ครูว์-Bentley Motors เปิดตัว Bentayga S Black Edition อัครยนตรกรรมเอสยูวีที่โดดเด่นที่สุดกับการตกแต่งด้วยโลโก Bentley ในเฉดสีดำเป็นครั้งแรกในรอบ 105 ปี Bentayga S Black Edition ยังมาพร้อมกับสีสันของชุดแต่งรอบคันที่ดูสดใส รายละเอียดสีดำที่ดูดุดัน และเทคโนโลยีแชสซีส์ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ พร้อมเผยด้านมืดของอัครยนตรกรรมแบบอเนกประสงค์รุ่นพิเศษนี้
ลูกค้าสามารถเลือกสรรเฉดสีเฉพาะได้ถึง 7 สี อันได้แก่ เฉดสีส้ม Mandarin, เฉดสีเหลือง Signal Yellow, เฉดสีน้ำเงิน Klein Blue, เฉดสีแดง Pillar Box Red, เฉดสีเงิน Ice, เฉดสีเขียว Hyper Green และเฉดสีดำ Beluga โดยแต่ละเฉดสีได้นำเสนอการออกแบบที่สะดุดตาแต่ยังคงเข้ากับการออกออกทั้งภายใน และภายนอก พร้อมมอบความคอนทราสต์ให้แก่การใช้สีดำบนตัวถังรถ
การตกแต่งภายนอกมีการเน้นการใช้รูปแบบของแถบเลเซอร์กับชุดแต่ง Styling Specification รอบคันบริเวณกันชนหน้าด้านล่าง และด้านข้าง พาดผ่านด้านบนของสปอยเลอร์หลัง คาลิเพอร์เบรคยังได้รับการรังสรรค์ขึ้นเพื่อให้เข้ากันกับชุดแต่งรอบคัน พร้อมเพิ่มความโดดเด่นด้วยล้ออัลลอยเฉดสีดำขนาด 22 นิ้ว และการตกแต่งด้วยอุปกรณ์เฉดสีดำ-เงารอบคันตามแบบฉบับของรุ่น Bentayga S โดย รุ่น S Black Edition ถือเป็นรุ่นแรกในประวัติศาสตร์ 105 ปีของ Bentley Motors ที่ได้นำเอาโลโก Bentley หรือ Bentley Wings และตัวอักษรคำว่า Bentley ในเฉดสีดำ-เงามาใช้ในการตกแต่ง พร้อมการตกแต่งด้วยโลโก "Black Edition" บริเวณเสา D ด้านหลัง
ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ตัวเลือกคุณสมบัติใหม่ได้ทำให้รุ่น Bentayga เป็นที่นิยมมากขึ้น ซึ่งสำหรับรูปลักษณ์ภายนอกของ Black Edition ยังคงความสดใสด้วยตัวเลือกการตกแต่งเฉพาะบุคคลที่มาพร้อมกับเฉดสีชุดแต่งรอบคันแบบซาตินใหม่ 7 เฉดสี พร้อมด้วยเฉดสีตัวถังใหม่ และตัวเลือกล้ออัลลอยขนาด 21 นิ้ว 3 แบบใหม่ นอกจากนี้ Black Edition ยังให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร ด้วยเทคโนโลยีแชสซีส์ใหม่ ระบบไฟฟ้าใหม่ และคุณสมบัติใหม่ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงกระจังหน้าโฉมใหม่ โดยระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อที่เคยเปิดตัวในรุ่น Bentayga Extended Wheelbase และได้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุม และความคล่องตัว ในขณะเดียวกันยังสามารถลดวงเลี้ยวลงได้อีกเกือบ 1 เมตร ก็ได้รวมอยู่ในคุณสมบัติมาตรฐานของรุ่น Bentayga "Azure" และรุ่น Bentayga "S" V8
สำหรับ Bentayga S Black Edition ใหม่ ทีมออกแบบของ Bentley ยังได้รังสรรค์รูปแบบเฉดสีภายในที่เป็นเอกลักษณ์ โดยนำเอาความแตกต่างที่สมบูรณ์แบบระหว่างหนังเฉดสีดำ Beluga และการเน้นเฉดสีที่สดใสเข้ามาไว้ด้วยกัน ซึ่งการเน้นเฉดสีที่โดดเด่นภายนอกตัวรถได้ถูกถ่ายทอดสู่ห้องโดยสารที่รังสรรค์ขึ้นผ่านงานฝีมือ โดยมีการเย็บ และตกแต่งหนังแบบคอนทราสต์ พร้อมด้วยการปักโลโกรูปตัว "S" สีดำบริเวณเบาะโดยสาร
ลวดลายการถักทอบนวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์แบบใหม่มีการนำมาตกแต่งสำหรับแผงหน้าปัด คอนโซลกลาง และข้างห้องโดยสาร โดยลวดลายการทอช่วยเพิ่มมิติความลึกของภาพ 3 มิติให้แก่แผงหน้าปัด ทำให้เกิดฉากหลังที่สมบูรณ์แบบสำหรับโลโก Black Edition ที่ตกแต่งไว้ใต้พื้นผิวเคลือบแลคเกอร์เพื่อความเรียบเนียน
ชุดแต่งแบบ Dark Chrome Pack ใหม่ ได้นำมาเป็นชุดแต่งแบบมาตรฐานที่จะรังสรรค์รายละเอียดของโลหะภายใน อาทิ ปุ่มควบคุมระบบปรับอากาศ และช่องแอร์บริเวณตรงกลาง และด้านข้างให้เป็นเฉดสีดำ-เงา
ด้านระบบความบันเทิงภายในห้องโดยสาร Bentayga S Black Edition มาพร้อมตัวเลือกระบบเสียง 3 แบบที่เริ่มต้นด้วย Bentley Signature Audio และ Bang & Olufsen for Bentley ที่จะยกระดับคุณภาพเสียงขึ้นไปอีกขั้น พร้อมการตกแต่งด้วยตะแกรงลำโพงเรืองแสงที่สวยงาม และตัวเลือกระบบเสียง Naim for Bentley ที่จะมอบคุณภาพเสียงขั้นสุดยอดให้แก่อัครยนตรกรรมรุ่นนี้
Bentayga S Black Edition คือ เจ้าของขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน รุ่น V8 เทอร์โบชาร์จคู่ ขนาด 4.0 ลิตร อันโด่งดังของ Bentley พร้อมผสมผสานพละกำลังอันมหาศาลเข้ากับประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง เครื่องยนต์รุ่นล่าสุดมอบพละกำลังกว่า 550 แรงม้า จากแรงบิด 770 นิวตันเมตร โดยมีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายในระยะเวลาเพียง 4.5 วินาที กับความเร็วสูงสุด 290 กม./ชม. สำหรับในการเดินทาง 654 กม. Bentayga S Black Edition มีอัตราการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่เพียง 296 กรัม/กม. เท่านั้น
สำหรับรุ่น S Hybrid Black Edition มาพร้อมกับพละกำลัง 462 แรงม้า จากเครื่องยนต์เบนซิน TFSI V6 ขนาด 3.0 ลิตร ที่ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 100 กิโลวัตต์ มอบอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายในระยะเวลา 5.3 วินาที ด้วยความเร็วสูงสุด 254 กม./ชม.
รุ่น S Black Edition ยังได้รับการพัฒนาในโหมดการขับขี่แต่ละโหมดด้วยระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อ ที่จะทำงานร่วมกับระบบ Bentley Dynamic Ride โดยใช้การลอคการบังคับเลี้ยวล้อหลังสูงสุด +/-4.8 องศา
Bentley Dynamic Ride ที่ได้รับการติดตั้งเป็นคุณสมบัติมาตรฐาน ถือเป็นเทคโนโลยีระบบควบคุมการเข้าโค้งแบบแอคทีฟด้วยไฟฟ้าขนาด 48 โวลท์ ตัวแรกของโลก โดยระบบสามารถตอบสนองภายใน 0.3 วินาที ด้วยแรงบิดสูงสุด 1,300 นิวตันเมตร เพื่อต้านแรงหมุนด้านข้างในขณะเข้าโค้ง ซึ่งช่วยให้ผู้ขับขี่มั่นใจได้ถึงการสัมผัสของยางบนพื้นถนน มอบเสถียรภาพภายในห้องโดยสาร ความสะดวกสบายในการขับขี่ และการควบคุมที่ยอดเยี่ยม