รถล่าสุด
BYD กับเทคโนโลยี DM-i Super Hybrid เตรียมเจอกันใน BYD Sealion 6 DM-i (ชื่อเดิม คือ Seal U DM-i)
ตลาดยานยนต์ประเทศไทยนำเสนอรถยนต์หลากหลายประเภทเพื่อสร้างทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคกันมากขึ้น และหนึ่งในยนตรกรรมที่ยังคงได้รับความสนใจอยู่ไม่น้อยก็คือรถยนต์ประเภท PHEV (Plug-in Hybrid) หรือรถยนต์ที่ขับเคลื่อนโดยการผสานขุมพลังที่สร้างจากไฟฟ้าร่วมกับน้ำมันเชื้อเพลิงนั่นเอง โดย BYD ก็เป็นอีกแบรนด์หนึ่งที่ได้เผยโฉมรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดที่จะเข้าสู่ตลาดยานยนต์ไทยไปในช่วงต้นปีที่ผ่านมา นำร่องโดย BYD Sealion 6 DM-i (บีวายดี ซีไลออน 6 ดีเอม-ไอ) หรือชื่อเดิมคือ BYD Seal U DM-i (บีวายดี ซีล ยู ดีเอม-ไอ) เอสยูวีขุมพลังพลัก-อินไฮบริด 1.5 ลิตร ที่ใช้เทคโนดลยี DM-i เอกสิทธิ์เฉพาะจาก BYD ที่ทำให้รถยนต์ PHEV มอบประสบการณ์ขับขี่ได้เสมือนรถยนต์ไฟฟ้า
DM–i Super Hybrid เทคโนโลยีขับเคลื่อนยานยนต์ที่ใช้ขุมพลังงานไฟฟ้าจากมอเตอร์เป็นหลัก
เทคโนโลยี DM-i Super Hybrid เป็นเทคโนโลยีระบบพลังงาน และชุดควบคุมการทำงานของรถยนต์ประเภท PHEV เอกสิทธิ์เฉพาะของแบรนด์ BYD โดยอักษรย่อ “DM” หมายถึง “Dual Mode” หรือระบบการทำงานที่ประสานขุมพลัง 2 รูปแบบ คือมอเตอร์ไฟฟ้า และเครื่องยนต์ ส่วนอักษร “i” ย่อมาจากคำว่า “Intelligent" หรือเทคโนโลยีอัจฉริยะที่ผสานการใช้เชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ ตอบสนองต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคอย่างลงตัว
สิ่งที่ทำให้เทคโนโลยี DM-i Super Hybrid โดดเด่นเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีอื่นๆ คือ เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาภายใต้การขับเคลื่อนโดยใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหลัก (Electricity-based) โดยหลักการคือจะใช้ขุมกำลังขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่สามารถรองรับการสร้างพลังงานด้วยการชาร์จไฟทั้งในรูปแบบกระแสตรง DC และการแสสลับ AC จากภายนอก ซึ่งหากยังไม่เพียงพอในการใช้งานในชีวิตประจำวัน การสร้างพลังงานจากเครื่องยนต์ก็จะเป็นส่วนเสริมในการสร้างพลังงานหลักเพื่อการขับเคลื่อนให้กับ “มอเตอร์ไฟฟ้า” และเมื่อต้องการสร้างพลังงานสูงสุดเพื่อการขับเคลื่อนอย่างเต็มประสิทธิภาพ “เครื่องยนต์” จะสร้างพลังงานเสริมการขับขี่ เช่น การเร่งความเร็วกะทันหัน การแซง การขึ้นเนินสูง การขับขี่ทางไกลที่ใช้ความเร็วคงที่ เป็นต้น
ดังนั้นส่วนสำคัญของเทคโนโลยี DM-i Super Hybrid คือ แพลตฟอร์มที่ให้ความสำคัญกับการใช้เชื้อเพลิงพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด และมากกว่านั้นก็ยังพัฒนาเพื่อให้รถยนต์มีการปล่อยมลภาวะให้น้อยที่สุด กล่าวคือ ทุกๆ มลภาวะที่ปล่อยออกมาจะต้องมีอย่างจำกัดและถูกปล่อยออกมาเพื่อการใช้งานมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยเปรียบเสมือนการขับเคลื่อนที่เสมือนรถยนต์ไฟฟ้ามากที่สุด ซึ่งการขับเคลื่อนจะมีการส่งกำลังนิ่งเรียบและมอบประสบการณ์การขับขี่ที่นุ่มนวลและต่อเนื่องตลอดเส้นทาง
ขับขี่นุ่มนวล ห้องโดยสารไร้เสียงรบกวน เสมือนยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้า 100 %
เทคโนโลยี DM-i Super Hybrid ถือเป็นการพัฒนาภายใต้สถาปัตยกรรม DM พลังงานขับเคลื่อนเทคโนโลยีรูปแบบ Plug-In Hybrid เจนเนอเรชันที่ 4 ซึ่งทีมพัฒนาของ BYD เองนั้นสะสมประสบการณ์ในการวิจัยและพัฒนาต่อยอดตั้งแต่เจนเนอเรชันที่ 1 ถึง เจนเนอเรชันที่ 4 มาร่วม 15 ปี ซึ่งการพัฒนาเพื่อขีดจำกัดของประสิทธิภาพการขับเคลื่อนและเพื่อสอดคล้องกับการใช้รถพลังงานสะอาด เทคโนโลยี DM-i Super Hybrid ที่ปัจจุบันถูกใช้ใน BYD Sealion 6 DM-i หรือแม้กระทั่งรุ่นอื่นๆ ที่พัฒนาภายใต้สถาปัตยกรรม DM-i Super Hybrid นั้นจะขับเคลื่อนสภาวะขับเคลื่อน Hybrid รูปแบบต่างๆ ตามสถานการณ์ ดังนี้
1. EV Mode: โหมดการขับเคลื่อนโดยใช้ไฟฟ้า โดยเป็นการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเป็นหลัก ซึ่งมีการใช้พลังงานจากแบทเตอรีแรงดันสูง เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่นุ่มนวลและไร้เสียงรบกวนเสมือนกับการขับยานยนต์ไฟฟ้า 100%
2. Series Mode: หรือโหมด HEV แบบอนุกรม เป็นโหมดการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่กำลังการขับเคลื่อนของมอเตอร์ไฟฟ้าจะถูกสร้างพลังงานจากเครื่องยนต์ที่มีการเดินเครื่องที่เรียบเนียนจึงทำให้การสร้างพลังงานไร้รอยต่อและสร้างสรรค์การขับเคลื่อนให้มีความนุ่มนวล และด้วยการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลักจึงทำให้การขับเคลื่อนนั้นเสมือนยนตกรรมไฟฟ้ามากที่สุด
3. Parallel Mode: หรือโหมด HEV แบบขนาน ซึ่งเป็นโหมดการขับเคลื่อนที่มอเตอร์ไฟฟ้า และเครื่องยนต์ประสานการทำงานกันแบบเต็มกำลัง จึงส่งมอบประสิทธิภาพในด้านพละกำลังการขับขี่ที่ดีที่สุด มักจะถูกใช้ในช่วงที่ใช้กำลังขับเคลื่อนสูง เช่น การเร่งแซง การขึ้นเขา เป็นต้น
ทั้งนี้เพื่อการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและเสมือนกับการขับขี่ยนตกรรมไฟฟ้ามากที่สุด ทุกๆ การชะลอความเร็วและการเบรกนั้น ระบบ Regenerative Braking เก็บพลังงานจลน์ที่เกิดขึ้นสร้างพลังงานกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ เพื่อเพิ่มระยะทางการเดินทางด้วยไฟฟ้าให้มากยิ่งขึ้น รวมถึงปรับปรุงอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงให้ดีมากยิ่งขึ้นรวมถึงอัตราการปล่อยมลภาวะให้ลดน้อยลง และ เพื่อให้รถยนต์นั้นใกล้คำว่ารถยนตกรรมไฟฟ้ามากที่สุด ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ผู้ใช้งานได้สัมผัสถึงยนตรกรรมที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีอันล้ำสมัยที่จะช่วยให้ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารรวมถึงผู้คนสาธารณะได้รับทั้งเรื่องของความปลอดภัยในการใช้ถนนสาธารณะ และ มลภาวะสภาพแวดล้อมสาธารณะที่สะอาดมากยิ่งขึ้น
จุดเด่นของเทคโนโลยี DM-i Super Hybrid
ไฮไลต์ของเทคโนโลยี DM-i คือเป็นแพลตฟอร์มที่รวมเอานวัตกรรมเทคโนโลยีอัจฉริยะไว้ ไม่ว่าจะเป็น การพัฒนาเทคโนโลยีโดยใช้เครื่องยนต์ประสิทธิภาพเชิงความร้อนสูงซึ่งออกแบบเฉพาะสำหรับรถยนต์ระบบพลัก-อินไฮบริด เทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงพร้อมด้วยเทคโนโลยี Blade Battery เสริมด้วยระบบระบายความร้อนแบทเตอรีอัจฉริยะที่พัฒนาขึ้นสำหรับรถยนต์ไฮบริดโดยเฉพาะ ฟังค์ชันการถ่ายโอนพลังงานไฟฟ้าจากแบทเตอรีไปยังอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น รวมถึงเทคโนโลยีอื่นๆ อีกมากมายที่มอบความสะดวกให้ผู้ขับขี่ใช้งานได้อย่างมั่นใจ เช่น ระบบ VtoL ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้เทคโนโลยี DM-i Super Hybrid มีข้อได้เปรียบกว่าเทคโนโลยีพลัก-อินไฮบริดอื่นๆ ในตลาดอยู่หลายประการ อาทิ
· ประสิทธิภาพเชิงความร้อนของเครื่องยนต์ที่มากกว่า
· ประสิทธิภาพการทำงานของระบบส่งกำลังไฮบริดที่มากกว่าเนื่องด้วยการพัฒนาเครื่องยนต์ และระบบส่งกำลังสำหรับเทคโนโลยี Plug-In Hybrid โดยเฉพาะ
· เทคโนโลยี Blade Battery ซึ่งปลอดภัยกว่า ทั้งยังมีความจุที่มาก และเพียงพอ เหมาะสมกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน
· เทคโนโลยี DM-i ทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพทั้งด้านพละกำลัง ความนิ่งเรียบของการส่งถ่ายกำลังของขับเคลื่อน และการใช้อัตราสิ้นเปลืองของพลังงานและเชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ
· การทำงานของ NVH (ระดับเสียง ความสั่นสะเทือน และความกระด้างของรถยนต์) ที่มีประสิทธิภาพ
พลังงานระบบไฮบริดที่ยังคงเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ เสมือนรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 %
เทคโนโลยี DM-i ได้รับการพัฒนาให้ขับเคลื่อนด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหลัก และด้วยขนาดของแบทเตอรีที่ออกแบบมาให้เพียงพอ และเหมาะสมต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน ซึ่งหากเลือกขับรถด้วย EV Mode หรือโหมดการขับเคลื่อนโดยใช้ไฟฟ้า ในขณะที่แบทเตอรีมีพลังงานคงเหลือปกติ ก็จะทำให้ขับขี่ได้โดยไม่สร้างมลพิษทางอากาศเลยแม้แต่น้อย เสมือนใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 % เพราะ EV Mode จะใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นระบบขับเคลื่อนหลักโดยสมบูรณ์ และไม่มีการใช้ขุมพลังจากเครื่องยนต์เลย
หากขับขี่ขณะที่แบทเตอรีมีพลังงานคงเหลือต่ำ (Low SOC หรือแบทเตอรีน้อยกว่า 25 %) ระบบก็จะยังคงใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเป็นหลัก โดยใช้วิธีสร้างพลังงานจากเครื่องยนต์ และส่งต่อมาที่มอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งช่วยทั้งในเรื่องของการลดปริมาณการปล่อยมลพิษได้อย่างชัดเจน และยังเป็นการใช้พลังงานเชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพราะเมื่อระบบมีพลังงานไฟฟ้าที่เพียงพอต่อการขับเคลื่อนแล้ว เครื่องยนต์ก็จะหยุดทำงานแล้วเปลี่ยนกลับมาขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่ได้พลังงานมาจากแบตเตอรี่คงเหลือแทน นอกจากนี้ แบทเตอรียังได้รับการออกแบบให้มีขนาดที่เหมาะสมกับการใช้งาน ทำให้รถยนต์ไม่ต้องแบกภาระน้ำหนักรวมของตัวรถที่มากเกินความจำเป็น ซึ่งจะทำให้เกิดอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในการสร้างพลังงานขับเคลื่อนมากขึ้น
ทุกความชาญฉลาดของเทคโนโลยี DM-i Super Hybrid ที่กล่าวมาข้างต้น พร้อมให้สัมผัสประสบการณ์สุดล้ำเสมือนรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแล้วในรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเผยโฉมในประเทศไทยอย่าง BYD Sealion 6 DM-i พร้อมเปิดจองสิทธิ์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมของ BYD Sealion 6 DM-i ในประเทศไทยได้ที่ Facebook: https://www.facebook.com/BYDReverThailandOfficial