รถล่าสุด
เผยสเปค New MG ES สเตชันแวกอนไฟฟ้าร่าง 2 ของ MG EP คาดราคาประมาณ 9 แสนบาท
New MG ES หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ MG EP ไมเนอร์เชนจ์ นับเป็นรถไฟฟ้า 100 % สไตล์สเตชันแวกอนรุ่นที่ 2 ที่ MG นำมาจำหน่ายในประเทศไทย ในรอบนี้มีการปรับใหม่หลายส่วน ทั้งภายนอก และภายใน โดยปรับเปลี่ยนใหม่เกือบทั้งหมด แบทเตอรีก็ปรับใหม่ สามารถวิ่งได้ไกลขึ้น รวมถึงกำลังมอเตอร์ที่มีแรงม้า แรงบิดเพิ่มขึ้นด้วย เหลือเพียงราคาอย่างเดียว ที่ทาง MG ประเทศไทย จะประกาศอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มีนาคม นี้ โดยเปิดรับจองได้ตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม เป็นต้นไป ทางช่องทาง Online
New MG ES เปิดตัวภายใต้แนวคิด Comfortable เป็นทุกอย่าง เพื่อทุกโมเมนท์ โดดเด่นด้วยพื้นที่ใช้สอยของห้องโดยสารที่มีขนาดใหญ่ ด้วยดีไซจ์นภายนอก และภายในที่พรีเมียม ผสานความลงตัวในสไตล์ Brit Dynamic ทั้งในด้านสมรรถนะการขับขี่ Performance การควบคุม Handling การออกแบบ Design และความปลอดภัย Safety
ดีไซจ์นเรียบหรู แต่ล้ำสมัย
New MG ES มาพร้อม New ERA Design ออกแบบตัวรถใหม่ทั้งภายนอก และภายใน ที่ดูเรียบหรูผสานความล้ำสมัยได้อย่างลงตัว ในรูปแบบสเตชันแวกอน โดยมีมิติตัวถังยาว 4,600 มม. กว้าง 1,818 มม. สูง 1,543 มม. ระยะฐานล้อ 2,665 มม. และระยะต่ำสุดจากพื้น 115 มม.
โดยไฟหน้า ไฟเบรคดวงที่ 3 และไฟท้ายเป็นแบบ LED โฉมใหม่ Light Curtain Design ที่ดูโฉบเฉี่ยว และปราดเปรียวมากขึ้น พร้อมระบบควบคุมการเปิด/ปิดไฟหน้าแบบอัตโนมัติ ระบบไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่เวลากลางวัน (Daytime Running Lights) ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว กระจกมองข้างพับ และปรับไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยว ระบบไล่ฝ้ากระจกหลัง และสปอยเลอร์หลัง ฝาปิดห้องเครื่องด้านหน้า และที่ปิดห้องเก็บสัมภาระท้าย และชุดราวหลังคา (Roof Rail) รองรับน้ำหนักได้ถึง 75 กก.
ภายในดูพรีเมียม แต่ใช้งานได้จริง
ห้องโดยสารที่เรียบหรู กว้าง พร้อมดีไซจ์น Energetic Blue Strip พร้อมเทคโนโลยี Zero-G Seats เพื่อรองรับสรีระของผู้นั่ง กับความสามารถในกระจายน้ำหนัก ทำให้นั่งสบายตลอดเส้นทาง พื้นที่บรรจุสัมภาระสูงสุดถึง 1,367 ลิตร โดยมีรายละเอียดที่สำคัญดังนี้
- คอนโซลแบบ Double Layer พร้อมพื้นที่ช่องเก็บของรอบคัน และที่วางแก้ว
- เบาะนั่งหุ้มด้วยวัสดุหนังสังเคราะห์ Denim Texture Design กับผิวสัมผัสที่สบาย และดูแลรักษาง่าย พร้อมเส้นสายการตกแต่งภายในโทนสีฟ้า Energetic Blue Strip
- เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง และเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับ 4 ทิศทาง
- เบาะนั่งด้านหลังพนักพิงพับได้ 60:40
- พวงมาลัยมัลทิฟังค์ชันหุ้มหนัง ปรับ 4 ทิศทาง ควบคุมเครื่องเสียงพร้อมปุ่มรับ/วางโทรศัพท์
- หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิทอลขนาด 7 นิ้ว (Digital Multi-function Display) และหน้าจอสีระบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว พร้อมลำโพง 6 จุด
- ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่านบลูทูธ พร้อมช่องเชื่อมต่อ USB Type-A และ Type- C
- รองรับการเชื่อมต่อมัลทิมีเดีย Apple CarPlay และสมาร์ทโฟนระบบ Android
- กระจกมองหลังแบบตัดแสงอัตโนมัติ
- ระบบปรับอากาศแบบดิจิทอล พร้อมระบบกรองอากาศ PM2.5
- ระบบกุญแจรีโมทอัจฉริยะ (Smart key) พร้อมปุ่ม Push Start
ขุมกำลังใหม่ แรงขึ้นทุกจังหวะความเร็ว
เต็มประสิทธิภาพทุกการเดินทางด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด กับพแลทฟอร์มระบบส่งกำลัง SAIC E1 Three-Electric System มาพร้อมขุมพลังที่ให้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าเจเนอเรชันใหม่แบบ 8-Layer Hair Pin Permanent Magnetic Synchronous Motor (PMSM) ที่ให้พละกำลังสูงสุด 177 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280 นิวตัน-เมตร มาพร้อมช่วงล่างแบบ Euro Tuning Suspension ที่ให้การทรงตัวที่ดี ผสานกับระบบช่วงล่างหน้าอิสระ แมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโครง และระบบช่วงล่างด้านหลังแบบทอร์ชันบีม โดยมีรายละเอียดดังนี้
- พแลทฟอร์มระบบส่งกำลังใหม่ SAIC E1 Three-Electric System
- มอเตอร์ไฟฟ้าเจเนอเรชันใหม่แบบ 8-Layer Hair Pin Permanent Magnetic Synchronous Motor (PMSM)
- แบทเตอรีลิเธียม-ไอออน ฟอสเฟท (LFP) ความจุ 51 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถวิ่งในระยะทาง 412 กิโลเมตร* ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC (New European Driving Cycle)
- ระบบ Liquid Cooling System ช่วยระบายความร้อนให้ทั้งมอเตอร์ไฟฟ้า และแบทเตอรี ให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
- ระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) 3 ระดับ ได้แก่ มาก ปานกลาง และน้อย
- แบทเตอรีมาตรฐานความปลอดภัย IP67 ในการป้องกันน้ำ และฝุ่น
- รัศมีวงเลี้ยว 5.65 เมตร
- จานเบรคหน้า พร้อมช่องระบายความร้อน และจานเบรคหลัง
- ระบบพวงมาลัยแบบฟันเฟือง และตัวหนอน ควบคุมด้วยไฟฟ้า (EPS)
ระบบความปลอดภัย อุ่นใจทุกการเดินทาง
New MG ES มาพร้อมระบบโครงสร้างตัวถังนิรภัย FSF (Full Space Frame) และมีการติดตั้งระบบความปลอดภัยรอบคัน ด้วยระบบความปลอดภัยมาตรฐาน Advanced Synchronized Protection System พร้อมระบบ Advanced Driver Assistance System (ADAS) รวม 20 ระบบ ได้แก่
- ระบบเบรคมือไฟฟ้า EPB (Electronic Parking Brake)
- ระบบป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรคค้าง AVH (Auto Vehicle Hold)
- ระบบป้องกันล้อลอค ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรค EBD
- ระบบเสริมแรงเบรคด้วยอีเลคทรอนิคส์ EBA (Electronic Brake Assist)
- ระบบควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System)
- ระบบควบคุมเบรคในขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control)
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System)
- ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System)
- ระบบเปิด/ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-beam control)
- ระบบสัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรคฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal)
- ไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์ (Follow Me Home Light)
- ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning) และระบบช่วยเบรคฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB (Autonomous Emergency Braking)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane keep Assist)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน และช่วยควบคุมรถเมื่อออกนอกเลน ELK (Emergency Lane Keeping Assist)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning)
- จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ Isofix 2 จุด
- เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับพร้อมผ่อนแรงอัตโนมัติ
- ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย
- กล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ
- สัญญาณเตือนระยะถอยหลัง
- ระบบกุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer
ไปได้ทั่วไทย ด้วยสถานีชาร์จครอบคลุม
New MG ES มาพร้อมกับแบทเตอรีเทคโนโลยีใหม่ที่ให้สมรรถนะ และรองรับระบบการชาร์จ 2 รูปแบบ ทั้งแบบ Quick Charge และ Normal Charge เร็วขึ้น ให้ผู้ใช้งานสามารถเดินทางสะดวกสบายได้ทั่วประเทศ ด้วยความพร้อมของสถานีอัดประจุไฟฟ้าของ MG Super Charge ที่ติดตั้งแล้วกว่า 158 แห่งทั่วประเทศ
- ชาร์จแบบเร็ว Quick Charge ชาร์จไฟฟ้าจาก 0-80 % ใช้เวลาประมาณ 40 นาที* ที่ความเร็วสูงสุด 87 กิโลวัตต์
- ชาร์จแบบธรรมดา Normal Charge ผ่าน MG Home Charger 0-100 % ใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมง 15 นาที* ที่ 6.6 กิโลวัตต์ รองรับการชาร์จสูงสุดที่ 11 กิโลวัตต์
- รองรับระบบ V2L (Vehicle to Load) เปลี่ยนรถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้สามารถเป็นแหล่งจ่ายไฟให้แก่อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ด้วยกำลังไฟสูงสุด 2,200 วัตต์
- ปรับปรุงระบบระบายความร้อนให้ใช้งานต่อเนื่องได้ดียิ่งขึ้น และมีน้ำหนักเบาลง 22 %
*ระยะเวลาในการชาร์จ ขึ้นอยู่กับระดับแบทเตอรีคงเหลือ และกำลังของเครื่องอัดประจุไฟฟ้า
สะดวกสบาย ทุกการเชื่อมต่อ
New MG ES มาพร้อมกับระบบสั่งการอัจฉริยะ i-SMART ในรูปแบบ Lite Version ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ และอำนวยความสะดวกสบายแก่ผู้ใช้งานไปอีกขั้น ให้เข้าถึงระบบการใช้งานรถไฟฟ้า เพียงปลายนิ้วสัมผัส
Smart Check (ระบบตรวจเชคอัจฉริยะ)
- ระบบตรวจสอบสถานะรถยนต์
- ระบบสั่งการ และระบบค้นหารถ Find My Car
- ระบบเตือนความผิดปกติของรถยนต์
- ระบบขอบเขตอีเลคทรอนิคส์
- ระบบช่วยค้นหาศูนย์บริการ นัดหมาย และบันทึกการดูแลรักษารถยนต์ตามระยะ
- ระบบตรวจสอบสถานะแบทเตอรี การชาร์จ และสถานีชาร์จ
Smart Command (ระบบสั่งการอัจฉริยะ)
- กุญแจดิจิทอล
- ระบบควบคุมการทำงานของระบบปรับอากาศผ่านทางสมาร์ทโฟน
- ระบบเลขาส่วนตัว MG Call Centre
- ระบบโทรออก/รับสายกรณีฉุกเฉิน Emergency Call
- ระบบสั่งการชาร์จ สถานี MG Super Charge ผ่านทางสมาร์ทโฟน
New MG ES มาพร้อมสีตัวถังให้เลือกถึง 5 สี ได้แก่ สีขาว (Arctic White) สีดำ (Black Knight) สีเทา (Andes Gray) สีแดง (Scarlet Red) และสีเงิน (Champagne Silver) และตกแต่งภายในสไตล์ทูโทนพร้อมหุ้มด้วยวัสดุหนังสังเคราะห์ Denim Texture Design
ABOUT THE AUTHOR
วิธวินท์ ไตรพิศ
ดูคุณพ่อจนขับรถได้ตั้งแต่ 8 ขวบ หลงใหลยานยนต์ จนได้วุฒิ Automotive Engineering ติดตัว ปัจจุบันเป็น บก.นักเขียน นักทดสอบรถ และ Instructor ที่พร้อมถ่ายทอดความรู้ แบบไม่มีกั๊ก !
คอลัมน์ Online : รถล่าสุด (บก. ออนไลน์)