปรุงเพื่อรองรับการขับขี่แบบอัตโนมัติ เช่น แนวทางการควบคุมเบรคในมอเตอร์ไซค์ กฎระเบียบของสหภาพยุโรปสําหรับการตรวจสอบผู้ขับขี่
ระบบเตือนการชนจาก Continental จะทําหน้าที่เป็น Digital Guardian Angel ซึ่งจะให้การปกป้องมีประสิทธิภาพสําหรับผู้ใช้ถนนที่มีความเสียงเป็นพิเศษในอนาคต โดยระบบจะใช้ข้อมูลจากวัตถุการจราจรในพื้นที่สี่แยกที่ตรวจพบ ข้อมูลไฟเบรค และแผนที่ดิจิทอลที่แม่นยํา คําเตือนเกี่ยวกับการชนที่จะเกิดขึ้นจะถูกส่งในแบบทันทีผ่านเครือข่าย Low Latency ของบริษัท Deutsche Telekom ไปยังผู้ใช้ถนนที่มีแอพพลิเคชัน T-Systems ที่สอดคล้องกันบนสมาร์ทโฟนของตน นี่คือ วิธีที่เทคโนโลยี Digital Guardian Angel ปกป้องผู้ใช้ถนนที่มีความเสี่ยงเป็นพิเศษ เช่น คนเดินถนน ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ หรือนักปั่นจักรยานรวมถึงผู้ขับขี่รถยนต์จากอุบัติเหตุ
Peter Rankl กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า สําหรับ Continental "Vision Zero" หรือโครงการลดอุบัติเหตุทางถนนให้เป็น 0 มีความสําคัญสูงสุดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ Digital Guardian Angel ที่พัฒนาขึ้นภายใต้ความร่วมมือในครั้งนี้ร่วมกับระบบความช่วยเหลืออื่นๆ ทําให้เราเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้น
Continental ได้พัฒนาโซลูชันแบบบูรณาการสําหรับเทคโนโลยีเซนเซอร์ภายใน (Cabin Sensing) ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยในอนาคต และเพิ่มความสะดวกสบายภายในรถ โซลูชันเซนเซอร์ภายในรถนี้บริษัทเทคโนโลยีได้รวบรวมเอาความเชี่ยวชาญหลายปีในทุกด้านของกล้องภายใน รถที่ใช้ในการโต้ตอบระหว่างมนุษย์ และเครื่องจักร กับความรู้ความชํานาญในเรื่องเทคโนโลยีเซนเซอร์เรดาร์ ด้วยเหตุนี้ Continental จึงก้าวไปไกลกว่าการใช้เซนเซอร์ผู้ขับขี่เพียงอย่างเดียวด้วยการใช้เซนเซอร์ตรวจจับสิ่งมีชีวิตในรถได้อย่างแม่นยํา ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ เด็ก หรือสัตว์เลี้ยง นี่เป็นสิ่งสําคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย และนําเสนอโครงสร้างเพิ่มเติมสําหรับยานยนต์ในอนาคต เช่น การขับขี่อัตโนมัติ เทคโนโลยีนีสอดคล้องกับกฎระเบียบด้านความปลอดภัยในอนาคตของคณะกรรมาธิการยุโรป และองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคองค์กรทดสอบการชนของรถยนต์แห่งทวีปยุโรป European New Car Assessment Program (Euro NCAP) ในส่วนของ Asian NCAP มีโซลูชันนี้ในแผนงานของปี 2564-2568 แล้ว
เมื่อพูดถึงเทคโนโลยีทีเกี่ยวข้องกับความอัจฉริยะในระบบเครือข่าย และการเชื่อมต่อข้อมูลต่างๆ Continental ก็ได้มีการนําเสนอ CoSmA ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อระหว่างยานพาหนะเข้ากับสมาร์ทโฟน ทําให้สามารถสื่อสาร สั่งการ แชร์กุญแจดิจิทอล สตาร์ท และดับเครื่องยนต์รวมถึงเฝ้าดูรถได้จากสมาร์ทโฟน และสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยในนวัตกรรมยานต์ทีช่วยเชือมต่อระบบต่างๆ เข้าด้วยกันนั่น คือ ระบบ Telematics ที่เป็นการเชื่อมต่อยานพาห นะทั้งรถยนต์ส่วนบุคคล และยานพาหนะเพื่อการพาณิชย์ เข้ากับคลื่นสัญญาณ 5G ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการนํายานพาหนะเข้าสู่โลกแห่งการขับเคลื่อนอัตโนมัติอย่างเต็มรูปแบบ อีกทั้งยังคลายความกังวลในด้านความปลอดภัยทั้งกับตัวรถ และผู้ใช้รถ รวมไปถึงการเข้าถึงความบันเทิง และการอัพเดทแอพพลิเคชัน หรือซอฟท์แวร์ต่างๆ อีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีที่ให้บริการอย่างเป็นทางการแล้วจาก Quantum Inventions ซึ่ง Quantum Inventions คือ บริษัทในเครือของ Continental ที่ส่งมอบข้อมูลการเดินทางอัจฉริยะให้แก่ผู้สัญจร องค์กร และภาครัฐ ตอนนี้เปิดให้บริการพแลทฟอร์ม Share Care ในประเทศอินโดนิเซีย และพแลทฟอร์ม Limousine Dispatch ในประเทศสิงคโปร์
เนื่องจากการไลฟ์สไตล์ของคนเมืองเปลี่ยนไปจึงเกิดการใช้ทรัพยากรร่วมกัน โดย Share Car ซึ่งเป็นพแลทฟอร์มออนไลน์ที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ที่จะมอบประสบการณ์แปลกใหม่ให้กับผู้เช่ารถ Share Car เป็นแอพพลิเคชันเช่ารถเพียงแอพพลิเคชันเดียวที่ช่วยให้ผู้เช่ารถสามารถเรียกใช้รถได้ตลอด 24 ชม. และสามารถใช้รถได้โดยไม่ต้องใช้กุญแจ เพียงติดตั้งแอพพลิเคชัน Share Car บนสมาร์ทโฟนก็สามารถเช่ารถ และใช้ฟังค์ชันกุญแจเพื่อเข้าถึงรถได้ พแลทฟอร์มนี้เริ่มใช้งานจริงเมื่อปี 2563 ที่เมืองจาการ์ตา ประเทศอินโดนิเซีย
ส่วน Limousine Dispatch ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการที่ประเทศสิงคโปร์เมื่อปี 2564 พแลทฟอร์มนี้ใช้สําหรับจัดส่งรถลีมูซีนแบบครบวงจรสําหรับผู้ขับขี่ภายใน และภายนอกองค์กรโดยผู้ใช้งานสามารถเข้าไปจองผ่านเวบพอร์ทัล Dispatcher โดยระบบมีแอพพลิเคชันรองรับพร้อมระบบนําทางในตัวสําหรับคนขับเพื่อรับ และจัดตารางการรับงานนอกจากนี้ ยังใช้ Fleet Telematics ในการการติดตามตําแหน่งยานพาหนะอีกด้วย