ข่าวจากสหรัฐอเมริกา ระบุว่า Renault ยืนยันว่าในทศวรรษหน้าจะผลิตรถเครื่องยนต์สันดาปควบคู่กับการผลิตรถไฟฟ้า เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคที่ไม่ต้องการใช้รถไฟฟ้า โดย Fabrice Cambolive ซีอีโอของ Renault ได้เปิดเผยกลยุทธ์แบบ 2 ทางเลือก “Two-Leg Strategy” ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทผู้ผลิตรถสามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาด หลังจากเกิดการชะลอตัวของความต้องการใช้รถไฟฟ้า
Renault แตกต่างจากบริษัทอื่น ที่ค่อนข้างระมัดระวังการประกาศแผนการผลิตรถไฟฟ้าของบริษัท โดยเมื่อปี 2565 Luca de Meo ซีอีโอ Renault คาดการณ์ว่าภายในสิ้นทศวรรษนี้ การผลิตรถของ Renault ยุโรป จะมุ่งผลิตแต่รถไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว แต่มีเงื่อนไขว่าการปรับเปลี่ยนจะขึ้นอยู่กับสภาพของตลาดเป็นสำคัญ ในส่วนของบริษัทเองยังคาดว่าในปี 2040 (พศ. 2583) จะมีรถเครื่องยนต์เบนซิน และไฮบริด เป็นอัตราส่วนสูงกว่า 40 % ของทั้งหมด
พอจะวิเคราะห์ได้ว่า ขณะนี้ Renault มีความเชื่อมั่นในรถไฟฟ้าน้อยลง โดย Cambolive ได้กล่าวในงาน มหกรรมยานยนต์เจนีวา 2024 ว่า Renault จะปรับเป็นบริษัทผู้ผลิต ทั้งรถไฟฟ้า และรถเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ไฮบริด) ในทุกเซกเมนท์ของบริษัท
แทนการเดินตามแผนการผลิตรถไฟฟ้าทุกรุ่นในปี 2030 (พศ. 2573) บริษัทจะปรับตัวตามแนวโน้มของตลาด โดยจะผลิตรถที่เป็นที่ต้องการของตลาด และมีให้เลือกทั้ง 2 แบบอย่างในปัจจุบัน ที่มีการเปิดตัวรถไฟฟ้า Renault 5 EV ออกมา และวางขายคู่กับ Renault Clio เครื่องยนต์สันดาปภายใน โดยทั้ง 2 รุ่นอยู่ในเซกเมนท์ของรถขนาดเล็กเหมือนกัน
ปรากฏการณ์นี้ ไม่ได้เกิดขึ้นกับ Renault เพียงเจ้าเดียว แม้แต่ Mercedes-Benz ที่ต้องย้อนกลับมาทบทวนแผนการผลิต ที่เคยมีเป้าหมายการผลิตรถไฟฟ้าทุกรุ่นภายในปี 2030 (พศ. 2573) โดยปรับเป็นการมุ่งพัฒนาเครื่องยนต์สันดาปภายใน และเทคโนโลยีไฮบริดต่อไปในทศวรรษหน้า