เพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า การลงนามความร่วมมือวิจัย และพัฒนาระหว่าง สวทช. มธ. และ OR เพื่อร่วมกันวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทด แทน และนวัตกรรมสู่ความยั่งยืน ภายใต้สาขาเทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีอาหาร คอมพิวเตอร์ และอีเลคทรอนิคส์ เทคโนโลยีโลหะ และวัสดุ พลังงาน และนาโนเทคโนโลยี ครั้งนี้ สอดรับกับนโยบายของกระทรวง อว. โดยศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ที่มุ่งเน้นในด้านการวิจัย และนวัตกรรม คือ “วิจัย-นวัตกรรมดี ตอบโจทย์ ตรงความต้องการ” และ “เน้นประเด็นสำคัญของประเทศ ได้แก่ Go Green พอเพียง ความยั่งยืน ความเป็น กลางทางคาร์บอน พลังงานสะอาด เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจสร้างสรรค์ และเทคโน โลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งประเด็นที่ อว. จะมุ่งเน้น คือ การวิจัย และนวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และการแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศ โดยเน้นหลักการสำคัญ คือ “เอกชนนำ รัฐสนับสนุน” ซึ่งเอกชนผู้ใช้ประโยชน์จะกำหนดทิศทางโจทย์วิจัย แล้วสถาบันวิจัย และมหาวิทยาลัยต่างๆ ของ อว. เข้าไปสนับสนุน พร้อมปลดลอคระเบียบข้อจำกัดต่างๆ เน้นส่งเสริมสนับสนุนผู้ประกอบการ และเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการนวัตกรรมในทุกระดับ ตั้ง แต่ระดับเยาวชน สตาร์ทอัพ SMEs และเอกชนขนาดใหญ่
“กระทรวง อว. มีหลายกลไกสนับสนุนการทำงานร่วมกับภาคเอกชน ซึ่งมี 2 พแลทฟอร์มที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อความร่วมมือระหว่าง 3 หน่วยงาน ได้แก่ 1) หน่วยบริหาร และจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ หรือ บพข. ที่สนับสนุนทุนวิจัยเพื่อเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ 2) โครงการเคลื่อนย้ายบุคลากรเพื่อพัฒนาศักยภาพการวิจัยในภาคอุตสาหกรรม หรือ Talent Mobility เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในภาคเอกชน และ 3) International Joint Research Center on Food Security หรือ IJC-Foodsec ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง สวทช. มธ. และ Queen’s University Belfast (QUB) สหราชอาณาจักร โดยศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหารนี้ มุ่งผลิตงานวิจัยระดับโลก เพื่อสร้างความปลอดภัย และความมั่นคงทางอาหารตลอดห่วงโซ่อุปทาน
ดร. สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสายงานบริหารการวิจัย และพัฒนา สวทช. เปิดเผยว่า การลงนามครั้งนี้ถือเป็นการยกระดับความร่วมมือด้านการวิจัย พัฒนา และแลกเปลี่ยนบุคลากร ให้เกิดเป็นรูปธรรม ครอบคลุมทุกสาขาความเชี่ยวชาญของทุกศูนย์วิจัยแห่งชาติของ สวทช. ซึ่งทั้ง 3 หน่วยงานจะร่วมกันผลักดัน และสนับสนุนให้เกิดการร่วมวิจัยพัฒนานวัตกรรมสู่ความยั่งยืน โดยปัจจุบันมีความร่วมมือ ดังนี้
1) โครงการวิจัยการพัฒนาระบบตรวจวัดสำหรับการวิเคราะห์เอทานอลในน้ำมันเชื้อเพลิงในตำแหน่งที่ต้องการ เป็นความร่วมมือระหว่าง สวทช. โดย เอมเทค เนคเทค และ IJC-Foodsec ภายใต้ไบโอเทค-มธ.-QUB ด้วยงบประมาณจาก OR โดยมี ดร. ธนศาสตร์ สุขศรีเมือง นักวิจัยอาวุโส ทีมวิจัยนวัตกรรมการดัดแปรวัสดุ เอมเทค เป็นหัวหน้าโครงการ
2) โครงการสนับสนุนนักวิจัยหลังปริญญาเอกภาคอุตสาหกรรม (Industrial Postdoc) ภายใต้ทุน บพค. โดยมี ผศ.ดร. อวันวี เพชรคงแก้ว อาจารย์สาขาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีการอาหาร มธ. เป็นหัวหน้าโครงการ ภายใต้โครงการวิจัยของ OR ร่วมกับเอมเทค และเนคเทค
3) โครงการร่วมวิจัยการเพิ่มมูลค่าวัสดุเหลือใช้จากกระบวนการผลิตกาแฟ เป็นความร่วมมือระหว่าง สวทช. โดยไบโอเทค และทีมวิจัยจาก OR โดยมี ดร. วีระวัฒน์ แช่มปรีดา ผอ. กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีไบโอรีไฟเนอรี และชีวภัณฑ์ ไบโอเทค เป็นหัวหน้าโครงการ
นอกจากนี้ ทั้ง 3 หน่วยงานยังมีความสนใจร่วมมือวิจัยพัฒนาในหลายสาขา เช่น การวิจัยพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับการจัดการขยะอาหาร (Food Waste) จากร้านอาหารภายในสถานีบริการน้ำมัน ปตท. การวิจัยพัฒนาในด้านพัฒ นาพันธุ์กาแฟสำหรับ Cafe Amazon ซึ่งเป็นธุรกิจในเครือ OR ร่วมกับทีมวิจัยไบโอเทค
รศ. เกศินี วิฑูรชาติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มุ่งผลิตบัณฑิต มหาบัณฑิต และดุษฎีบัณฑิต ที่มีความรู้ความสามารถทั้งภาคทฤษฎี และปฏิบัติในทุกมิติ มหาวิทยาลัยมีทีมคณา จารย์ และนักวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ที่หลากหลายในหลายสาขาวิชา ซึ่งทุกท่านมีความสามารถในการบ่มเพาะ และสร้างนวัตกรรมที่สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้เข้าร่วมในโครงการพลิกโฉมมหาวิทยาลัย (Reinventing University) กลุ่มพัฒนาการวิจัยระดับแนวหน้าของโลกเมื่อต้นปี พศ. 2566 ผ่านการดำเนินงานของ IJC-Foodsec ซึ่ง มธ. คาดหวังให้การผนึกกำลังระหว่าง IJC-Foodsec และภาคอุตสาหกรรมอาหารทั้งใน และต่างประเทศ จะเป็นหนึ่งใน Game changer สำหรับการพัฒนากำลังคนขั้นสูงให้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ การส่งเสริมให้มหาวิทยาลัยมีความเป็นเลิศ และมีจุดยืนบนเวทีโลกได้อย่างภาคภูมิต่อไป
กาญจนี อุดมกุลวณิชย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านปฏิบัติการคลังปิโตรเลียม บริษัท ปตท.น้ำมัน และการค้าปลีก จำกัด (OR) กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ OR มุ่งเน้นงานวิจัยในด้าน Seamless Mobility ได้แก่ งานวิจัยเรื่อง Petroleum Products และ New Energy รวมถึงงานวิจัยด้าน Technology for Life ในการพัฒนาเทคโน โลยี เช่น Smart Sensor, Smart Grid และการวิจัยพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในหัวข้อ Waste Management และ Circular Economy เพื่อส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจร่วมกับสังคมชุมชนอย่างยั่งยืน โดยความร่วมมือครั้งนี้ สอดคล้องกับแนวทางเพื่อการบรรลุอนาคตที่ยั่งยืนในแบบฉบับของ OR หรือ “OR SDG” โดยเฉพาะในด้าน “G” หรือ “Green” ที่มุ่งสร้างสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ (Healthy Environment) ด้วยการส่งเสริมธุรกิจทุกประเภทของ OR ให้เป็นธุรกิจสีเขียว โดยเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาด ลดการปล่อยแกสเรือนกระ จก ลดปริมาณขยะที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจ และเพิ่มปริมาณการใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผ่านโครงการต่างๆ เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2030 และการปล่อยแกสเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 ต่อไป