ข่าวจากสหรัฐอเมริกา ระบุว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ออกข้อกำหนดด้านความปลอดภัยสำหรับรถใหม่ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่กำหนดให้รถใหม่ทุกคันที่ขายในประเทศ ต้องมีระบบเบรคฉุกเฉินทำงานอัตโนมัติ ซึ่งข้อกำหนดนี้เป็นที่ยอมรับจากบริษัทผู้ผลิต 90 % ประกอบกับข้อมูลสนับสนุนจากรายงานความปลอดภัยอุบัติการชนสูงสุด จากสถาบันประกันภัยเพื่อความปลอดภัยทางหลวง หรือ IIHS: Insurance Institute for Highway Safety โดยต้องมีระบบเบรคทำงานได้ตามมาตรฐานความปลอดภัยที่กำหนด และข้อกำหนดใหม่จะมีผลบังคับใช้ภายใน 5 ปี หรือปี 2572 ซึ่งบริษัทผู้ผลิตรถยนต์มีเวลามากพอในการพัฒนาระบบให้เป็นไปตามข้อกำหนดใหม่
การบริหารความปลอดภัยการจราจรบนทางหลวงแห่งชาติ (NHTSA: National Highway Traffic Safety Administration) กำหนดให้รถยนต์นั่งทุกคันที่มีน้ำหนัก 10,000 ปอนด์ (ประมาณ 4.55 ตัน) หรือน้อยกว่า ต้องมีระบบเตือนการชนด้านหน้า ร่วมกับระบบเบรคฉุกเฉินอัตโนมัติ และระบบตรวจจับผู้เดินถนน โดยรถต้องหยุดเองทันที เพื่อป้องกันการชนรถด้านหน้า เมื่อใช้ความเร็วสูงกว่า 62 ไมล์/ชม. (ประมาณ 100 กม./ชม.), ระบบเบรคอัตโนมัติต้องทำงานทันที หากพบว่ามีโอกาสเกิดการชนด้านหน้า ที่ความเร็วเกินกว่า 90 ไมล์/ชม. (ประมาณ 145 กม./ชม.) ระบบตรวจจับคนเดินถนนต้องทำงานได้ทั้งเวลากลางวัน และกลางคืน โดยระบบจะหยุดรถ เมื่อใช้ความเร็วเกิน 31 และ 41 ไมล์/ชม. (ประมาณ 50 และ 64 กม./ชม.) ขึ้นกับสภาพแวดล้อม
NHTSA ไม่กำหนดชนิดของอุปกรณ์เป็นการเฉพาะ แต่อุปกรณ์ที่เลือกใช้ต้องผ่านการรับรองมาตรฐานการทำงาน โดยส่วนใหญ่จะเป็นอุปกรณ์ประเภทกล้องถ่ายภาพ และเรดาร์ ข้อกำหนดใหม่ของ NHTSA จะทำให้รถใหม่มีราคาแพงขึ้นอย่างน้อยคันละ 82 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 3,000 บาท) ตามค่าเงินเหรียญสหรัฐฯ ปี 2563 ซึ่งระบบนี้จะช่วยผู้คนหลายร้อยคนจากการบาดเจ็บ และเสียชีวิต ทั้งช่วยลดการทำให้ทรัพย์สินเสียหายได้อีกหลายล้านเหรียญสหรัฐฯ
เมื่อข้อกำหนดมีผลบังคับใช้องค์กรของรัฐจะเลือกสุ่มทดสอบรถยนต์ใหม่ ในปัจจุบันได้มีการทดสอบรถใหม่ไปแล้วจำนวน 17 รุ่น และพบว่า Toyota Corolla รุ่นปี 2566 เท่านั้น ที่ติดตั้งระบบกล้อง และเรดาร์ตรงตามข้อกำหนดใหม่