ธุรกิจ
ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์
Ford รุกตลาดครึ่งปีหลัง งัดกลยุทธ์กระตุ้นตลาด
Ford ประเทศไทย เผยความสำเร็จทางยอดขายของ Ford Ranger (ฟอร์ด เรนเจอร์) และ Ford Everest (ฟอร์ด เอเวอเรสต์) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 พร้อมเดินหน้ารุกตลาดครึ่งปีหลัง ผลักดันธุรกิจให้เติบโตยิ่งขึ้น ชูกลยุทธ์ย้ำจุดแข็งของผลิตภัณฑ์รถ Ford ควบคู่ไปกับการดูแลลูกค้าเสมือนคนในครอบครัว พร้อมอัดกิจกรรมการตลาดที่เน้นเข้าถึงผู้บริโภคให้มีประสบการณ์ร่วมกับแบรนด์ ผ่านแคมเปญยิ่งใหญ่แห่งปี Ford 28th Anniversary มอบข้อเสนอพิเศษลุ้นรับเงินคืน และข้อเสนอสุดคุ้มด้านการบริการจำนวนมาก
รัฐการ จูตะเสน กรรมการผู้จัดการ Ford ประเทศไทย กล่าวว่า ครึ่งแรกของปี 2567 Ford Ranger และ Ford Eversest ครองตำแหน่งรถที่มียอดขายดีที่สุดอันดับ 3 ทั้งในเซกเมนท์รถกระบะ และ PPV ได้อย่างเหนียวแน่น ด้วยยอดขายรวม 11,282 คัน ทำให้ Ford รักษาตำแหน่งอันดับ 1 ในตลาดรถกระบะขับเคลื่อน 4 ล้อด้วยส่วนแบ่งตลาด 29 % และยังเป็นอันดับ 1 ในตลาดรถกระบะ 4x4 แบบ 4 ประตู ด้วยส่วนแบ่งตลาด 37 % ด้านรถ Ford Eversest กระแสดีต่อเนื่อง โดยมีส่วนแบ่งตลาดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 27 % ในเดือนเมษายน หลังจากการเปิดตัว Ford Eversest Platinum (ฟอร์ด เอเวอเรสต์ พแลทินัม) เมื่อต้นปี
ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าอุตสาหกรรมยานยนต์โดยรวมของปีนี้ จะไม่ได้เติบโตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยคาดการณ์ว่ายอดขายปีนี้น่าจะไม่เกิน 640,000 คัน ซึ่งหากดูยอดขายในแต่ละเดือนเฉลี่ยไม่ถึง 55,000 คัน การที่จะทำให้ยอดขายเป็นไปตามเป้า ในช่วงครึ่งปีหลังคงจะต้องมีการกระตุ้นตลาด พลิกกลยุทธ์ เพื่อสร้างการเติบโตกันอย่างมาก
"การที่รถ Ford ยังได้รับความนิยมอย่างมากท่ามกลางสภาพตลาดที่ท้าทายในปีนี้ สะท้อนถึงความเชื่อมั่น และความไว้วางใจที่ลูกค้ามีให้แก่แบรนด์ Ford สำหรับครึ่งปีหลัง เรายังมุ่งมั่นที่จะต่อยอดธุรกิจจากจุดแข็งของผลิตภัณฑ์ และการเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ทั้งการดึงดูดลูกค้าใหม่ด้วยแคมเปญที่เร้าใจ และการดูแลลูกค้าเดิมให้มีความอุ่นใจในการใช้งาน”
เมธัส ลิขิตสัจจากุล ผู้อำนวยการฝายการตลาด กล่าวว่า แผนการตลาด Ford ชูความแกร่งของแบรนด์ในฐานะผู้นำตลาดรถกระบะขับเคลื่อน 4 ล้อผ่านกิจกรรม "King of Tough" ที่เปิดโอกาสให้ลูก ค้า และผู้ที่สนใจรถ Ford Ranger Raptor (ฟอร์ด เรนเจอร์ แรพเตอร์) ร่วมทดสอบรถกระบะออฟโรดสมรรถนะสูงในสนามสุดท้าทายที่ออกแบบมาเป็นพิเศษถึง 3 สนาม ในจังหวัดชลบุรี เชียงใหม่ และสุราษฎร์ธานี ซึ่งตลอดกิจกรรม ผู้เข้าร่วมงานจะได้มีโอกาสแข่งขันเพื่อคัดเลือกผู้ชนะจากแต่ละสนามรวม 6 คน เป็นตัวแทนร่วมทริพสุดพิเศษบนเส้นทางลาวและเวียดนามในช่วงปลายเดือนกัน ยายนนี้
นอกจากนี้ Ford ยังโหมกระแส Ford Ranger ให้แรงต่อเนื่องด้วยกลยุทธ์มิวสิคมาร์เกทิง จับมือนักร้องลูกทุ่งชื่อดัง มนต์แคน แก่นคูน ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เปิดตัวเพลงใหม่ล่าสุด "สิพาความคิดฮอด... มากอดเด้อ" เพื่อสานต่อความสัมพันธ์อันแข็งแกร่งระหว่าง Ford และลูกค้าให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดย Ford มั่นใจว่า เพลงใหม่นี้จะได้รับกระแสตอบรับอย่างล้นหลามเช่นเดียวกับเพลง "พร้อมสู้ไหวกับอ้ายบ่" เมื่อปีที่ผ่านมา
สุรวัฒน์ จึงสมประสงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริการลูกค้า กล่าวว่า ด้านงานบริการลูกค้า มียอดการใช้งานนวัตกรรมบริการลูกค้าเพิ่มขึ้นทุกบริการในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีแล้ว ทั้งบริการนัดหมายออนไลน์ หน่วยบริการเคลื่อนที่ บริการรับ-ส่งรถนอกสถานที่ และบริการตรวจเชคตามระยะรวดเร็วภายในเวลา 60 นาที สะท้อนให้เห็นถึงความคุ้นเคย และความมั่นใจในการใช้งานนวัตกรรมที่สะดวกสบายของลูกค้า โดยในช่วงครึ่งปีหลัง Ford พร้อมพัฒนางานบริการอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ลูกค้าได้รับความ "สะดวก มั่นใจ ประทับใจ" ยิ่งขึ้น อาทิ
พร้อมกันนี้ ยังเตรียมขยายการรองรับการบริการซ่อมสี และตัวถังตามมาตรฐาน Ford อีก 6 แห่ง จากเดิม 40 แห่ง ในปีที่แล้ว การพัฒนาช่องทางการสื่อสารผ่านแอพพลิเคชันไลน์ ที่จะรองรับฟังค์ชันต่างๆ เพื่อให้การสื่อสารระหว่างแบรนด์กับลูกค้ารวดเร็ วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การอัพเดทสถานะงานซ่อม การยกระดับการจัดการอะไหล่รูปแบบใหม่ เสริมความแม่นยำและรวดเร็วในการกระจายอะไหล่ได้อย่างครอบคลุม การเน้นย้ำความคุ้มค่าของการเป็นเจ้าของรถ Ford โดยค่าใช้จ่ายในการเชคระยะของ Ford เมื่อครบ 120,000 กม. หรือ 6 ปี อยู่ในระดับที่คุ้มค่า และแข่งขันได้เมื่อพิ จารณาต้นทุน บาท/กม.
รวมถึงแผนการขยายคลังอะไหล่แห่งที่ 3 คาดว่าจะประกาศแผนการลงทุนในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้
รัฐการ จูตะเสน กรรมการผู้จัดการ กล่าวเสริมตอนท้ายว่า ในโอกาสครบรอบ 28 ปี ของการดำเนินธุรกิจของ Ford ในประเทศไทย Ford ยังได้เปิดตัวแคมเปญสุดยิ่งใหญ่ "Ford 28th Anniversary" มอบสิทธิ์ลุ้นรับเงินคืนรวมมูลค่ากว่า 2,240,000 บาท เมื่อจองและออกรถ Ford ระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม-30 กันยายน 2567 ประกอบด้วย
รางวัลเงินคืนมูลค่า 280,000 บาท จำนวน 5 รางวัล
รางวัลเงินคืนมูลค่า 28,000 บาท จำนวน 30 รางวัล
การจอง 1 คัน จะได้รับ 1 สิทธิพิเศษ ! รับสิทธิ์ในการจับฉลากรางวัลเงินคืน 28 สิทธิ์/การจองรถ 1 คัน หากจองรถ Ford ระหว่างวันที่ 17-18 สิงหาคม 2567
นอกจากนี้ แคมเปญ Ford 28th Anniversary ยังมาพร้อมข้อเสนอสุดคุ้มด้านบริการที่หลากหลายระหว่างเดือนสิงหาคม-กันยายน 2567 ให้แก่ลูกค้าครอบครัว Ford ได้แก่
ส่วนลดพิเศษ 28 % เมื่อซื้ออุปกรณ์ตกแต่งแท้ Ford ได้แก่ ฝาปิดท้ายกระบะทุกรุ่น และสปอร์ทบาร์ Hamer จำนวนจำกัด 100 สิทธิ์ตลอดระยะเวลาแคมเปญ (อุปกรณ์ตกแต่งแท้ Ford รับประกันสูง สุด 5 ปี หรือ 150,000 กม. แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน)
เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องพร้อมไส้กรองในราคาเพียง 280 บาท จำนวน 1,000 สิทธิ์/เดือน ครอบคลุมถึงน้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ 913D SAE 5W30 ไส้กรองน้ำมันเครื่อง และชุดแหวนรอง โดยลูกค้าต้องทำการนัดหมายผ่านระบบออนไลน์เท่านั้น
ส่วนลดพิเศษ 2,800 บาท เมื่อซื้อโปรแกรมขยายเวลารับประกันคุณภาพรถยนต์ Ford Care Gold และ Driveline ทุกแพคเกจ จำนวน 500 สิทธิ์ ส่วนลดโปรโมชันสามารถใช้ซื้อโปรแกรมขยายระยะการรับประกันคุณภาพรถยนต์ Ford Package ใดก็ได้ สำหรับรถที่ยังอยู่ในเงื่อนไขการรับประกันคุณภาพจากโรงงานที่บริษัทฯ กำหนดเท่านั้น
ยอดขายรถยนต์ครึ่งปีแรกตก 24.2 %
ศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด รายงานสรุปยอดขายรถยนต์ครึ่งปี 2567 ยอดขายสะสมตลาดรวม 308,027 คัน ลดลง 24.2 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ยอดขายสะสมตลาดรถยนต์นั่ง 119,326 คัน ลดลง 19.4 % ยอดขายสะสมรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ 188,701 คัน ลดลง 26.9 % และรถกระบะขนาด 1 ตัน ยอดขายสะสม 108,437 คัน ลดลง 40.7 %
สำหรับยอดขายประจำเดือนมิถุนายน 2567 ยอดขายตลาดรวม 47,662 คัน ลดลง 26.0 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์นั่งมีปริมาณการขาย 17,737 คัน ลดลง 27.1 % ในขณะที่รถยนต์เพื่อการพาณิชย์มีปริมาณการขาย 29,925 คัน ลดลง 25.4 % และรถกระบะขนาด 1 ตัน ยอดขายทั้งหมด 16,672 คัน ลดลง 39.0 %
ทั้งนี้ตลาดรถยนต์ครึ่งปี 2567 มียอดขาย 308,027 คัน ลดลง 24.2 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา กลุ่มตลาดรถยนต์นั่ง มียอดขายสะสม 119,326 คัน ลดลง 19.4 % ตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ มียอดขายลดลง 26.9 % ด้วยยอดขาย 188,701 คัน และตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน มียอดขาย 108,437 คัน ลดลงถึง 40.7 % ในส่วนของตลาด xEV มียอดขายทั้งหมด 108,720 คัน คิดเป็นสัดส่วน 35.3 % ของตลาดรถยนต์ทั้งหมด เติบโตขึ้น 35.6 % เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ทั้งนี้ ยอดขายรถยนต์ HEV เติบโตขึ้น 68.7 % ด้วยยอดขาย 67,346 คัน ในขณะที่ยอดขายรถยนต์ BEV อยู่ที่ 36,593 คัน เติบโตขึ้น 9.4 %
ตลาดรถยนต์เดือนมิถุนายน 2567 มียอดขาย 47,662 คัน ลดลง 26.0 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา กลุ่มตลาดรถยนต์นั่ง ลดลง 27.1 % ด้วยยอดขาย 17,737 คัน ตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ ลดลงเช่นกันที่ 25.4 % ด้วยยอดขาย 29,925 คัน และตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน มียอดขาย 16,672 คัน ลดลงถึง 39.0 % ในส่วนของตลาด xEV มียอดขายทั้งหมด 16,777 คัน คิดเป็นสัดส่วน 35.2 % ของตลาดรถยนต์ทั้งหมด เติบโตขึ้น 18.0 % เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมียอดขายรถยนต์ HEV เติบโตขึ้น 57.7 % ด้วยยอดขาย 9,886 คัน ในขณะที่ยอดขายรถยนต์ BEV อยู่ที่ 6,095 คัน ลดลง 11.6 %
ตลาดรถยนต์ในเดือนกรกฎาคม มีแนวโน้มจะทรงตัว หรือลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจโดยรวม และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ยังคงฟื้นตัวช้า
ศุภกร รัตนวราหะ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในครึ่งปีแรก Toyota มียอดขายรถยนต์รวมที่ 116,278 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดถึง 37.7 % โดยเฉพาะตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pick up+รถกระบะดัด แปลง PPV) มียอดขายรวมอยู่ที่ 49,689 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งในตลาดรถยนต์เซกเมนท์นี้ถึง 45.8 % สำหรับยอดขายรถยนต์นั่งอยู่ที่ 33,264 คัน คิดเป็นส่วนแบ่ง 27.9 %
ทั้งนี้ Toyota (โตโยตา) มียอดขายรถยนต์ไฮบริดถึง 30,714 คัน หรือคิดเป็นสัดส่วนถึง 28.3 % ของยอดจำหน่ายรถยนต์ในกลุ่มตลาด XEV ทั้งหมด ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในรถยนต์ Toyota ของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี และผมต้องขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านอีกครั้งสำหรับทุกความไว้วางใจที่มีให้แก่ Toyota
ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ เดือนมิถุนายน 2567
1. ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 47,662 คัน ลดลง 26.0 %
อันดับที่ 1 Toyota* 18,542 คัน ลดลง 11.2 % ส่วนแบ่งตลาด 38.9 %
อันดับที่ 2 Isuzu 7,077 คัน ลดลง 43.4 % ส่วนแบ่งตลาด 14.8 %
อันดับที่ 3 Honda 6,125 คัน ลดลง 13.3 % ส่วนแบ่งตลาด 12.9 %
Lexus 64 คัน
2. ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 17,737 คัน ลดลง 27.1 %
อันดับที่ 1 Toyota* 5,372 คัน ลดลง 27.5 % ส่วนแบ่งตลาด 30.3 %
อันดับที่ 2 Honda 3,380 คัน ลดลง 23.9 % ส่วนแบ่งตลาด 19.1 %
อันดับที่ 3 Mitsubishi 1,696 คัน เพิ่มขึ้น 25.5 % ส่วนแบ่งตลาด 9.6 %
Lexus 38 คัน (IS, ES, LM)
3. ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 29,925 คัน ลดลง 25.4 %
อันดับที่ 1 Toyota* 13,170 คัน ลดลง 2.2 % ส่วนแบ่งตลาด 44.0 %
อันดับที่ 2 Isuzu 7,077 คัน ลดลง 43.4 % ส่วนแบ่งตลาด 23.6 %
อันดับที่ 3 Honda 2,745 คัน เพิ่มขึ้น 4.5 % ส่วนแบ่งตลาด 9.2 %
Lexus 26 คัน (UX, NX, RX, LBX, RZ)
4. ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pick up และรถกระบะดัดแปลง PPV*)
ปริมาณการขาย 16,672 คัน ลดลง 39.0 %
อันดับที่ 1 Toyota 7,939 คัน ลดลง 26.5 % ส่วนแบ่งตลาด 47.6 %
อันดับที่ 2 Isuzu 6,148 คัน ลดลง 44.6 % ส่วนแบ่งตลาด 36.9 %
อันดับที่ 3 Ford 1,637 คัน ลดลง 49.1 % ส่วนแบ่งตลาด 9.8 %
*ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง (ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน) 2,601 คัน
Toyota 982 คัน-Isuzu 819 คัน-Ford 569 คัน-Mitsubishi 197 คัน-Nissan 34 คัน
5. ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 14,071 คัน ลดลง 36.4 %
อันดับที่ 1 Toyota 6,957 คัน ลดลง 24.7 % ส่วนแบ่งตลาด 49.4 %
อันดับที่ 2 Isuzu 5,329 คัน ลดลง 41.4 % ส่วนแบ่งตลาด 37.9 %
อันดับที่ 3 Ford 1,068 คัน ลดลง 47.9 % ส่วนแบ่งตลาด 7.6 %
สถิติการจำหน่ายรถยนต์ เดือนมกราคม-มิถุนายน 2567
1. ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 308,027 คัน ลดลง 24.2 %
อันดับที่ 1 Toyota* 116,278 คัน ลดลง 15.0 % ส่วนแบ่งตลาด 37.7 %
อันดับที่ 2 Isuzu 46,260 คัน ลดลง 46.4 % ส่วนแบ่งตลาด 15.0 %
อันดับที่ 3 Honda 43,499 คัน ลดลง 5.7 % ส่วนแบ่งตลาด 14.1 %
Lexus 580 คัน
2. ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 119,326 คัน ลดลง 19.4 %
อันดับที่ 1 Toyota* 33,264 คัน ลดลง 34.8 % ส่วนแบ่งตลาด 27.9 %
อันดับที่ 2 Honda 24,630 คัน ลดลง 19.0 % ส่วนแบ่งตลาด 20.6 %
อันดับที่ 3 Mitsubishi 9,887 คัน เพิ่มขึ้น 3.2 % ส่วนแบ่งตลาด 8.3 %
Lexus 369 คัน
3. ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 188,701 คัน ลดลง 26.9 %
อันดับที่ 1 Toyota* 83,014 คัน ลดลง 3.3 % ส่วนแบ่งตลาด 44.0 %
อันดับที่ 2 Isuzu 46,260 คัน ลดลง 46.4 % ส่วนแบ่งตลาด 24.5 %
อันดับที่ 3 Honda 18,869 คัน เพิ่มขึ้น 20.1 % ส่วนแบ่งตลาด 10.0 %
Lexus 211 คัน
4. ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pick up และรถกระบะดัดแปลง PPV*)
ปริมาณการขาย 108,437 คัน ลดลง 40.7 %
อันดับที่ 1 Toyota 49,689 คัน ลดลง 29.6 % ส่วนแบ่งตลาด 45.8 %
อันดับที่ 2 Isuzu 40,593 คัน ลดลง 48.4 % ส่วนแบ่งตลาด 37.4 %
อันดับที่ 3 Ford 11,282 คัน ลดลง 43.9 % ส่วนแบ่งตลาด 10.4 %
*ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง (ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน) 18,856 คัน
Toyota 6,981 คัน-Isuzu 5,929 คัน-Ford 4,263 คัน-Mitsubishi 1,452 คัน-Nissan 231 คัน
5. ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 89,581 คัน ลดลง 40.2 %
อันดับที่ 1 Toyota 42,708 คัน ลดลง 27.3 % ส่วนแบ่งตลาด 47.7 %
อันดับที่ 2 Isuzu 34,664 คัน ลดลง 48.0 % ส่วนแบ่งตลาด 38.7 %
อันดับที่ 3 Ford 7,019 คัน ลดลง 49.3 % ส่วนแบ่งตลาด 7.8 %
Omoda 5 EV ว่าที่ครอสส์โอเวอร์ เอสยูวีไฟฟ้าน้องใหม่ในไทย
BMW Barcelona ทุ่ม 50 ล้าน เปิดศูนย์ซ่อมสี
BMW Barcelona เสริมความแข็งแกร่ง และความสมบูรณ์แบบในการบริการหลังการขายในภาคเหนือ ด้วยงบลงทุนกว่า 50 ล้านบาท เปิดให้บริการศูนย์ซ่อมสี และตัวถัง มาตรฐาน BMW Certified Body & Paint Service คร้ังแรกในเชียงใหม่ภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย
ชาคริต ลีนุตพงษ์ ผู้อํานวยการฝ่ายบริการหลังการขาย บริษัท บาเซโลนา มอเตอร์ จํากัด ผู้จําหน่าย และศูนย์บริการหลังการขายรถยนต์ BMW (บีเอมดับเบิลยู) MINI (มีนี) และ BMW Motorrad (บีเอมดับเบิลยู มอเตอร์ราด) อย่างเป็นทางการในประเทศไทย เปิดเผยว่า เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ลูกค้ารถยนต์ BMW ในภาคเหนือ บาร์เซโลนา รุกตลาดต่อเนื่อง ลงทุนเพิ่มกว่า 50 ล้านบาท เปิดศูนย์ซ่อมสี และตัวถังรถยนต์ BMW เดื่อตอบสนองความต่องการงานด้านบริการหลังการขาย เพราะถือเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนการตัดสินใจซื้อรถยนต์ของลูกค้า ซึ่งบาร์เซโลนาได้รับความไว้วางใจจากลูก ค้าในภาคเหนืออย่างดีมาโดยตลอด
“ด้วยประสบการณ์ และชื่อเสียงในการดําเนินธุรกิจกลุ่มออโตโมทีฟมากว่า 30 ปีในประเทศไทย การันตีด้วยผลงานยานยนต์ในหลากหลายรูปแบบ ทําให้ศูนย์บริการซ่อมสี และตัวถัง บาร์เซโลนา มอเตอรฯ์ สาขาเชียงใหม่ พร้อมที่จะให้บริการเป็นครั้งแรกในภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีการสร้าง Facilities ต่างๆ ที่มีคุณภาพสูงสุด และให้ความสําคัญกับผู้เชี่ยวชาญ และบุคลากรทุกภาคส่วน จะต้องผ่านการฝึกอบรมตามมาตรฐานของ BMW Thailand ซึ่งควบคุมการทํางานในทุกขั้นตอน ลูกค้าจะได้สัมผัสกับผลงานการซ่อมสี และตัวถังที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ พร้อมรับประกันความพึงพอใจในทุกคัน เปรียบเสมือนวันแรกที่ได้รับรถคันใหม่"
สำหรับศูนย์บริการซ่อมสี และตัวถัง บาร์เซโลนา มอเตอรฯ ์สาขาเชียงใหม่ มีพื้นที่บริการท้ังหมด 1,500 ตรม. ประกอบด้วย 21 ช่องซ่อม 2 ตู้พ่น สามารถรองรับการบริการได้ประมาณ 120 คัน/เดือน การดูแลรถของที่นี่ การันตีอะไหล่ และการบริหารจัดการโดย BMW
นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ภายในศูนย์ซ่อมสีและตัวถังรถยนต์ยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย อาทิ สีสูตรนํ้าฯ
ชาคริต กล่าวถึงทิศทางงานบริการหลังการขายของกลุ่มธุรกิจรถยนต์ BMW MINI และ BMW Motorrad ในภาคเหนือตอนบนว่า ในปี 2024 บริษัทมุ่งเน้นที่การสร้างความพึงใจให้ลูกค้า รถทุกคันของลูกค้าจะสัมผัสได้ถึงจากงานซ่อมที่ดีมีคุณภาพ เสมือนรถใหม่ป้ายแดงอย่างแท้จริง
MG3 Hybrid+ Hot Hatch 194 แรงม้า แต่ประหยัดกว่า Eco Car
MG3 Hybrid+ (เอมจี 3 ไฮบริด พลัส) เป็นรถไฮบริดในกลุ่ม B-Segment ประหยัดกว่า แรงกว่า กว้างกว่า ปลอดภัยกว่าคู่แข่ง
MG3 Hybrid+ เป็นโมเดลขายทั่วโลก (Global) รุ่นล่าสุดของ MG ที่พัฒนาในยุโรป และผ่านการทดสอบมามาก ก่อนจะมาลงสายการผลิตในประเทศไทย และวางตัวไว้ในกลุ่ม B-Segment โดดเด่นด้วยระบบ Hybrid+ เทคโนโลยีใหม่จาก MG ที่มีโหมดขับเคลื่อนปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมมากถึง 8 โหมด และสามารถขับได้ไกลสูงสุดมากกว่า 800 กม. จากน้ำมันในถัง 36 ลิตร
Global Exterior Design สปอร์ท โฉบเฉี่ยว ปราดเปรียว คล่องตัว
MG3 ใหม่ Hybrid+ กระจังหน้าคล้าย MG5 (เอมจี 5) อันเป็นเอกลักษณ์ของ MG และเพิ่มความดุดัน ด้วยไฟหน้าแบบใหม่ Hunter Eye Headlamp หรือดวงตานักล่า ที่ดูโฉบเฉี่ยว ไม่แพ้คู่แข่งอย่าง Mazda2 (มาซดา 2)
ด้านหลังแนว Hot Hatch ดูร้อนแรง ไฟท้าย MG บอกว่าได้รับแรงบันดาลใจจากปีกผีเสื้อ ลงตัวกับเส้นสาย และความโค้งมนบนตัวรถ มองไปแล้วเหมือนกับ Mazda2 Hatchback มารวมกับ Honda City Hatchback (ฮอนดา ซิที แฮทช์แบค)
ไฟหน้าแบบ LED พร้อมระบบเปิด/ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวัน (Daytime Running Lights)
ไฟท้ายดูสวยสปอร์ทไม่แพ้ Mazda2 Hatchback
MG3 Hybrid+ มีมิติตัวถังยาว/กว้าง/สูง 4,113/1,797/1,502 มม. ความยาวฐานล้อ 2,570 มม. เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง
ตัวรถสั้น แต่กว้างกว่า Honda City Hatchback (4,369/1,749/1,501 มม. ฐานล้อสั้นกว่า (2,589 มม.)
ใหญ่กว่า Mazda2 Hatchback (4,080/1,695/1,495 มม.) ฐานล้อเท่ากัน (2,570 มม.)
เล็กกว่า BYD Dolphin (บีวายดี ดอลฟิน) รถไฟฟ้า 100 % (4,290/1,770/1,570 มม.) ฐานล้อสั้นกว่า (2,700 มม.)
กระจกมองข้างปรับไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยว และพับอัตโนมัติ
ระบบปัดน้ำฝนด้านหน้าแบบอัตโนมัติ พร้อมใบปัดน้ำฝนด้านหลัง
ล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว ยาง EV ขนาด 195/55 R16
ภายในสปอร์ทอย่างมีสไตล์ สะดวกสบาย ครบจบทุกฟังค์ชันการใช้งาน
ภายในห้องโดยสารภายใต้ Modular Concept ที่ให้ความสำคัญกับวัสดุที่มีคุณภาพ พร้อมการออกแบบคอนโซลที่เล่นระดับให้มีมิติ
เพิ่มความหรูหราด้วยการตกแต่งแบบทูโทนขาวสลับดำ ในรุ่น X พร้อมแท่นชาร์จแบบไร้สาย
ภายในสีดำเดินด้ายสีส้ม ในรุ่น D เน้นความสปอร์ท
ห้องโดยสารด้านหลังมีพื้นที่เหนือศีรษะ (Head Room) และพื้นที่วางขา (Leg Room) ที่ไม่อึดอัด
โดย MG3 Hybrid+ ถือเป็นรถที่กว้างที่สุดในคลาสส์เดียวกัน โดยเฉพาะห้องสัมภาระท้ายจุได้มากถึง 293 ลิตร และเมื่อพับเบาะสามารถจุได้มากถึง 1,037 ลิตร
พวงมาลัยมัลทิฟังค์ชันหุ้มหนัง พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียง และปุ่มรับ/วางสายโทรศัพท์
กระจกไฟฟ้า One Touch Up-Down ด้านผู้ขับขี่
เกียร์แบบหมุนเหมือนกับรถไฟฟ้า MG4 (เอมจี 4)
หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิทอลขนาด 7 นิ้ว (Digital Multi-Function Display) และหน้าจอสีระบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว ลำโพง 6 จุด ช่องใส่ของภายในห้องโดยสาร 25 จุด
เบาะนั่งคนขับปรับ 6 ทิศทาง และเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับ 4 ทิศทาง ที่พักแขนด้านหน้า
เบาะนั่งด้านหลังพนักพิงพับได้ แยก 60:40
ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
รองรับระบบเชื่อมต่อมัลทิมีเดีย Apple Car Play และสมาร์ทโฟนระบบ Android แบบไร้สาย
ระบบกุญแจรีโมทอัจฉริยะ (Smart Key) พร้อมปุ่ม Push Start
ระบบปรับอากาศแบบดิจิทอล ระบบกรองอากาศ PM2.5
MG3 Hybrid+ ให้กำลังมากที่สุดในคลาสส์เดียวกัน ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 102 แรงม้า/75 กิโลวัตต์ ผสานการทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 136 แรงม้า /100 กิโลวัตต์ ให้กำลังรวมสูงสุดถึง 194 แรงม้า/143 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 250 นิวทันเมตร/25.5 กก.ม.
แรงสุดในกลุ่ม B-Segment อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 8 วินาที และเร่งแซง 80-120 กม./ชม. ในเวลาเพียง 5 วินาที
เปรียบเทียบกับคู่แข่งอย่าง Honda City Hatchback รุ่น E:HEV (อี: เอชอีวี) ที่มีกำลังสูงสุด 126 แรงม้า มีผลการทดสอบดาทรอน อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 10.1 วินาที เร่งแซง 80-120 กม./ชม. ในเวลา 7.8 วินาที
นอกจากมีกำลังรวม (ไฮบริด) ที่น้อยกว่าถึง 68 แรงม้าแล้ว ยังมีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ช้ากว่าถึง 2 วินาที และเร่งแซงที่ช้ากว่าเกือบ 3 วินาที
ถ้าเป็นรุ่นเทอร์โบ 1.0 ลิตร 122 แรงม้า ทำไว้ 10.5 วินาที กับ 7.0 วินาที ช้ากว่า MG3 รุ่นใหม่ 2 วินาที
สมรรถนะพอๆ กับ BYD Dolphin Extended ทำไว้ 0-100 กม./ชม. ใน 8.3 วินาที (ตัวเลขผู้ผลิต 7 วินาที) และ 80-120 กม./ชม. ใน 5.1 วินาที
ผลลัพธ์จากเทคโนโลยีไฮบริดใหม่ของ MG อย่างระบบ Hybrid+ กับ 8 โหมดขับเคลื่อนที่จะมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ประหยัดน้ำมัน สามารถวิ่งได้ไกลกว่า 800 กม. และขับสนุกที่สุดในคลาสส์
สำหรับครั้งแรกที่ได้ขับ MG3 Hybrid+ ขับสนุกกว่าที่คิด และประหยัดน้ำมันเกินคาด
Hybrid+ ของ MG3 ใหม่ เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว DVVT กำลัง 102 แรงม้า และมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ High-Performance Permanent Magnet Synchronous Motors กำลัง 136 แรงม้า ให้ขุมพลังรวมสูงสุดถึง 194 แรงม้า/143 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 250 นิวทันเมตร/25.5 กก.ม. ระบบส่งกำลัง Hybrid Transmission ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ไฟ ฟ้าแบบ E-AT 3 อัตราทดเกียร์ ปรับการทำงานแบบอัตโนมัติ โหมดการขับขี่ 3 รูปแบบ ได้แก่ Eco, Normal, Sport
แบทเตอรีลิเธียม-ไอออนขนาดใหญ่ ในรูปแบบ Cell-to-Pack ความจุ 1.83 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งมีความจุมากที่สุดในรถขนาดเดียวกัน
โหมดการขับขี่ 3 รูปแบบ ได้แก่ Eco, Normal, Sport
ระบบส่งกำลัง Hybrid Transmission ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ไฟฟ้าแบบ E-AT 3 อัตราทดเกียร์ ปรับการทำงานแบบอัตโนมัติ
ระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) 3 ระดับ 1 น้อย 2 ปานกลาง และ 3 มาก
MG3 Hybrid+ มี 8 โหมดขับเคลื่อน
- โหมดจอดหยุดนิ่ง
ระบบจะใช้พลังงานจากแบทเตอรีแรงเคลื่อนสูง (HV Battery) เพื่อทำให้ระบบปรับอากาศ และระบบอื่นๆ ทำงานได้โดยที่เครื่องยนต์หยุดการทำงาน
- โหมดวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนจนถึง 30 กม./ชม.
เมื่อออกตัวจากจุดหยุดนิ่งในช่วงความเร็ว 0-30 กม./ชม. รถจะขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วน (Pure EV) ให้ความรู้สึกนุ่มนวล และเงียบเหมือนรถไฟฟ้า พร้อมอัตราเร่งที่ตอบสนองได้ทันใจ
- โหมดความเร็วที่วิ่งในถนนที่มีการจราจรหนาแน่น
เมื่อความเร็วเพิ่มขึ้นเป็น 30-50 กม./ชม. ซึ่งเป็นช่วงความเร็วต่ำใช้งานในเมือง ระบบจะสลับไปยังโหมดระบบขับเคลื่อนแบบอนุกรม (Series Hybrid) โดยเครื่องยนต์จะทำหน้าที่แค่เพียงปั่นไฟ และส่งกระแสไฟไปให้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนตัวรถ ทำให้ได้ความรู้สึกนุ่มนวล ตอบสนองฉับไวแบบรถไฟฟ้า และรถมีความคล่องตัวมากขึ้น
- โหมดความเร็ววิ่งในเมือง
ในความเร็วไต่ระดับไปที่ 50-80 กม./ชม. ซึ่งมักจะเป็นช่วงสำหรับใช้งานเดินทางออกนอกเมือง ด้วยความเร็วปานกลาง โหมดระบบขับเคลื่อนแบบอนุกรม (Series Hybrid) จะยังให้แรงบิดสูงอย่างต่อเนื่อง เพราะเครื่องยนต์ยังทำหน้าที่เป็นตัวปั่นไฟช่วยให้มอเตอร์ขับเคลื่อนล้อโดยตรงได้แบบรถไฟฟ้า พร้อมส่งกระแสไฟส่วนเกินไปเก็บยังแบทเตอรีแรงเคลื่อนสูง
- โหมดความเร็ววิ่งคงที่
เมื่อวิ่งด้วยความเร็วคงที่ในช่วงความเร็ว 80 กม./ชม. ซึ่งเป็นช่วงการขับขี่ระยะไกล ระบบจะสลับเป็นการใช้งานเครื่องยนต์ที่รอบความเร็วต่ำโดยใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวเครื่อง ยนต์จะตัดต่อการทำงานผ่าน Hybrid Transmission มี 3 อัตราทดแบบอัตโนมัติ มาขับเคลื่อนที่ตัวล้อโดยตรง ทำให้ประหยัดน้ำมันได้มากกว่ารถแบบ Series Hybrid ทั่วไป ที่เครื่องยนต์ทำหน้าที่เพียงปั่นไฟอย่างเดียวตลอดเวลา
- โหมดวิ่งทางไกล และเร่งแซง
ในช่วงเร่งความเร็ว 80-120 กม./ชม. ซึ่งเป็นช่วงขับขี่ทางไกล หรือขึ้นทางลาดชัน เมื่อต้องการเร่งแซง เพียงแค่กดคันเร่งเบาๆ ทั้งเครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฮบริดกำลังสูงจะทำงานร่วมกัน (Parallel Hybrid) ให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสกับอัตราเร่งที่ตอบสนองได้ในทันทีเมื่อต้องการเร่งแซง หรือขึ้นทางชัน รถจะสามารถให้อัตราเร่งสูงสุด และตอบสนองการขับขี่ได้อย่างดี เหนือกว่ารถไฮบริดทั่วไป
- โหมดความเร็วสูง
และเมื่อใช้ความเร็วสูงกับการขับทางไกลบนไฮเวย์ที่ 120 กม./ชม. เครื่องยนต์จะทำงานอย่างต่อเนื่อง โดยขณะที่รถขับเคลื่อนไป ระบบจะแบ่งกำลังส่วนที่เหลือจากเครื่องยนต์ไปหมุนเจเนอเรเตอร์ เพื่อปั่นไฟไปเก็บไว้ในแบทเตอรี
- โหมดลดความเร็ว Regenerative
เมื่อผ่อนคันเร่งลดความเร็วลงมาในช่วง 120-0 กม./ชม. หรือช่วงขับขี่ลงทางชัน ระบบ Hybrid+ จะใช้มอเตอร์เป็นตัวหน่วงกำลัง ซึ่งจะทำหน้าที่ชาร์จไฟเป็นระบบ Energy Regeneration 3 ระดับ ซึ่งผู้ขับขี่สามารถตั้งค่าระดับการรีเจนได้แบบรถไฟฟ้า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้สูงสุด
สำหรับเส้นทางที่ทดลองขับ MG3 ใหม่ Hybrid+ ครั้งนี้ เชียงใหม่-กรุงเทพฯ ระยะทางรวมประมาณ 700 กม. ผ่านช่วงขึ้น/ลงเขา ทางโค้ง ทางตรง
ในช่วงแรกจากเชียงใหม่-ตาก ตัวเลขบนมาตรวัดแสดงให้เห็นถึงความประหยัด ระยะทาง 279 กม. อัตราสิ้นเปลือง 23.8 กม./ลิตร ความเร็วเฉลี่ย 80 กม./ชม.
บทสรุปของอัตราสิ้นเปลืองหลังจากการขับ MG3 Hybrid+ ออกจากเชียงใหม่มาถึงนวนคร ระยะทาง 650 กม. ถึงนวนคร ใช้น้ำมันไป 27 ลิตร ตัวเลขที่ได้ คือ 24.0 กม./ลิตร
แต่บนมาตรวัด คือ 21.7 กม./ลิตร ความเร็วเฉลี่ย 80 กม./ชม. ขณะที่ตัวเลขบน ECO Sticker 26.2 กม./ลิตร
รัศมีวงเลี้ยว 5.2 เมตร ระบบพวงมาลัยฟันเฟือง และตัวหนอน ควบคุมด้วยไฟฟ้า (EPS)
ระบบช่วงล่างหน้าแมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ระบบช่วงล่างหลังทอร์ชันบีม
จานเบรคหน้าพร้อมช่องระบายความร้อน และจานเบรคหลัง
ช่วงล่างหนึบ ทรงตัวดี ในขณะเข้าโค้ง และเปลี่ยนช่องทางกะทันหัน รวมทั้งมีระยะเบรคสั้น เบรคดีแบบรถยุโรป
MG3 Hybrid+ มาพร้อมโครงสร้างตัวถังนิรภัยแบบ FSF (Full Space Frame) เพียบพร้อมด้วยระบบความปลอดภัยมาตรฐาน Advanced Synchronized Protection System ซึ่งรวมระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ ADAS (Advanced Driver Assistance System) หรือระบบอำนวยความสะดวกช่วยควบคุมการขับขี่ และลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ จำนวน 8 ระบบ พร้อมระบบเบรคอัจฉริ ยะ (Intelligent Brake System) ระบบเบรคมือไฟฟ้า EPB (Electronic Parking Brake) ระบบป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรคค้าง AVH (Auto Vehicle Hold) ระบบป้องกันล้อลอค ABS (Anti-Lock Braking System) พร้อมระบบกระจายแรงเบรค EBD (Electronic Brake Force Distribution) ระบบเสริมแรงเบรคด้วยอีเลคทรอนิค EBA (Electronic Brake Assist)
ระบบควบคุมการเบรคในขณะเข้าโค้งด้วยความเร็ว XDS (Electronic Differential System) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System) ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System) ระบบสัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรคฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal)
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control) ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist)
ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนพร้อมปรับองศาพวงมาลัยหากออกนอกเลน ELK (Emergency Lane Keeping System) โดยผสานรวมระบบช่วยควบคุมรถเมื่อรถออกนอกเลน LDP (Lane Depar ture Prevention) ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane Keep Assist) และระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning) เข้าไว้ด้วยกัน
ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning) ระบบช่วยเบรคฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB (Autonomous Emergency Braking) ระบบตรวจจับพฤติ กรรมการขับขี่ UDW (Unsteady Driving Warning) ระบบควบคุมความเร็วรถอัตโนมัติ ICA (Intelligent Cruise Assist) ระบบเปิด/ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-Beam Control)
ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System)
ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย
กล้องรอบคัน 360 องศา แบบ High Definition
จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ Isofix ระบบลอคประตูอัตโนมัติ (Speed Sensing Door Lock) สัญญาณเตือนระยะถอยหลัง ระบบกุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer ระบบไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่อง (Follow Me Home)
MG3 Hybrid+ เป็นรถไฮบริดในกลุ่ม B-Segment ประหยัดกว่า Eco Car กำลังรวม 194 แรงม้า แรงกว่าคู่แข่ง และให้ระบบความปลอดภัยมากกว่าคู่แข่ง