บทความ
Lamborghini Temerario กระทิงดุสายพันธุ์ไฮบริด สานต่อตำนานขายดีที่สุด
เผยโฉมคันจริงครั้งแรกในโลกเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาที่ Monterey Car Week 2024 Lamborghini (ลัมโบร์กินี) นำรถไฮไลท์คันใหม่พร้อมประกาศเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านยุคสมัยจากเครื่องยนต์ V10 ไม่มีระบบอัดอากาศ มาเป็นเครื่องยนต์ไฮบริด V8 เทอร์โบคู่ และมอเตอร์ไฟฟ้าที่พร้อมมาเขย่าวงการรถยนต์สมรรถนะสูงให้ตื่นเต้น เร้าใจยิ่งขึ้น พร้อมทำยอดขายถล่มทลายตลอดกาลอีกครั้ง
ใหม่หมดยกคันกับเส้นสาย Hexagonal
Lamborghini บแรนด์ผู้ผลิตรถซูเปอร์คาร์จากอิตาลีที่ผลิตรถสปอร์ตและได้รับความนิยมมากที่สุดได้ประกาศเปิดตัวรถรุ่นใหม่ในชื่อ Lamborghini Temerario (ลัมโบร์กินี เตเมรารีโอ) ถือเป็นรถยนต์รุ่นที่ 2 ในไลน์อัพ Super Sport Lamborghini ที่เรียกว่า HPEV หรือ High Performance Electrified Vehicle หรือรถที่ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบพลัก-อิน ไฮบริด (Plug-in Hybrid) ต่อจากรุ่นพี่ใหญ่อย่าง Lamborghini Revuelto (ลัมโบร์กินี เรบูเอลโต)
โดยในชื่อ Temerario ใหม่ล่าสุดนี้ มาจากชื่อของวัวกระทิงนักสู้ของประเทศสเปน ซึ่งเป็นธรรมเนียมในการตั้งชื่อรุ่นรถของ Lamborghini มาอย่างยาวนาน การออกแบบของ Lamborghini Temerario รุ่นใหม่คันนี้ หัวหน้าฝ่ายออกแบบของ Lamborghini ผู้ออกแบบรถระดับตำนานอย่าง Mitja Borkert ที่ได้แรงบันดาลใจ และเส้นสายของรถแข่งระดับไฮเพอร์คาร์อย่าง Lamborghini Essenza SCV12 (ลัมโบร์กินี เอสเซนซา เอสซีวี 12) ซึ่งเป็นรถ Track Focus วาดลวดลายเน้นการดีไซจ์นจาก Hexagonal คือ รูปลักษณ์หกเหลี่ยมสื่อถึงความสมมาตรมีมิติ และสมบูรณ์แบบ เป็นเหมือน Design Language ในยุคใหม่ของ Lamborghini ทุกคันในอนาคตจากนี้
การออกแบบของ Temerario มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเน้นความคล่องตัว และหลักอากาศพลศาสตร์ โดยไฮไลท์สำคัญอยู่ที่ท่อไอเสียตรงกลางตัวรถแบบ Hexagon Exhaust อยู่ในตำแหน่งที่สูง ทำให้ได้อารมณ์เหมือน Sport Motorcycle มาพร้อมล้อด้านหน้า ขนาด 255/35 ZR 20 นิ้ว และล้อบริเวณด้านหลังขนาด 325/30 ZR 21 นิ้ว บริเวณซุ้มล้อด้านหลังเปิดกว้างเพื่อให้เหมือนกับรถมอเตอร์ไซค์แข่งขันระดับโลกอย่าง MotoGP เพิ่มความสง่า และสปอร์ทมากขึ้น รวมถึงมีการออกแบบช่องรับอากาศด้านหน้า และด้านข้างของ Temerario ที่มีรูปทรงเฉียบคม ไฟหน้าแบบ LED วางขนานกับส่วนหน้าตัวรถพร้อมช่อง S-Duct ระบายอากาศ พร้อมไฟ Daytime Running Light ทั้งด้านหน้า และด้านท้าย แบบหกเหลี่ยม อันเป็น Signature
Temerario ใช้โครงสร้างแบบสเปศเฟรมอลูมิเนียมออกแบบใหม่ โดยเน้นพื้นที่เหนือศีรษะมากขึ้น มิติห้องโดยสารกว้างขึ้น เมื่อเทียบกับรถรุ่นเก่า แม้ผู้ขับขี่ที่มีรูปร่างสูงก็สามารถสวมหมวกกันนอคในการแข่งขันบนสนามแข่งได้ ส่วนน้ำหนักอยู่ที่ 1,690 กก. ซึ่งมากกว่า Huracan EVO (อูรากัน เอโว) ถึง 268 กก. แต่ทาง Lamborghini ให้เหตุผลว่าระบบไฟฟ้าของมันมีน้ำหนักถึง 73 กก. ซึ่งทำให้ตัวรถมีน้ำหนักจากการรองรับระบบไฮบริด
ในช่วงการเปิดตัว Lamborghini Huracan (ลัมโบร์กินี อูรากัน) ครั้งแรกในปี 2013 ยังคงมีเส้นสายการออกแบบโดยยึดตามรูปแบบที่ Lamborghini Gallardo (ลัมโบร์กินี กัลญาร์โด) รุ่นก่อนหน้าวางไว้ จากนั้นพัฒนาให้มีความดิบ และเส้นสายดุดันมากขึ้นจนสิ้นสุดอายุตลาด แต่ปัจจุบัน โลกของรถยนต์มีการเปลี่ยนแปลงไปจนไม่สามารถจดจำได้ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทั้งแง่เทคโนโลยี และการคิดค้นนวัตกรรม ดังนั้น Temerario จึงมีรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนใหม่หมด แตกต่างจากเดิมเป็นอย่างมาก แม้ว่าหลายคนอาจจะไม่ได้มองแตกต่างไปจากเดิมก็ตาม
ส่วนของภายใน Temerario ยังคงมีรูปลักษณ์การออกแบบที่คล้ายกับรุ่นพี่อย่าง Revuelto โดยใช้แนวคิด “Feel Like a Pilot” มาพร้อมระบบ Human Machine Interface (HMI) โดยมีแผงหน้าปัดดิจิทอล ขนาด 12.3 นิ้ว พร้อมมาตรวัดข้อมูลที่กำหนดค่าได้ หน้าจอสัมผัสแนวตั้ง ขนาด 8.4 นิ้ว รองรับระบบ Apple CarPlay และ Android Auto และยังมี Passenger Display ขนาด 9.1 นิ้ว เป็นออพชันที่ต้องเสียเงินเพิ่ม
ปุ่มสตาร์ทบนคอนโซลที่ซ่อนอยู่ใต้ฝาครอบสไตล์ Fighter Jet สีแดงโดดเด่น พวงมาลัยแบบใหม่ออกแบบแนวรถแข่ง Squadra Corse พร้อมปุ่มตัวเลือกโหมดการขับขี่หลากหลายการใช้งาน และปุ่ม EV ผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้ 4 โหมด ได้แก่ Citta, Strada, Sport Corsa และ Corsa Plus โดยโหมดสุดท้ายจะปิดการทำงานของ ESP
นอกจากนี้ ยังมีโหมด Drift ที่มีการตั้งค่า 3 แบบ ทำงานร่วมกับระบบ LDVI 2.0 (Lamborghini Integrated Vehicle Dynamics) เป็นระบบที่ช่วยเหลือผู้ขับขี่เพื่อปรับปรุงการยึดเกาะ ควบคุมแรงฉุดขั้นสูงให้เหมาะกับความเชี่ยวชาญในระดับต่างๆ นอกจากนี้ หากลูกค้าต้องการที่จะเก็บบันทึกวีดีโอในการขับขี่ ยังสามารถบันทึกสถานะ และบันทึกภาพได้ โดยใช้ Lamborghini Vision Unit ที่มีกล้องบันทึกภาพ 3 ตัว ซึ่งจะบันทึกภาพถนน ผู้โดยสาร และมุมมองจากด้านหลัง เพิ่มได้ด้วย
นอกจากนี้ ระบบหน้าจอสัมผัสของ Temerario ยังมีฟีเจอร์การบันทึกข้อมูลระยะไกลสำหรับการนำรถลงสนามแข่ง 150 แห่งทั่วโลก และยังสามารถใช้ฟังค์ชันเชื่อมต่อตัวรถผ่านมือถือ สามารถเชคสภาพตัวรถ ระยะการเข้ารับการบริการ รวมทั้งข้อมูลผู้ขับขี่ พร้อมการอ่านอัตราการเต้นของหัวใจของผู้ขับขี่ได้ หากผู้ขับมี Apple Watch สวม และเชื่อมต่อรถกับแอพลิเคชัน Lamborghini Unica App
ครั้งแรกกับเครื่องยนต์ V8 4.0 ลิตร เทอร์โบคู่ไฮบริด
ความมุ่งมั่นสำคัญของ Stephan Winkelmann นายใหญ่ของ Automobili Lamborghini ที่มุ่งมั่นว่า Lamborghini จะต้องลดการปล่อยมลพิษพร้อมกับเพิ่มกำลังเครื่องยนต์ และใช้ไฟฟ้ากับทุกรุ่น ทำให้บริษัทต้องตัดสินใจยกเลิกการใช้เครื่องยนต์ V10 ขนาด 5.2 ลิตรของ Huracan เดิม และหันมาใช้เครื่องยนต์ V8 รหัส L411 ให้กำลัง 789 แรงม้า (800 PS) เทอร์โบชาร์จคู่ ที่ปรับแต่งใหม่ พร้อมด้วยระบบมอเตอร์ไฟฟ้า 110 กิโลวัตต์/148 แรงม้า (150 PS) จำนวน 3 ตัวแทน สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา 2.7 วินาที และความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 343 กม./ชม. ระยะเบรคจาก 100-0 กม./ชม. เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 31.9 เป็น 32 ม. มาพร้อมเบรค CCB Plus (Carbon Ceramic Brakes Plus) จับคู่กับคาลิเพอร์แบบ Fixed Monoblock 10 พอท
ผลลัพธ์ที่ได้ คือ เครื่องยนต์ที่มีเสถียรภาพมากขึ้น มีกำลัง และแรงบิดมากขึ้น ซึ่งทาง Lamborghini พัฒนาได้โดดเด่นกว่าด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าจากระบบไฮบริดที่สามารถสร้างพละกำลังสูงสุด 920 แรงม้า (PS) ที่ 9,000-9,750 รตน. และโหมด Corsa สามารถพุ่งไปถึงรอบสูงสุด 10,000 รตน. และแรงบิดสูงสุด 730 นิวทันเมตร ที่ 4,000-7,000 รตน. ส่งกำลังลงสู่ล้อด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ AWD ผ่านเกียร์อัตโนมัติ AMT Dual Clutch 8 จังหวะ
ในความพิเศษของเครื่องยนต์ Temerario คันนี้จะใช้เพลาข้อเหวี่ยงแบบ Flat-Plane สไตล์ซูเพอร์คาร์ยุคใหม่ รถทั่วไปจะมีอัตราส่วนกระบอกสูบต่อช่วงชักที่ 86x86 มม. ที่มีขนาดกระบอกสูบเท่ากันอย่างสมบูรณ์แบบ แต่เครื่องยนต์ V8 รหัส L411 ใหม่นี้มีกระบอกสูบขนาด 90 มม. และช่วงชัก 78.5 มม. (3.54x3.09 นิ้ว) ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้เครื่องยนต์ V8 ไฮบริดคันนี้สามารถลากรอบได้สูงถึง 10,000 รตน. โดยไร้อาการเทอร์โบแลก ซึ่งทำให้มีพละกำลังเกือบ 920 แรงม้า มากกว่ารุ่น V10 ที่มีเครื่องยนต์วางกลางธรรมดาของเดิมเกือบ 45 % ถือเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับรถของ Lamborghini
มอเตอร์ 2 ตัวอยู่ด้านหน้า เพื่อให้ Temerario เป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และทำหน้าที่ควบคุมแรงบิดได้ดียิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็เปลี่ยนให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อหน้าในโหมด Citta (ขับในเมือง) มอเตอร์ตัวที่ 3 ซึ่งติดตั้งระหว่างเครื่องยนต์ V8 และเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะลูกใหม่ ทำหน้าที่เป็นแหล่งกำเนิดไฟฟ้าแรงบิดสูงสุด 221 ปอนด์-ฟุต (300 นิวทันเมตร) สามารถเพิ่มสมรรถนะ และความกระฉับกระเฉงในการขับขี่ให้ไร้รอยต่อของเทอร์โบได้
ส่วนโหมดไฟฟ้าล้วน หรือ EV Mode ของ Temerario มีแบทเตอรี Lithium-ion ขนาดความจุเพียง 3.8 กิโลวัตต์ชั่วโมง รองรับการอัดประจุด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ AC สูงสุด 7 กิโลวัตต์ ตัวรถสามารถวิ่งไฟฟ้าล้วนได้เพียง 11-16 กม. ก่อนที่เครื่องยนต์จะเข้ามาช่วย การชาร์จไฟจาก 0-100 % ใช้เวลา 30 นาที ทั้งจาก Wall Charge ของ Lamborghini และ Wall Charge ที่รองรับ
ความพิเศษในโหมด EV คือ รถจะเป็นโหมดแบบขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว โดยมอเตอร์ 1 ตัวจะติดตั้งที่ล้อหน้าแต่ละล้อ และอีกตัวจะอยู่ระหว่างเครื่องยนต์ และระบบส่งกำลังแบบคลัทช์คู่ 8 จังหวะ มอเตอร์ที่ด้านหลังจะเชื่อมต่อโดยตรงกับเพลาข้อเหวี่ยง ซึ่งหมายความว่ามอเตอร์จะหมุนตลอดเวลาที่ความเร็วรอบเครื่องยนต์ ไม่มีคลัทช์ระหว่างเครื่องยนต์ และมอเตอร์อีกด้วย
สามารถออกแบบตามสไตล์ เปิดจองคิวยาวถึง 2026
แน่นอนว่า Lamborghini เป็นรถที่สามารถสร้างขึ้นเพื่อความเป็นเอกลักษณ์ ดังนั้น Temerario รุ่นใหม่มีแผนกสำหรับการปรับแต่งรถโดยเฉพาะอย่าง Ad Personum Program ในการเลือกชิ้นส่วนตกแต่ง ลายล้อ คาลิเพอร์เบรค และส่วนประกอบน้ำหนักเบาต่างๆ คาร์บอนไฟเบอร์มีให้เลือกอีกมากมายทั้งภายนอก และภายใน รวมไปถึงระบบเทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่ ADAS ฯลฯ ทุกอย่างสามารถเลือกสรรตามความต้องการของลูกค้าสูงสุด
และสำหรับลูกค้าที่อยากสัมผัสถึงเวอร์ชันฮาร์ดคอร์น้ำหนักเบาในการขับขี่มากขึ้น Lamborghini ยังเสนอแพคเกจ Alleggerita รุ่นชุดแต่งน้ำหนักเบาให้แก่ลูกค้า Temerario ได้เลือกเป็นครั้งแรกอีกด้วย แพคเกจนี้ประกอบด้วยแผงด้านหลังคอมโพสิท CFRP แผงประตูคาร์บอนกระจกข้างโพลีคาร์บอเนท แผ่นรองพื้นใต้ท้องรถ และชุดแต่งรอบคัน ดิฟฟิวเซอร์คาร์บอน ล้อคาร์บอน ท่อไอเสียไททาเนียม ชุด Alleggerita ช่วยประหยัดน้ำหนักได้มากกว่า 25 กก. ช่วยเพิ่มแรงกดด้านหลังให้ดีขึ้น 103 % เมื่อเทียบกับ Huracan EVO
Lamborghini ยังไม่ได้เปิดเผยราคาอย่างเป็นทางการของ Temerario โดยคาดการณ์ราคาจะสูงขึ้นอยู่ที่ 250,000-300,000 ยูโร หรือประมาณ 9.5 ล้านบาท (ไม่รวมภาษีนำเข้า) ซึ่งจะใกล้เคียงกับ Supercar Hybrid รุ่นอื่นๆ ในตลาดอย่าง Ferrari 296 GTB (แฟร์รารี 296 จีทีบี), McLaren Artura (แมคลาเรน อาร์ทูรา) ฯลฯ
สำหรับลูกค้าผู้ที่สนใจเจ้ากระทิงดุตัวใหม่ล่าสุด สามารถจับจองได้แล้วตอนนี้ ช่วงเดือนสิงหาคม 2024 และรถจะส่งมอบภายในปี 2026 ผ่านตัวแทนจำหน่าย Lamborghini แต่ละประเทศ สำหรับประเทศไทย Renazzo Motor เป็นผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ Lamborghini อย่างเป็นทางการรายเดียวในประเทศไทย คาดว่าจะนำรถมาเผยโฉมตามหลังตลาดโลกไม่เกินเดือนตุลาคมนี้อย่างแน่นอน เศรษฐีไทยอดใจรออีกอึดใจเท่านั้น ไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน