แนนซี่ เฉิน ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Aston Martin Lagonda กล่าวว่า ปีนี้นับว่ามีความหมายกับ Aston Martin เป็นพิเศษ เนื่องในโอกาสครบรอบ 110 ปี แห่งประวัติศาสตร์ของผู้ผลิตยนตรกรรมสปอร์ทจากประเทศอังกฤษ นับตั้งแต่การคว้าชัยชนะในการแข่ง Aston Hill Climb ไปจนถึงการนำรถเข้าแข่งรายการ ฟอร์มูลา วัน กรองด์ปรีซ์ ในปัจจุบัน พร้อมกันนี้ เรายังได้เฉลิมฉลองการครบรอบ 75 ปี ของยนตรกรรมสายพันธุ์ DB ที่นับเป็นต้นกำเนิดของรถ GT (Grand Tourer) ด้วยการเปิดตัวยนตรกรรมรุ่นล่าสุด Aston Martin DB12 ผู้กำหนดนิยามใหม่ “The World’s First Super Tourer”
ฉัตรชัย แก้วผ่องศรี ผู้จัดการทั่วไป Aston Martin Bangkok กล่าวว่า รู้สึกยินดี และตื่นเต้นไปกับชาวไทย ที่จะได้สัมผัสกับ Aston Martin DB12 ซึ่งได้รับการขนานนามให้เป็นยนตรกรรมซูเพอร์ทัวเรอร์ คันแรกของโลก นับเป็นการยกระดับให้แก่รถประเภท GT ผ่านการผสมผสานความหรูหรา เข้ากับสมรรถนะของซูเพอร์คาร์ และเทคโนโลยีอันล้ำสมัย ได้อย่างลงตัว ตัวถังดีไซจ์นใหม่ กว้าง และดูดุดันยิ่งขึ้น เน้นจุดเด่นของ Aston Martin ด้วยกระจังหน้าแบบ Single Vaned ที่มีความโดดเด่น และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของรุ่น DB โดยมีขนาดใหญ่ขึ้นถึง 56 % (เทียบกับ DB11 V8) เพื่อรองรับพละกำลังของ Aston Martin DB12 กันชนหน้าดีไซจ์นใหม่ พร้อมแผ่นรีดอากาศด้านหน้า (Front Splitter) โลโกสัญลักษณ์ (Aston Martin Wing Badge) แบบใหม่ โดดเด่นยิ่งขึ้น และเป็นการนำมาติดตั้งบน Aston Martin DB12 เป็นรุ่นแรก พร้อมช่องระบายอากาศบนฝากระโปรง เพื่อระบายความร้อนจากเครื่องยนต์ และเทอร์โบคู่ ที่อยู่บริเวณกลางห้องเครื่อง ไฟหน้าแอลอีดี พร้อมเดย์ไทม์ รันนิง ไลท์ แบบใหม่ (6-block pattern) กระจกข้างทรงสปอร์ทไร้กรอบ เพิ่มประสิทธิภาพการยึดเกาะช่วงความเร็วสูงด้วยระบบแอโรไดนามิค “Aeroblade” โดยใช้หลักอากาศพลศาสตร์ในการสร้างแรงกด พร้อมสปอยเลอร์หลังแบบอัตโนมัติ รวมไปถึงความประทับใจใหม่ กับ “Presenting Door Handles” เมื่อกดปุ่มปลดลอคบนกุญแจรีโมท มือจับประตูจะเปิดขึ้นอัตโนมัติ ช่วยให้จับได้สะดวกยิ่งขึ้น
ยกระดับให้แก่รถ GT สู่การเป็นยนตรกรรมซูเพอร์ทัวเรอร์ ขึ้นทำเนียบยนตรกรรมพลังแรงที่สุดในคลาสส์ ด้วยขุมพลังเบนซิน ทวินเทอร์โบ วี 8 สูบ 4.0 ลิตร 680 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รตน. แรงบิด 800 นิวตันเมตร ที่ 2,750-6,000 รตน. ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ (ZF 8HP75) อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 3.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 325 กม./ชม.
ห้องโดยสารยังคงความหรูหรา และประณีตทุกรายละเอียด ตามแบบฉบับของ Aston Martin มาพร้อมหลากหลายแนวทางการตกแต่งห้องโดยสาร จึงลงตัวกับทุกบุคลิกของผู้ครอบครอง ระบบอินโฟเทนเมนท์แบบใหม่ พัฒนาโดย Aston Martin ติดตั้งจอดิจิทอลหน้าผู้ขับแบบ TFT 10.25 นิ้ว คมชัดสูง และปรับแต่งการแสดงผลได้หลายแบบ พวงมาลัยดีไซจ์นใหม่ ผสมผสานความหรูหรา ประณีต ตัดเย็บด้วยมือ เข้ากับปุ่มควบคุมระบบอินโฟเทนเมนท์ล้ำสมัย ขณะที่จอแสดงผลอเนกประสงค์ 10.25 นิ้ว ติดตั้งกลางแดชบอร์ด เน้นความสะดวกของผู้ขับ เร้าใจกับปุ่มสตาร์ท/ดับเครื่องยนต์แบบใหม่ ตัวปรับเลือกโหมดการขับแบบแป้นหมุน พร้อมสวิทช์ควบคุมต่างๆ ติดตั้งบริเวณคอนโซลกลาง ใช้งานได้สะดวก
Aston Martin DB12 ออกแบบ และผลิตภายใต้แนวคิด “Driver Centric” โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับผู้ขับ เน้นการใช้งานที่ง่าย สะดวก และมีประสิทธิภาพสูงสุดในการควบคุมรถ การันตีการขับที่สนุก และปลอดภัยทุกสถานการณ์ ด้วย 5 โหมดการขับ คือ Wet, Individual, GT (พื้นฐาน), Sport และ Sport+ พร้อมติดตั้งระบบออกตัว (Launch Control) สำหรับการทะยานจากจุดสตาร์ท รวมถึงมีระบบควบคุมการทรงตัว (ESP-Electronic Stability Programme) ที่สามารถปรับได้ 3 แบบ คือ ON, TRACK และ OFF ที่เปิดโอกาสให้ผู้ขับได้สัมผัสกับความท้าทายในการควบคุมรถอย่างเป็นธรรมชาติ
อีกหนึ่งความพิเศษของ Aston Martin DB12 คือ ช่วงล่างหน้า ดับเบิลวิชโบน และหลัง แบบมัลทิลิงค์ พร้อมชอคอับอแดพทีฟ “Bilstein DTX” ที่มีความความยืดหยุ่น นุ่มหนึบ และความละเอียดในการขับมากขึ้นถึง 500 % (เทียบกับ DB11 V8) นอกจากนั้น ยังเป็นครั้งแรกที่มีการติดตั้งเฟืองท้ายลิมิเทด สลิพ ควบคุมด้วยอีเลคทรอนิคส์ (e-diff) กับยนตรกรรมสายพันธุ์ DB ควบคุมรถอย่างมั่นใจด้วยคาลิเพอร์เบรคหน้า 6 พอท หลัง 4 พอท จับคู่จานเบรคโลหะเจาะรูระบายความร้อน หน้า/หลังขนาด 400 และ 360 มม. ตามลำดับ พร้อมมีจานเบรคคาร์บอนเซรามิคเจาะรูระบายความร้อน หน้า/หลังขนาด 410 และ 360 มม. เป็นออพชันช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการชะลอความเร็ว และลดน้ำหนักใต้สปริงได้ถึง 27 กก. ปิดท้ายด้วยล้อฟอร์จขนาด 21 นิ้ว จับคู่กับยาง Michelin Pilot Sport S 5 แก้มยางระบุอักษร “AML” บ่งบอกว่าผลิตมาสำหรับ Aston Martin DB12 พิเศษกับโครงสร้างโฟมด้านใน ช่วยลดเสียงรบกวน และนุ่มนวลยิ่งขึ้น โดยมีขนาดหน้า/หลัง 275/35 ZR21 และ 325/30 ZR21 ตามลำดับ