ธุรกิจ
BMW ตอกย้ำจุดยืนเบอร์ 1 ในกลุ่มยานยนต์พรีเมียม
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ครองแชมพ์ตำแหน่งผู้นำอันดับ 1 ในตลาดรถยนต์พรีเมียมของประเทศไทยติด ต่อกันเป็นปีที่ 4 ซึ่งเป็นผลลัพธ์มาจากแนวทางของ BMW ในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่อนาคตแห่งยนตรกรรมที่ยั่ง ยืน และการส่งมอบประสบการณ์ความพึงพอใจระดับสูงสุดให้แก่ลูกค้า ด้วยผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมชั้นนำจากแบรนด์ BMW MINI และ BMW Motorrad ที่สามารถทำผลงานยอดจดทะเบียนได้อย่างแข็งแกร่งในปี 2566 โดยเฉพาะในกลุ่มยานยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 % ของ BMW ที่มีอัตราการเติบโตสูงกว่า 348 % และรถยนต์ในกลุ่ม Luxury Class ที่เติบโตขึ้นกว่า 46 % ทั้งนี้ ในปี 2567 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย จะต่อยอดความสำ เร็จอย่างแข็งแกร่งด้วยการเปิดตัวทัพยนตรกรรมใหม่ถึง 10 รุ่น นำโดย BMW IX2 XDrive30 M Sport, BMW 520D M Sport Pro, BMW 530E M Sport Pro, MINI Cooper S Hatch 3 Door Classic Edition, MINI Cooper S Clubman รุ่น Multitone, MINI Cooper S Countryman Highlands Edition รวมถึง BMW Motorrad R 1300 GS, BMW CE 02 BMW S 1000 RR และ BMW K 1600 B ตามเป้าหมายในการส่งมอบ ตัวเลือกที่หลากหลายครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า
อเลกซันเดร์ บาราคา ประธาน และซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศ ไทย ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรมยานยนต์แห่งอนาคต ซึ่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชั้นแนวหน้า การส่งมอบบริ การระดับคุณภาพ และแนวทางในการดำเนินธุรกิจที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลางของเรา ตลอดทั้งปี พศ. 2566 ได้ส่งผลลัพธ์กลับมาเป็นความไว้วางใจของลูกค้า เรารู้สึกเป็นเกียรติ และภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ยังคงเป็นผู้นำในเซก เมนท์ยานยนต์พรีเมียมของประเทศไทยติดต่อกันเป็นปีที่ 4 นอกจากนี้ เรายังให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยรถยนต์ไฟฟ้า 100 % รุ่นใหม่ถึง 6 รุ่นที่เราได้นำมาเปิดตัวสู่ลูกค้าชาวไทย
วันนี้ยังคงให้ความสำคัญกับความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าเช่นเดิม โดยได้นำยนตรกรรมใหม่มาเปิดตัวถึง 10 รุ่น จากทั้งแบรนด์ BMW MINI และ BMW Motorrad ไปจนถึงบริการ และสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมที่ลูกค้าสามารถเลือกได้ตามความต้องการ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย จะยังคงมุ่งสู่ความเป็นเลิศไปพร้อมๆ กับผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการและพาร์ทเนอร์ของเราทุกคน เพื่อส่งมอบประสบการณ์ความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูก ค้าในประเทศไทยของเรา
ย่างก้าวที่แข็งแกร่งในปีที่ 4 เติบโตอย่างต่อเนื่องในระดับโลก
ความสำเร็จจากการทำตลาด และกลยุทธ์การให้บริการลูกค้าร่วมกับผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยตลอดปี พศ. 2566 ยังทำให้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ครองตำแหน่งอันดับ 1 ในตลาดยานยนต์พรีเมียมอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาสี่ปีติดต่อกัน โดยแบรนด์ BMW และ MINI สร้างสถิติใหม่ในปีที่ผ่านมาด้วยยอดจดทะ เบียนรวม 15,477 คัน เติบโตขึ้น 3 % (แบ่งเป็น BMW 14,128 คัน และ MINI 1,349 คัน) ถือเป็นข้อพิสูจน์ถึงความทุ่มเทของพนักงาน ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ และพันธมิตรทุกรายในประเทศไทยของ BMW ที่ได้ร่วมกันส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ระดับสูงสุดให้แก่ลูกค้า ซึ่งช่วยเสริมสร้างความภักดีต่อแบรนด์ และผลิตภัณฑ์ของ BMW ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ในระดับโลก บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งเช่นกัน โดยใน ปี พศ. 2566 สามารถทำยอดขาย BMW MINI และ Rolls-Royce ได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ คิดเป็นยอดส่งมอบรวม 2,555,341 คันทั่วโลก เติบโตขึ้น 6.5 % โดยรถยนต์ในกลุ่มพลังงานไฟฟ้า 100 % มียอดขายเติบโตขึ้นถึง 74.4 % จากปี 2565 คิดเป็นยอดส่งมอบทั่วโลกรวม 376,183 คัน ผลของความสำเร็จดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการใช้งานรถยนต์พลัง งานไฟฟ้า ซึ่งตอบรับกับทเรนด์พลังงานสะอาดที่ยังคงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในระดับโลก และในประเทศ ไทย ทั้งนี้ ทาง บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป มองว่าทเรนด์ความต้องการรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 % จะยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไป และคาดการณ์ว่าจะทำยอดขายได้กว่า 500,000 คัน ในปี พศ. 2567 นี้
ยืนหนึ่งในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์พรีเมียมแห่งอนาคต
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ทำผลงานอย่างแข็งแกร่งในกลุ่มรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 % ได้แก่ BMW IX3, BMW IX, BMW I4, BMW I5, BMW I7 และ MINI Cooper SE ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าจากทั้ง 2 แบรนด์มีอัตราการเติบโตสูงถึง 200 % ในปี พศ. 2566 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และมียอดจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 1,604 คัน ถือเป็นการตอกย้ำถึงแนวทางของ BMW ในการรังสรรค์ยนตรกรรมแห่งอนาคต เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ยั่งยืนยิ่งขึ้นให้แก่ทุกคน นอกจากนี้ ยังชี้ให้เห็นถึงความต้องการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าที่ยังคงเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในกลุ่มผู้บริโภค ทั้งในตลาดระดับโลกและในประเทศไทย
หนึ่งในปัจจัยความสำเร็จดังกล่าวของ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย มาจากการนำเสนอยานยนต์พลังงานไฟ ฟ้า และรถยนต์พลัก-อิน ไฮบริดอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมียนตรกรรมไฟฟ้าให้ผู้บริโภคเลือกซื้อได้ครบ ทั้งจากแบรนด์ BMW MINI และ BMW Motorrad โดยรุ่นที่โดดเด่น ได้แก่ BMW I5 รถยนต์ซีดานที่มาต่อยอดความสำ เร็จของตระกูลซีรีส์ 5 ด้วยเทคโนโลยีระดับไฮคลาสส์ ประสิทธิภาพการขับขี่ที่เหนือชั้น และรูปโฉมที่โฉบเฉี่ยวหรู หรา BMW XM 50E ที่มีรูปลักษณ์โดดเด่นไม่ซ้ำใคร ความสะดวกสบายอันหรูหรา และขุมพลังที่เหนือกว่า รวมทั้ง BMW CE04 สกูเตอร์ไฟฟ้า ที่มาพร้อมขุมพลังในการขับขี่ในตัวเมือง ด้วยนวัตกรรม และเทคโนโลยีขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100 % รวมถึงรุ่นล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวในงานดังกล่าวอย่าง BMW IX2 และมอเตอร์ไซค์ BMW CE02
นอกจากนี้ รถยนต์ BMW ในกลุ่ม Luxury Class หรือรถยนต์ระดับไฮเอนด์ของแบรนด์ ได้แก่ BMW 7 Series, BMW I7, BMW 8 Series, BMW X7 และ BMW XM ยังคงสร้างผลงานการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในตลาดประเทศไทย ด้วยยอดจดทะเบียนในปี พศ. 2566 ทั้งหมด 668 คัน เติบโตขึ้น 46 % จากปีก่อนหน้า ตอกย้ำจุด ยืนของ BMW ในการส่งมอบสุดยอดความเป็นเลิศ นิยามใหม่ของยานยนต์ที่มีความหรูหรา และความเอกซ์คลูซีฟที่ไม่มีใครเทียบ
ความพึงพอใจของลูกค้าสูงสุดในประวัติศาสตร์ ตอกย้ำแนวทางการดำเนินธุรกิจที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์ กลาง
นอกจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งในประเทศไทย บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังได้รับการประเมินคะแนนความพึงพอใจของผู้บริโภค (Net Promoter Score-NPS) สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งในด้านยอดขาย และการให้บริการหลังการขายในปี พศ. 2566 ด้วยคะแนนจากผลการประเมินที่ 94 คะแนน และ 90 คะแนน ตามลำดับ ซึ่งมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจที่เน้นลูกค้าเป็นจุดศูนย์กลาง พร้อมร่วมมือกับเครือข่ายของผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศ เพื่อพัฒนาความพึงพอใจของลูกค้าให้สูงที่สุด มีบริการที่เยี่ยมยอดที่สุด และส่งมอบที่สุดแห่งสุนทรียะด้านการขับขี่ให้แก่ลูกค้าได้ในทุกๆ ขั้นตอน
ทั้งนี้ ในช่วงปี พศ. 2565-2566 BMW ได้จับมือกับผู้จำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการหลายราย เพื่อเปิดตัวโชว์รูมโฉมใหม่ในประเทศไทยกว่า 9 แห่ง ภายใต้คอนเซพท์การออกแบบโชว์รูม และศูนย์บริการแบบใหม่ล่าสุด หรือ Retail Next ที่รังสรรค์บรรยากาศในการสัมผัสแบรนด์ BMW ที่ผ่อนคลาย และใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้นตั้งแต่ก้าวแรก โดย BMW ประเทศไทย ได้ร่วมมือกับ Performance Motors เปิดตัวโชว์รูม Performance Motors ราชพฤกษ์ ที่มาพร้อมโชว์รูม BMW M ซึ่งได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจาก BMW เป็นแห่งแรกในย่านราชพฤกษ์ และพื้นที่ใกล้เคียง พร้อมด้วยศูนย์ BMW Premium Selection รถยนต์มือสองที่ได้รับการรับรองคุณภาพจาก BMW
นอกจากนี้ ยังได้จับมือกับ บริษัท มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป จำกัด เดินหน้าตามแผนยุทธศาสตร์ขยายระบบนิเวศทางธุรกิจในพื้นที่ภาคใต้ โดยปักหมุดยุทธศาสตร์จังหวัดสุราษฎร์ธานี ด้วยการเปิดโชว์รูมพร้อมศูนย์บริการครบวง จรอย่างเป็นทางการ "BMW และ MINI Millennium Auto" สาขาสุราษฎร์ธานี ขยายเครือข่ายครอบคลุมภาคใต้ อาทิ หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา, ภูเก็ต, นครศรีธรรมราช, สุราษฎร์ธานี, กระบี่, พังงา และอื่นๆ รวมถึงการร่วมมือกับเนลสัน ออโต้เฮ้าส์ ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการของ BMW ขยายพื้นที่ให้บริการลูกค้าในภูมิภาคตะวันออก ด้วยการเปิดตัวโชว์รูมแห่งใหม่ในจังหวัดระยอง พร้อมงบประมาณการลงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท ประกอบด้วยโชว์ รูมรถยนต์ และพื้นที่จัดจำหน่ายสุดโอ่อ่ากว้างขวาง รวมถึงศูนย์บริการด้านการซ่อม พร้อมด้วยศูนย์บริการด้านตัวถัง และสีที่ได้รับการรับรองจาก BMW เพื่อการบริการลูกค้าอย่างครบครัน และยังได้ร่วมลงทุนในการปรับโฉมโชว์รูมใหม่ และขยายพื้นที่อีกหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น อมร รังสิต, Millennium Auto พระรามสี่, Millennium Au to สยามพารากอน, และ Millennium Auto อุบลราชธานี และจะยังคงมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับประ สบการณ์ลูกค้าด้วยคอนเซพท์ Retail Next ในอีกหลายแห่งทั่วประเทศ ตลอดปี พศ. 2567 นี้
อีก 1 ปี แห่งความสำเร็จอย่างต่อเนื่องของ BMW Financial Service ประเทศไทย พร้อมนำเสนอบริการใหม่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า
ปี พศ. 2566 ยังคงเป็นอีก 1 ปีที่เต็มไปด้วยความท้าทายจากปัจจัยเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นในตลาดรวม แต่ BMW Financial Service ประเทศไทย ก็ยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง การส่งมอบบริการใหม่ในรูปแบบดิจิทอลที่หลากหลาย และการส่งมอบบริการที่คำนึงถึงความพึงพอใจของลูกค้าเป็นหลัก สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ในปีที่ผ่านมา ทาง BMW Financial Service ประเทศไทย สามารถสร้างการเติบโตให้กับยอดสินเชื่อรวมได้อย่างแข็ง แกร่งที่ 2 % เมื่อเทียบกับปี พศ. 2565 โดยลูกค้าเจ้าของรถยนต์ BMW MINI หรือมอเตอร์ไซค์ BMW Motorrad จำนวนประมาณ 50 % ยังคงให้ความไว้วางใจ และเลือกรับบริการทางการเงินจาก BMW Financial Service ประเทศไทย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงคุณภาพของการบริการ และความเชื่อมั่นจากลูกค้า ตอกย้ำด้วยผลการประเมินคะแนนความพึงพอใจของผู้บริโภค (NPS Score) ซึ่งได้รับคะแนนประสบการณ์ลูกค้าสูงสุดในปีที่ผ่านมา โดยเพิ่มขึ้นถึง 10 คะแนน ในช่วงท้ายอายุสัญญาทางการเงิน แสดงให้เห็นถึงความพึงพอใจของลูกค้าตลอดระ ยะเวลาสัญญา
ทั้งนี้ BMW Financial Service ประเทศไทย ยังสร้างผลงานที่เข้มแข็งในกลุ่มธุรกิจสินเชื่อรถยนต์มือสองซึ่งเติบ โตกว่า 25 % ปี/ปี มีอัตราการเข้าถึงตลาดลูกค้าองค์กรกว่า 62 % สะท้อนถึงความไว้วางใจ และความสำเร็จจากการมุ่งมั่นในกลยุทธ์ที่คำนึงถึงลูกค้าเป็นหลัก ซึ่งจะเห็นได้จากการลงทุนเพิ่มเติมในปี พศ. 2566 เพื่อพลิกโฉมประสบการณ์ลูกค้าหลากหลายรูปแบบ โดยในปีที่ผ่านมา BMW Financial Service ประเทศไทย ได้เปิดตัว BMW Thailand Web Online Shop ซึ่งช่วยให้ลูกค้ายืนยันตัวตนรูปแบบดิจิทอล (National Digital ID-NDID) รวมทั้งการรองรับลายเซ็นดิจิทอลในการให้บริการ เพื่อให้ลูกค้าสามารถสมัครบริการทางการเงินได้อย่างสะดวกสบาย ลดกระบวนการสแกน หรืออัพโหลดเอกสาร รวมถึงช่วยลดระยะเวลา การยืนยันรายละเอียดของสัญญาให้เหลือเพียงไม่กี่คลิค โดยบริการด้านดิจิทอลเหล่านี้ช่วยประหยัดเวลา และอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าขึ้นไปอีกขั้น ช่วยให้กระบวนการประเมินเพื่ออนุมัติการปล่อยสินเชื่อเสร็จสิ้นได้อย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่นาที และยังทำให้กระบวนการดำเนินงานหลังบ้านเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ BMW Financial Service ประเทศไทย ยังได้เปิดตัวบริการ "My BMW Finance" และ "My MINI Finance" ให้ลูกค้าเข้าถึงสัญญาทางการเงิน และบริการอื่น ๆ ได้ตลอดเวลา ซึ่งทั้งหมดนี้มีเป้าหมายเพื่อการส่งมอบผลิตภัณฑ์ และบริการที่โดดเด่น และหลากหลาย ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด สร้างความอุ่นใจให้แก่ลูกค้า และยกระดับประสบการณ์ ที่ลูกค้าได้รับจากการบริการให้ดียิ่งกว่าเดิม นอกจากนี้ ยังได้มีการเปิดตัวธุรกิจประกันภัยพร้อมบริการประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเพื่อตอบโจทย์ลูกค้า ภายใต้ชื่อ “บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ (ประเทศไทย) จำกัด” อีกด้วย สำ หรับในปี พศ. 2567 BMW Financial Service ประเทศไทย ยังวางแผนที่จะขยายส่วนธุรกิจอย่างต่อเนื่องด้วยการนำเสนอบริการประกันรถยนต์ และบริการขยายระยะเวลาการประกัน
มุ่งหน้าสนับสนุนแนวทางความยั่งยืน และโครงการความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสู่อนาคต
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังคงมุ่งมั่นปฏิบัติงานตามกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวในการสร้างความยั่งยืนให้แก่สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยได้ต่อยอดโครงการ BMW Service Apprentice เพื่อส่งเสริมการพัฒนาทักษะด้านยานยนต์ไฟฟ้าให้แก่นักศึกษาอาชีวะในประเทศไทยที่มีศักยภาพ ผ่านการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตามเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พศ. 2561-2580) ของรัฐบาล เสริมศักยภาพการแข่งขันในอุตสาห กรรมบริการขนส่ง และลอจิสติคส์ โดยมุ่งเน้นการผลักดันการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งระบบไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ด้วยการพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะความเชี่ยวชาญตรงกับความต้องการของอุตสาห กรรมยานยนต์ เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยมีนักศึกษาทั้งหมด 282 คนที่ได้เข้าร่วมโครงการจาก 5 สถาบัน และในส่วนของโปรแกรม Dual Excellence ที่ดำเนินการโดย บีเอ็มดับ เบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ก็ได้รับนักศึกษาเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 111 คนจาก 2 สถาบัน นอก จากนี้ เพื่อกระตุ้นให้เยาวชนรุ่นใหม่สนใจในแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจหมุนเวียน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังได้จับมือกับ 6 องค์กรพันธมิตร ได้แก่ กลุ่มเซ็นทรัล มูลนิธิชัยพัฒนา ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย เอสซีจี โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ และเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จัดโครงการ CHOICEISYOURS 2023 ในปี พศ. 2566 เพื่อเปิดให้นิสิตนักศึกษาในไทยได้เข้าร่วมกิจกรรมการฝึกอบรม และการลงมือปฏิบัติจริงเป็นระยะเวลา 3 เดือน โดยผู้เข้าร่วมการฝึกอบรมได้เข้าร่วมในกิจกรรมต่างๆ จากองค์กรพาร์ทเนอร์ทั้ง 7 ราย ทั้งในภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ซึ่งจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมแรงบันดาลใจให้แก่น้องๆ ในการต่อยอดแนวคิดด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน นอกจากนี้ นิสิตนักศึกษายังได้รับโอกาสในการไปทัศนศึกษาเยี่ยมการดำเนินธุรกิจขององค์กรพาร์ทเนอร์ เพื่อเรียนรู้หลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) การหมุนเวียนใช้ทรัพยากรในห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain ) และการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการทรัพยากร โดยรักษาคุณค่าของทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรใหม่น้อยที่สุด และจะยังคงดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องในปีนี้เช่นกันโครงการต่างๆ เหล่านี้ นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ที่ไม่เพียงแต่ต้องการพัฒนานวัตกรรมยานยนต์แห่งอนาคตที่ยั่งยืน แต่ยังรวมไปถึงการลงทุนกับเหล่าผู้นำ และนวัตกรรุ่นใหม่ซึ่งจะช่วยผลักดันทั้งในภาคสังคม และภาคสิ่งแวดล้อมในอนาคต