ธุรกิจ
Lamborghini เปิดตัว “Temerario”
Sant’Agata Bolognese-Lamborghini (ลัมโบร์กินี) เปิดตัว “Temerario (เทอเมอรารีโอ)” ซูเพอร์สปอร์ทคาร์ใหม่ล่าสุดที่มาพร้อมกับระบบส่งกำลังไฮบริด V8 ทวินเทอร์โบ พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ทั้งในด้านสมรรถนะ ประสบการณ์การขับขี่ที่รื่นรมย์ และความสะดวกสบายอย่างเหนือชั้น โดย Temerario นับเป็นรถยนต์รุ่นที่ 2 ในกลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง (HPEV) ของ Lamborghini หลังจากเปิดตัว Revuelto (เรบูเอลโต) ที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว และเติมเต็มกลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฮบริดให้สมบูรณ์แบบหลังการเปิดตัว Urus SE (อูรัส เอสอี) เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา
Temerario ปรากฏตัวขึ้นในฐานะดาวเด่นของมหกรรม Monterey Car Week 2024 โดยสร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่วงการซูเพอร์สปอร์ทคาร์ที่เหนือกว่าด้วยสุดยอดสมรรถนะ ระบบส่งกำลังไฮบริดรูปแบบใหม่ซึ่งเกิดจากการผสานเครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบที่พัฒนาใหม่ในทุกรายละเอียดเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว มอบกำลังเครื่องยนต์รวมถึง 920 CV โดยเครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบได้รับการออกแบบ และพัฒนาใหม่ทั้งหมดโดยโรงงาน Sant‘Agata Bolognese และยังเป็นเครื่องยนต์ซูเพอร์สปอร์ทคาร์รุ่นแรก และรุ่นเดียวในการผลิตที่สามารถทำความเร็วรอบได้สูงถึง 10,000 รตน. มอบประสิทธิภาพที่สั่นสะเทือนวงการอย่างแท้จริงโดยมีความเร็วสูงสุดมากกว่า 340 กม./ชม. (เร็วกว่า 210 ไมล์/ชม.) สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. (0-62 ไมล์/ชม.) ได้ในเวลาเพียง 2.7 วินา ที
สเตฟาน วิงเคิลมันน์ ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Lamborghini กล่าวว่าการพัฒนา Lamborghini รุ่นใหม่ทุกครั้งจะต้องมีประสิทธิภาพเหนือกว่ารุ่นก่อน ขณะเดียวกันก็ต้องมีความยั่งยืนมากขึ้นตามจุดยืนด้านการปล่อยมลพิษของเรา สำหรับ Temerario เราได้บรรลุภารกิจสำคัญในกลยุทธ์การใช้พลังงานไฟฟ้าตามแผน Direzione Cor Tauri โดย Lamborghini คือ แบรนด์รถ ยนต์ระดับหรูแบรนด์แรกที่นำเสนอกลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฮบริดทั้งหมดโดยสมบูรณ์
รถยนต์ Temerario ถือเป็นความสำเร็จอีกขั้นของ Lamborghini ในแง่ของการพัฒนาประสิทธิภาพตามหลักอากาศพลศาสตร์ ผสานกับรายละเอียด และเส้นสายอย่างมีสไตล์ ซึ่งแสดงถึงความเป็นเลิศด้านการออกแบบของแบรนด์ โครงสร้างใหม่ทั้งหมดผลิตจากโครงอลูมิเนียมโดยการใช้โลหะผสมที่ล้ำสมัย ซึ่งให้ความแข็งแรงสูง และน้ำหนักเบาเป็นพิเศษ จึงสามารถเพิ่มความทนทานต่อแรงบิดสูง และยังช่วยเสริมพลศาสตร์การขับขี่ได้อย่างดีเยี่ยม
โครงแชสซีส์มอบความสะดวกสบายชั้นเลิศแก่ผู้โดยสารด้วยความกว้างที่เพิ่มขึ้น โดย Temerario เป็นซูเพอร์สปอร์ทคาร์ที่เปี่ยมด้วยสมรรถนะขั้นสูงสุดในสนามแข่ง ในขณะเดียวกันก็มอบพื้นที่กว้างทั้งสำหรับผู้โดยสาร และช่องเก็บสัมภาระได้มากกว่ารถยนต์รุ่นอื่นๆ ในเซกเมนท์เดียวกัน
Temerario ยังมอบประสบการณ์ที่ล้ำสมัยที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ของ Lamborghini ด้วยการเปิดตัวระบบ Lamborghini Vision Unit ซึ่งช่วยให้ผู้โดยสารสามารถเข้าถึงฟังค์ชัน และแอพพลิเคชันใหม่ๆ ได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังทำให้ผู้ใช้สามารถย้อนดู และแบ่งปันประสบการณ์การขับขี่ที่ผ่านมา ทั้งในสนามแข่งขัน และบนถนนของตนให้แก่คนอื่นได้
ระบบส่งกำลังใหม่ล่าสุด
หัวใจสำคัญที่ Lamborghini ยึดมั่นมาโดยตลอด คือ ระบบขับเคลื่อน ซึ่งในรถยนต์รุ่นใหม่อย่าง Temerario ได้เปลี่ยนมาใช้แนวทางใหม่ทั้งหมดโดยผ่านการพัฒนากว่า 5 ปี เพื่อสร้างสรรค์ระบบส่งกำลังของซูเพอร์สปอร์ทคาร์ที่ไม่เคยมีมาก่อน จนได้ระบบส่งกำลังแบบใหม่ที่ประกอบด้วยคอนเซพท์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Engine) แบบเทอร์โบคู่ที่มีรอบการหมุนสูง ที่ผสานเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว “เราต้องการพัฒนาเครื่องยนต์สปอร์ต คาร์สมรรถนะสูงที่ไร้คู่แข่ง โดยรวมสิ่งที่ดีที่สุดทั้งสองระบบเข้าด้วยกัน นั่นคือ เครื่องยนต์สันดาปพร้อมเทอร์โบคู่ V8 และระบบพลังงานไฟฟ้า แนวคิดของเราในการผสานมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัวเข้ากับเครื่องยนต์สันดาปยังทำให้เรามั่นใจว่าจะสามารถสร้างอัตราการเร่ง และระบบชาร์จพลังงานกลับได้อย่างฉับไว การเปิดตัว Temerario จึงทำให้เรามอบนิยามใหม่ให้แก่สุดยอดรถยนต์ในเซกเมนท์นี้”
รูเวน โมห์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิค Lamborghini กล่าวว่า Temerario คือ ตัวจริงแห่งเซกเมนท์ทั้งในแง่โซลูชันทางวิศวกรรม และประสิทธิภาพการขับขี่
ระบบส่งกำลังรูปแบบใหม่ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของซูเพอร์สปอร์ทคาร์รุ่นที่ 2 ในกลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง (HPEV) ของ Lamborghini โดยเป้าหมายแรกคือการบรรลุถึงกำลังเครื่องยนต์ และแรงบิดจำเพาะในระดับสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ขณะดียวกันก็ต้องมีการตอบสนองในแบบฉบับเครื่องยนต์ไร้ระบบอัดอากาศรอบสูงแบบดั้งเดิม ดังนั้น ทีมวิศวกรจึงคัดสรรเฉพาะองค์ประกอบประสิทธิภาพสูงสำหรับระบบขับเคลื่อนรูปแบบใหม่ ซึ่งได้แก่เครื่องยนต์เทอร์โบคู่ V8 ขนาด 4.0 ลิตรแบบใหม่ที่มีกำลังเครื่องจำเพาะที่ 200 แรงม้า/ลิตร โดยทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบระบายความร้อนด้วยน้ำมันที่ผสานการทำงานได้อย่างสมบูรณ์กับตัวเครื่องยนต์ V8 พร้อมด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวที่เพลาหน้าที่ช่วยส่งกำลังขับเคลื่อน
“ด้วยการผสานเครื่องเทอร์โบคู่ V8 เข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว ทำให้เราสามารถใช้แนวทางที่แปลกใหม่ซึ่งยังไม่เคยปรากฏมาก่อนในการผลิตรถยนต์ซีรีส์นี้ แต่เรามั่นใจว่าผลลัพธ์ที่ได้จะต้องสร้างความประทับใจให้แก่แฟนๆ Lamborghini ทั่วโลกอย่างแน่นอน และด้วยโซลูชันการพัฒนาเครื่องยนต์ใหม่ ทำให้เราก้าวไปสู่แนวคิดใหม่ของซูเพอร์สปอร์ทคาร์อย่างแท้จริง คุณสมบัติการเพิ่มความ เร็วรอบอย่างต่อเนื่องไปสู่ระดับสูง ซึ่งเคยมีอยู่แต่ในเครื่องยนต์ไร้ระบบอัดอากาศ วันนี้ สามารถมอบแรงบิดสูงพร้อมความเร็วรอบเครื่องยนต์สูงด้วยระบบเทอร์โบชาร์เจอร์เป็นผลสำเร็จ"
เครื่องยนต์รุ่นใหม่ซึ่งใช้ชื่อเรียกภายในว่า “L411” ได้กลายเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ที่ทรงพลังที่สุดของรถยนต์ในเซกเมนท์นี้ โดยเครื่องเทอร์โบคู่ V8 มอบกำลังสูงสุด 800 แรงม้าที่ 9,000-9,750 รตน. และแรงบิด 730 นิวทันเมตรที่ 4,000-7,000 รตน. มอเตอร์ไฟฟ้าในตำแหน่ง P1 (ระหว่างเครื่องยนต์ V8 และกระปุกเกียร์) ยังช่วยการันตีการตอบสนองที่ฉับไวโดยเริ่มจากความเร็วรอบเครื่องยนต์ต่ำและดำเนินอย่างต่อเนื่องผ่านการเปลี่ยนเกียร์ โดยทำหน้าที่เป็น “ตัวทดแทนแรงบิด” และเพิ่มระดับการตอบสนองให้แบบชั่วคราว เพื่อให้ความรู้สึกของการเพิ่มความเร็วรอบเครื่องยนต์อย่างต่อเนื่องจนไปถึงจุดสูงสุดที่ 10,000 รอบ โดยประสิทธิภาพ และสมรรถนะจะไต่ระดับเพิ่มขึ้นเมื่อขับด้วยความเร็วสูงสุดผ่านการทำงานของเทอร์โบชาร์เจอร์ขนาดใหญ่ 2 ตัว ซึ่งติดตั้งอย่างแนบเนียนอยู่ในตำ แหน่ง V ของเครื่องยนต์ สมฉายาเครื่องแบบ “Hot V8” เพื่อยกประสิทธิภาพทั้งในการติดตั้ง และการระบายความร้อนเมื่อเครื่องเทอร์โบคู่ V8 ทำความเร็วรอบได้สูงสุดที่ 10,000 รตน. ด้วยแรงดัน บูสต์สูงสุดของเทอร์โบชาร์เจอร์คือ 2.5 บาร์ (ABS) และชุดกังหันจะถูกควบคุมด้วยเกจไฟฟ้า และเซนเซอร์วัดความเร็วล้อ Lamborghini ยังได้ออกแบบกล่องไส้กรองอากาศแบบตลับท่อ เพื่อให้มีขนาดเล็กกะทัดรัด เพื่อช่วยเพิ่มพื้นที่ และเสริมประสิทธิภาพได้มากกว่า
หัวใจ คือ เพลาข้อเหวี่ยงแบบ Flat-Plane ซึ่งทำมุม 180 องศาอยู่ระหว่างส่วนโค้งของเพลาข้อเหวี่ยง โดยเพลาข้อเหวี่ยงทั่วไปจะใช้ในเครื่องยนต์รถแข่ง จะช่วยควบคุมให้เกิดพฤติกรรมพลศาสตร์ของไหลที่เหมาะสมที่สุดผ่านการเรียงลำดับการจุดระเบิดภายในที่สม่ำเสมอเมื่อเปรียบเทียบกับเพลาข้อเหวี่ยงแบบ Cross-Plane ทั้งยังให้เสียงเครื่องยนต์ที่เร้าใจ และเปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ ก้านสูบไททาเนียมยังช่วยลดมวลการหมุน และมอบคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมทั้งในแง่ความแข็งแรง และความเบา จึงช่วยลดน้ำหนักได้อีกทาง ส่วนวัสดุหล่อเครื่องยนต์ประกอบด้วยอลูมิเนียมอัลลอย A357 ผสมทองแดง ซึ่งเป็นวัสดุเดียวกับที่ใช้ในแวดวงมอเตอร์สปอร์ท
คันโยกวาล์ว (Finger Followers) ที่แข็งแรงมากเป็นพิเศษซึ่งถูกเคลือบแบบ DLC (Diamond Like Carbon) สามารถทนต่อความเร็วรอบได้สูงสุดถึง 11,000 รตน. ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่เคยสงวนไว้สำหรับเครื่องยนต์รถแข่งในกีฬามอเตอร์สปอร์ทเท่านั้น ซึ่งนี่คือ จุดเริ่มต้นแห่งแรงบันดาลใจที่ทีมวิศวกรนำมาใช้เป็นแนวคิดโครงสร้างเครื่องยนต์ เพราะตามปกติในวงการมอเตอร์สปอร์ท ชิ้นส่วนเสริมส่วนใหญ่จะถูกติดตั้งอยู่ที่ด้านใดด้านหนึ่ง รวมถึงปั๊มน้ำ 2 ตัวสำหรับอินเตอร์คูเลอร์ และการระบายความร้อนเครื่องยนต์ เช่นเดียวกับวาล์วบาร์เรลที่ควบคุมด้วยระบบอิเลกทรอนิกส์เพื่อรักษาระ ดับคุมอุณหภูมิที่เหมาะสม
ระบบปั้มน้ำมัน และปั๊มน้ำซึ่งถูกจัดเรียงตามลำดับทางด้านขวาของเครื่องยนต์ จะถูกขับเคลื่อนการทำงานไปจนถึงอัตราส่วนที่กำหนด และทำความเร็วปั๊มได้สูงสุดที่ 7,800 รตน. ทีมวิศวกรได้รวมถังน้ำมันไว้ที่ด้านหนึ่งของเครื่องยนต์ซึ่งทำงานตามหลักการหล่อลื่นแบบ Dry Sump ด้วยปั๊มขับเกียร์ (Gear Scavenge Pumps) แบบ 5 ขั้นตอน ผลลัพธ์ที่ได้ คือ ชุดขับเคลื่อนนี้มีลักษณะแบนราบและทอดตัวในระดับต่ำของตัวรถ และช่วยลดจุดศูนย์ถ่วงของ Temerario ให้ต่ำลง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมรถให้ดียิ่งขึ้น ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำที่ถูกออกแบบใหม่ยังช่วยให้มั่นใจได้ถึงระดับอุณหภูมิที่สมดุล ส่วนการระบายความร้อนภายในฝาสูบก็ได้รับการปรับปรุงคุณภาพอย่างมาก โดยใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติในการทำแกนหล่อ ช่วยให้ห้องเผาไหม้เย็นลงอย่างสม่ำเสมอและป้องกันเครื่องนอคได้อย่างดีเยี่ยม การฉีดน้ำมันเบนซินเข้าโดยตรงจะทำให้น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นฝอยละเอียดเข้าสู่ห้องเผาไหม้ทั้ง 8 ห้องด้วยแรงดันสูงถึง 350 บาร์ จึงการันตีการเผาไหม้ที่สะอาดหมดจดและรวดเร็ว
คุณลักษณะของเครื่องยนต์ที่มีรอบการหมุนราบรื่น และเป็นธรรมชาติ พร้อมการส่งกำลังเครื่องยนต์เทอร์โบร่วมกับระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า ยังมอบความโดดเด่นทั้งในด้านการทำงาน และเสียงของเครื่องยนต์ ซึ่ง Lamborghini ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเครื่องยนต์เทอร์โบคู่ V8 แบบใหม่ที่ผสานขีดความสามารถในการสร้างรอบการหมุนเครื่องยนต์ไร้ระบบอัดอากาศรุ่นก่อนอย่าง V10 เข้ากับการสร้างกำลังเครื่องและแรงบิดที่มหาศาลของเครื่องเทอร์โบสมัยใหม่ และยิ่งเมื่อใช้ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว จึงทำให้ได้กำลังไฟฟ้าของระบบส่งกำลังอันโดดเด่นที่ 920 CV/676 กิโลวัตต์เลยทีเดียว
เสียงเครื่องยนต์สุดกระหึ่ม
Lamborghini ได้ทุ่มเท และพยายามทางเทคนิคเป็นอย่างมาก เพื่อการพัฒนาประสบการณ์เสียงที่โดดเด่นอย่างมีเอกลักษณ์จากระบบขับเคลื่อนใหม่ใน Temerario เพื่อให้นักขับมั่นใจได้ถึงประสบ การณ์เสียง และโสตสัมผัสอย่างเต็มเปี่ยมทุกอารมณ์ในแบบฉบับ Lamborghini อย่างแท้จริง
เสียงของเครื่องยนต์เทอร์โบคู่ V8 แบบใหม่ที่จะเปิดตัวในอนาคต จะมาพร้อมกับประสบการณ์การขับขี่ที่น่าตื่นเต้น และเร้าใจมากที่สุดเป็นประวัติการณ์
“เมื่อเครื่องเทอร์โบคู่ V8 เร่งความเร็ว เสียงก็จะยิ่งเพิ่มความกว้าง และความถี่มากขึ้น และเพลาข้อเหวี่ยงแบบ Flat-Plane ก็จะสร้างแรงสั่นสะเทือนเล็กๆ ที่ช่วยขับเน้นพลังของการขับเคลื่อน ซึ่งจะแปรผันไปตามความเร็วของเครื่องยนต์ สำหรับผู้โดยสาร การเดินทางใน Temerario จะกลายเป็นประสบการณ์อันน่าเพลิดเพลินต่อทุกประสาทสัมผัส ในขณะที่ผู้ขับขี่จะถูกปลุกเร้าด้วยเสียงกระหึ่มอันทรงพลังในสไตล์ Lamborghini และสัมผัสถึงพลังอันเต็มเปี่ยมนี้ได้จากเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกาย” รูเวน โมห์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิค Lamborghini กล่าว
การสร้างสรรค์คุณภาพของเสียงสุดพิเศษนี้จำเป็นต้องอาศัยความซับซ้อนทางเทคนิคอย่างมหาศาล และเพื่อให้แน่ใจว่าเมื่อเร่งความเร็วสูงสุดที่ 10,000 รตน. เครื่องยนต์จะให้เสียงกระหึ่มแบบสปอร์ทคาร์อย่างเต็มอารมณ์ Lamborghini จึงได้ผสานวิธีการทางเทคนิคต่างๆ และยังเสริมคุณภาพด้วยเอฟเฟคท์เสียงความถี่สูงขั้นสุด
การเชื่อมต่อแบบพิเศษระหว่างแถวเครื่องยนต์จะช่วยเพิ่มเอฟเฟคท์เสียงของชุดส่งกำลังที่แปรผันตามความเร็ว ระบบเก็บเสียง และวาล์วไอเสียของเครื่องเทอร์โบคู่ V8 ยังทำงานในช่วงรอบต่ำ เพื่อปรับปรุงเรื่องเสียงรบกวนให้น้อยที่สุด โดยเมื่อเปลี่ยนโหมดการขับขี่ ก็จะสัมผัสได้ถึงการปรับจูนเสียงในรูปแบบที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
ระบบไอเสียที่ทอดตัวจากท่อรวมไปยังท่อไอเสียจะช่วยขับเน้นเสียงของกระบวนการเผาไหม้ในเครื่องยนต์ โดย Lamborghini สร้างคุณภาพเสียงที่ชัดใสและสะอาดด้วยการเดินแนวท่ออย่างไหลลื่น การกำหนดระดับความสูง และตำแหน่งของปลายท่อไอเสียอย่างพิถีพิถันยิ่งขับเน้นเสียงความถี่สูงอันเฉียบคมของเครื่องยนต์อีกด้วย ซึ่งช่วยแสดงถึงกำลังของเครื่องยนต์อันน่าเกรงขามอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ Lamborghini ยังได้ออกแบบแท่นเครื่องยนต์ และตัวถังในลักษณะที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถสัมผัสได้ถึงระบบขับเคลื่อนแบบเพลาข้อเหวี่ยงแบบ Flat-Plane เมื่อเครื่องยนต์ทำความเร็วรอบสูง หรือเมื่อเครื่องยนต์กำลังทำงานอย่างเต็มกำลัง โดยการใช้เพลาข้อเหวี่ยงแบบ Flat-Plane ซึ่งหมุดข้อเหวี่ยงทำมุม 180° ยังทำให้เครื่องเทอร์โบคู่ V8 เกิดการสั่นสะเทือนเล็กๆ อยู่ตลอดเวลา
Lamborghini ยังทำให้การสั่นสะเทือนเหล่านี้มีความเด่นชัดมากขึ้นเมื่อเครื่องยนต์ทำความเร็วรอบสูง ซึ่งจะช่วยเพิ่มความรื่นรมย์จากประสบการณ์แห่งความเร็ว และกำลังรอบสูงได้มากยิ่งขึ้น ทีมวิศว กรด้านเสียงยังทำให้เสียงเครื่องยนต์แนวสปอร์ทคาร์อันน่าพึงพอใจถูกส่งเข้าไปถึงภายในห้องโดยสาร และในขณะเดียวกันก็เน้นย้ำระดับความถี่เสียงที่น่าเร้าใจด้วยการใช้ชิ้นส่วน และแผงตัวถังน้ำหนักเบา ซึ่งนอกจากเสียงเครื่องยนต์ที่กำลังโลดแล่นอย่างเร้าใจ ก็ยังสัมผัสการสั่นสะเทือนเล็กๆ ที่ส่งผ่านโครงรถได้จากทุกโสตประสาทอย่างชัดเจน เมื่อความเร็วของเครื่องยนต์สูงขึ้น การสั่นสะ เทือนของเบาะนั่งก็จะยิ่งมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อความเร็วรอบเครื่องยนต์แตะ 10,000 รตน. ซึ่งเป็นช่วงความเร็วที่ก่อนหน้านี้จะสัมผัสได้ในแวดวงมอเตอร์สปอร์ทเท่านั้น
นอกจากนี้ ระบบเสียง Symposer ที่ติดตั้งเพิ่มเติมจะปล่อยคลื่นเสียงเข้าสู่ภายในรถ เพื่อสร้างประสบการณ์เสียงอันดื่มด่ำในทุกโหมดการขับขี่
Lamborghini ได้ออกแบบทัศนียภาพของเสียงที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในแต่ละโหมดการขับขี่ทั้งในโหมด Citta, Strada, Sport และ Corsa โดยโหมด Citta จะให้เสียงที่ฟังสบายๆ ระดับพรี เมียมด้วยโทนเสียงพิเศษจากชุดขับเคลื่อนไฟฟ้า ซึ่งจะให้ประสบการณ์เสียงที่นุ่มนวล ลื่นไหล และน่าพึงพอใจในสภาพแวดล้อมแบบตัวเมือง ซึ่ง Temerario จะไม่มีการปล่อยมลพิษ และทำงานเงียบมากในโหมด Citta
โหมด Strada ที่เหมาะสำหรับการวิ่งบนถนนในชนบท และเส้นมอเตอร์เวย์ที่รวดเร็ว ผู้โดยสารจะได้เพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การขับขี่ของเครื่องเทอร์โบคู่ V8 พร้อมการกระจายความถี่เสียงที่สม่ำเสมอโดยปราศจากเสียงลั่น หรือเสียงแหลมสูงที่บาดหู เพื่อมอบความสุขในการขับขี่แนวสปอร์ทที่เปี่ยมด้วยความสุขุมในแบบผู้ใหญ่ ส่วนโหมด Sport และ Corsa Lamborghini ได้ขยายเสียงโอเวอร์โทนระดับ 2 และ 4 ของเครื่องยนต์ V8 แบบ 4 จังหวะ ผสานกับเสียงประสานของช่องลมเข้าเพื่อมอบประสบการณ์เสียงที่ทรงพลัง และดังเร้าใจ เมื่อความเร็วรอบสูงสุดแตะ 10,000 รตน. เครื่องยนต์จะไม่เพียงมอบกำลังอันน่าเหลือเชื่อถึง 920 CV เท่านั้น แต่ยังให้เสียงที่ดังกระหึ่มอย่างที่ไม่มีใครสามารถลอกเลียนแบบได้ และนี่จะเป็นเสียงเครื่องยนต์รูปแบบใหม่ของรถยนต์ Lamborghini ในเจเนอเรชันต่อไป
เสริมสมรรถนะด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว
ระบบขับเคลื่อนรูปแบบใหม่ประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว แต่ละตัวให้กำลังไฟ 110 กิโลวัตต์ และถือเป็นส่วนสำคัญของระบบส่งกำลังใน Temerario โดยมอเตอร์ไฟฟ้าระบายความร้อนด้วยน้ำมันติดตั้งตามแนวแกน 2 ตัวซึ่งมีกำลังสูงสุดรวม 220 กิโลวัตต์ และแรงบิดสูงสุด 2,150 นิวทันเมตร (กำลังเครื่องต่อเนื่องที่ 60 กิโลวัตต์) จะทำหน้าที่ขับเคลื่อนเพลาหน้าเมื่อต้องใช้การขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งเพลาหน้าไฟฟ้ามีน้ำหนักเพียง 73 กก. และมอเตอร์ไฟฟ้าแต่ละตัวมีน้ำหนักเพียง 15.5 กก.
ความท้าทายหลัก คือ การออกแบบระบบส่งกำลังให้มีขนาดเล็กกะทัดรัดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ ทีมวิศวกรได้ผสานมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ากับตัวเครื่องเทอร์โบคู่ V8 โดยตรง โดยไม่ต้องใช้คลัตช์ตัวกลาง วิธีการนี้ช่วยอุดช่องว่างด้านความหน่วงของเทอร์โบได้ โดยในทุกระดับความเร็วก็ยังสามารถสร้างแรงบิดได้ถึง 300 นิวทันเมตร ชุดขับเคลื่อนไฟฟ้าทั้งหมดนี้ถูกติดตั้งอยู่ในพื้นที่เล็กๆ ระหว่างเครื่องยนต์สันดาป และระบบส่งกำลังคลัทช์คู่ โดยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวนี้ยังทำหน้าที่เป็นมอเตอร์สตาร์ท และเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแบบ 3 เฟสอีกด้วย
นอกจากนี้ มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวที่เพลาหน้านี้ยังช่วยเพิ่มกำลังเครื่อง และสามารถเปลี่ยนรถยนต์ Temerario ให้เป็นซูเพอร์สปอร์ทคาร์ระบบไฟฟ้าเต็มรูปแบบ แนวทางนี้ทำให้ Lamborghini สามารถลดการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 50 % เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Huracan (อูรากัน)
แบทเตอรี
Temerario ติดตั้งชุดแบทเตอรีลิเธียม-ไอออนกำลังสูงแบบเฉพาะ (4500 วัตต์/กก.) อยู่ภายในช่องกลางตัวรถ ทำให้ได้จุดศูนย์ถ่วงต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และการันตีการกระจายน้ำหนักที่เหมาะสมที่สุด แบทเตอรียังได้รับการปกป้องด้วยชั้นโครงสร้างด้านล่า งและเชื่อมต่อกับทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหน้า มอเตอร์ไฟฟ้าด้านหลัง และอุปกรณ์ชาร์จไฟในตัวรถ
ชุดแบทเตอรีมีความยาว 1,550 มม. สูง 301 มม. และกว้าง 240 มม. ประกอบด้วยเซลล์แบบกระเป๋า (Pouch Cells) ที่มีความจุรวม 3.8 กิโลวัตต์ชั่วโมง เมื่อประจุไฟลดลงเหลือศูนย์ ก็สามารถชาร์จไฟใหม่ได้ด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ และคอลัมน์ชาร์จไฟในบ้านทั่วไปซึ่งมีกำลังไฟสูงสุด 7 กิโลวัตต์ และชาร์จใหม่จนเต็มได้ภายในเวลาเพียง 30 นาที นอกจากนี้ ยังสามารถชาร์จไฟเข้าแบทเตอรีได้จากแรงเบรครูปแบบใหม่ที่มาจากล้อหน้าหรือจากเครื่องยนต์ V8 โดยตรง
ชุดขับเคลื่อนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (E-Axle) ทำให้ Temerario สามารถผสานระบบ Lamborghini Dinamica Veicolo (LDV) 2.0 เข้าด้วยกันได้ ซึ่งเวคเตอร์แรงบิดไฟฟ้าจะช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการเข้าโค้งที่แคบ หรือเพิ่มความเสถียรในการเข้าโค้งเมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูงโดยกระจายแรงบิดไปยังแต่ละล้ออย่างเหมาะสม ซึ่งนับเป็นคุณสมบัติที่แตกต่างจากระบบทั่วไป โดยระบบเวคเตอร์แรงบิดใหม่จะแทรกแซงการเบรคเมื่อจำเป็นเท่านั้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และการันตีการขับขี่ที่เป็นธรรมชาติรวมถึงมอบสมรรถนะที่สูงขึ้นด้วย โดยเมื่อทำการเบรค ชุด E-Axle และมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหลังจะช่วยลดความเร็ว ซึ่งเป็นการสร้างแรงกดบนเบรคไปพร้อมกับการชาร์จไฟให้แบทเตอรีไปในตัว
ระบบส่งกำลังคลัทช์คู่
ระบบเกียร์ 8 จังหวะของซูเพอร์สปอร์ทคาร์จาก Lamborghini รุ่นที่ 2 ในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง (HPEV) นี้จะถูกเปลี่ยนเป็นระบบเกียร์คลัทช์คู่ (DCT) 8 สปีดที่ติดตั้งอยู่ด้านหลังเครื่องยนต์ V8 โดยระบบส่งกำลังขนาดกะทัดรัดดีไซจ์นใหม่นี้สามารถตอบโจทย์ชุดขับเคลื่อนกำลังสูงได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ทว่า การวางเลย์เอาท์จะแตกต่างไปจากระบบควบคุมเสถียรภาพ (DTC) ตามมาตรฐานเพื่อการประหยัดพื้นที่ และน้ำหนักในการติดตั้ง โดยได้ติดตั้งเพิ่มเพลากลวงเพื่อใช้ตัวประสานเฟือง (Synchronizer) เดียวกันสำหรับแนวแรงบิดของเกียร์ต่างๆ ซึ่งหากไม่นับส่วนประกอบไฟฟ้า ระบบ DCT รูปแบบใหม่นี้จะมีน้ำหนักน้อยกว่าเกียร์คลัทช์คู่ 7 จังหวะของรุ่น Huracan และยังเปลี่ยนเกียร์ได้เร็วกว่า ทั้งยังมีความยาวเพียง 560 มม. กว้าง 750 มม. และสูงเพียง 580 มม. ซึ่งทำให้ระบบ DCT แบบใหม่มีขนาดกะทัดรัดมากเป็นพิเศษ
Lamborghini ได้ติดตั้งระบบเกียร์คลัทช์คู่ 8 จังหวะแบบใหม่ด้านหลังเครื่องเทอร์โบคู่ V8 ซึ่งจะทำให้เหลือพื้นที่มากพอในส่วนช่องตรงกลางสำหรับติดตั้งแบทเตอรีลิเธียม-ไอออนสำหรับจ่ายไฟให้มอเตอร์ไฟฟ้า ข้อดีอีกประการ คือ รูปแบบเลย์เอาท์เชิงเทคนิคนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการกระจายน้ำหนักของ Temerario และทำให้เกิดฐานล้อที่กะทัดรัดเพื่อยกระดับพลศาสตร์การขับขี่ที่เหมาะสม และการควบคุมที่สมดุลยิ่งขึ้น
ด้วยระบบเกียร์คลัทช์คู่ 8 จังหวะแบบใหม่ ผู้ขับขี่จะได้สัมผัสประสบการณ์การเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็วทันใจเมื่อเลือกขับขี่สไตล์สปอร์ทขั้นสุด หรือแม้แต่การขับขี่ใช้งานในชีวิตประจำวันก็ตาม การลดเกียร์ลงอย่างต่อเนื่องจะกลายเป็นเรื่องง่าย โดยเมื่อเบรค และกดแป้นเปลี่ยนเกียร์ด้านซ้ายค้างไว้พร้อมกัน ระบบเกียร์จะเปลี่ยนเกียร์ลงตามลำดับ ช่วยให้ผู้ขับรู้สึก และได้ยินเสียงการเปลี่ยนเกียร์อย่างชัดเจน เกียร์ 8 จังหวะอัตราทดยาวจะลดความเร็วรอบเครื่องยนต์ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านเชื้อเพลิง และเพิ่มความสามารถในการขับขี่ที่ความเร็วคงที่ โดย Temerario ยังมีกล่องเกียร์ที่ได้รับการติดตั้งระบบเกียร์ถอยหลังแบบกลไกมาให้ด้วย
ดีไซจ์นสุด Iconic
Temerario มอบรูปลักษณ์ที่ดุดัน สวยงามเหนือล้ำทุกความคาดหมาย และสื่อถึงแบบฉบับในสไตล์ Lamborghini อย่างแท้จริง โดยฝ่ายออกแบบ Lamborghini Centro Stile ได้พยายามสร้างสรรค์ซูเพอร์สปอร์ทคาร์รุ่นใหม่ที่ไม่มีใครลอกเลียนแบบได้ ถือเป็นการพัฒนา DNA การออกแบบแนวใหม่ให้กับแบรนด์ ที่มาพร้อมภาพลักษณ์อันหรูหรา โดดเด่น แสดงถึงอัตลักษณ์ในแบบฉบับของตัวเองอย่างถึงที่สุด
มิตจา โบร์เคิร์ต ผู้อำนวยการฝ่ายการออกแบบ Lamborghini กล่าวว่า Lamborghini Temerario ถือเป็นความสำเร็จครั้งใหม่ในด้านภาษาการออกแบบของเรา ซึ่งเราเรียกว่า “Essential and Iconic” (เนื้อแท้แห่งดีไซจ์นระดับ Iconic) พร้อมเสริมความสวยงามของพื้นผิวเพื่อเพิ่มลุคแบบสปอร์ท ซึ่งเมื่อมองแวบแรกจะเห็นว่านี่คือ ซูเพอร์สปอร์ทคาร์ที่รังสรรค์มาอย่างพิถีพิถัน ทันสมัย และงดงามน่าหลงใหล ด้วยสัดส่วนที่กะทัดรัด และคล่องตัว ตกแต่งด้วยไฟหกเหลี่ยมอันเป็นเอกลักษณ์ใหม่ การออกแบบห้องโดยสารภายในที่ให้ "ความรู้สึกเสมือนเป็นนักบิน" พร้อมเส้นสายที่โฉบเฉียบ ซึ่งเน้นย้ำถึงระบบส่งกำลังไฮบริดรุ่นใหม่ และพลศาสตร์การขับขี่ที่สนุกสนานอย่างเหนือระดับ โดยเราได้นำเสนอมุมมองต่อเครื่องยนต์เทอร์โบคู่ V8 รุ่นใหม่อย่างเด่นชัดในฐานะหัวใจสำคัญ และแหล่งพลัง งานนวัตกรรมใหม่ของเรา
ซูเพอร์สปอร์ทคาร์รุ่นใหม่นี้ได้กำหนดทิศทางของการออกแบบแห่งอนาคตสำหรับสปอร์ทคาร์แบบติดตั้งเครื่องยนต์กลางที่จะกลายเป็นตำนานของ Lamborghini โดยที่ยังคงรักษารูปลักษณ์ที่แข็ง แกร่ง และสวยงามอย่างแท้จริง การออกแบบที่สะอาดตา และแนวคิดการขับเคลื่อนใหม่ยังทำให้ Temerario เป็นตัวเชื่อมโยงกับรถยนต์ระดับตำนานรุ่นก่อนๆ อย่างน่าประทับใจ ในขณะที่นำเสนอบุค ลิกใหม่ได้อย่างโดดเด่นพร้อมการตัดทอนสิ่งเกินจำเป็น คงไว้ซึ่งความชัดเจน ความโฉบเฉียบ และเสน่ห์อันน่าจดจำ
"เราได้สร้างสรรค์ประสบการณ์อันเปี่ยมด้วยสไตล์ชั้นสูงผ่านรถยนต์ Temerario โดยเราเริ่มต้นกระบวนการใหม่ทั้งหมดในการผสานการออกแบบ และพลศาสตร์เข้าด้วยกันภายใต้สัดส่วนของรถยนต์ที่เล็กกะทัดรัด และนี่คือ บทพิสูจน์ของซูเพอร์คาร์ในแบบฉบับ Lamborghini ตัวจริง ที่ได้รับการออกแบบเพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกสนานในทุกวัน และความตื่นเต้นเร้าใจในสนามแข่ง”
รูปลักษณ์เปี่ยมสไตล์
เมื่อมองแวบแรก Temerario สื่อถึง DNA ในแบบฉบับของ Lamborghini ได้อย่างชัดเจน ทั้งเส้นสายที่เด่นชัด การผสมผสานของระบบอากาศพลศาสตร์อย่างยอดเยี่ยม และดีไซจ์นทรงจมูกฉลามอันโดดเด่น
ภาษาการออกแบบของ Lamborghini ถูกต่อยอดเพื่อสร้างสรรค์ดีไซจ์นไฟหกเหลี่ยม Daytime Running Light (DRL) ระดับซิกเนเจอร์รูปแบบใหม่ซึ่งโดดเด่นสะดุดตาแม้มองจากกระยะไกล โดยแนวคิดรูปหกเหลี่ยมยังถือเป็นธีมการออกแบบหลักของทั้งตัวรถ ซึ่งพบได้ทั้งในส่วนตัวถังหลัก ช่องลมเข้าด้านข้าง ไฟท้าย และท่อไอเสียรูปหกเหลี่ยมอันน่าทึ่ง ไฟหกเหลี่ยมระดับซิกเนเจอร์อันเป็นเอกลักษณ์นี้ การันตีว่า Temerario จะเป็นที่จดจำได้ทันทีในกลุ่มรถ Lamborghini และยังมองเห็นได้อย่างชัดเจนแม้ในระยะไกล
ไฟ DRL ทรงหกเหลี่ยมมีเซนเซอร์เรดาร์ในตัว และช่องอากาศในตัว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปรัชญาในการออกแบบที่ผสานระบบไฟส่องสว่างเข้ากับหลักการอากาศพลศาสตร์ขั้นสูง นอกจากนี้ ช่องอา กาศที่อยู่ด้านล่างไฟหน้ายังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการไหลของอากาศ และการระบายความร้อนของระบบเบรคหน้าประสิทธิภาพสูง เพื่อเพิ่มสมรรถนะการขับขี่ให้ดียิ่งขึ้น
ทีมนักออกแบบของ Temerario ได้ผสานองค์ประกอบจากอุตสาหกรรมการบินเข้ากับภาพลักษณ์อันแข็งแกร่งภายในได้อย่างลงตัว โดดเด่นด้วยพื้นผิวที่ดูแข็งแรง และห้องโดยสารที่เพรียวลู่ไปทางท่อไอเสียหกเหลี่ยมด้านหลัง ปลายฝากระโปรงครอบส่วนหน้าทั้งหมดใช้ดีไซจ์นจมูกฉลามอันแข็งแกร่ง และโดดเด่น และยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความความเร็วที่แบรนด์ภาคภูมิใจ ดีไซจ์นไฟหน้าที่เฉียบคม และหรูหรายังซ้อนทับไปกับฝากระโปรงเล็กน้อยซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากรถจักรยานยนต์สปอร์ท ส่วนบานเกล็ดนำอากาศถูกเชื่อมต่อกับ สปอยเลอร์หน้าระดับต่ำพร้อมฝากระโปรง ในขณะที่ครีบด้านข้างช่วยควบคุมการไหลเวียนของอากาศตามแนวด้านข้าง ประกอบกับสเกิร์ทข้างรูปฉลามเพื่อเสริมแรงอากาศพลศาสตร์ และเพิ่มแรงกดไปพร้อมกัน
ด้วยดีไซจ์นขอบที่กว้าง และยาว พร้อมรูปลักษณ์อันทรงพลัง ทำให้รูปลักษณ์ด้านข้างของ Temerario ทอดยาวจากด้านหน้าขึ้นไปเหนือประตู ตอกย้ำความเป็นรถสปอร์ทสุดขั้วอย่างแท้จริง ช่องดักอากาศเข้าอันทรงพลัง และเปี่ยมประสิทธิภาพที่อยู่หลังประตูข้างยังช่วยการันตีการไหลของอากาศที่เพียงพอสำหรับเครื่องยนต์เทอร์โบคู่ V8 ประสิทธิภาพสูง และในขณะเดียวกันก็ช่วยเพิ่มแรงกดของโครงแชสซีส์ได้อย่างชัดเจน สปอยเลอร์หลังแบบฟิกซ์ตำแหน่งช่วยเน้นความกว้างด้านหลังของรถ และสำหรับส่วนท้ายรถขนาดกะทัดรัดแต่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพด้านเทคนิคยังได้ผสานรายละ เอียดต่างๆ จากวงการมอเตอร์สปอร์ทเข้าไว้อย่างลงตัว ทั้งดิฟฟิวเซอร์แบบกว้างที่ยื่นไปใต้ตัวรถ และท่อไอเสียรวม ซึ่งไฟท้ายดีไซจ์นหกเหลี่ยมรูปแบบใหม่ก็มีส่วนช่วยให้อากาศไหลผ่านได้ง่าย เพื่อเสริมการระบายความร้อนของเครื่องยนต์
ส่วนหลังคาได้รับการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ โดยรูปแบบที่เอนลู่ไปทางด้านหลังเล็กน้อยจะช่วยนำอากาศไปยังปีกหลังที่รวมไว้โดยตรง ซึ่งส่วนนี้จะมีประโยชน์มากโดยช่วยให้เครื่อง ยนต์ หม้อน้ำ และเครื่องเทอร์โบชาร์เจอร์มีอากาศไหลเวียนอย่างเพียงพอ
หัวใจสำคัญของ Temerario คือ เครื่องยนต์เทอร์โบคู่ V8 ขนาด 4.0 ลิตรที่พัฒนาใหม่ในทุกรายละเอียดซึ่งมาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าฟลักซ์ตามแนวแกน โดยในการสร้างคอนเซพท์ระบบส่งกำลังรูปแบบใหม่ ทีมนักออกแบบ และวิศวกรได้พัฒนาโครงแชสซีส์ และตัวถังแบบใหม่ ซึ่งฝ่าย Lamborghini Centro Stile ได้ใช้แนวคิดอิสระมากที่สุดในการคิดค้นระบบขับเคลื่อนที่เหมาะสม และสวย งาม เพื่อเน้นสัมผัสของเครื่องยนต์ติดตั้งกลางตัวรถอย่างชัดเจน ทำให้ Lamborghini นำเสนอความเป็นเครื่องยนต์เทอร์โบคู่ V8 อย่างเปิดเผย ราวกับเครื่องยนต์ของมอเตอร์ไซค์ภายใต้ฝากระโปรงโปร่งใสที่ชัดเจน
“ด้วยสไตล์ที่มีเส้นสายสะอาดตาแต่น่าเร้าใจของ Temerario เราได้นำเสนอรูปทรงรถยนต์ใหม่ในแง่ของการออกแบบที่มีความเป็นแก่นแท้ และเปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ของ Lamborghini ถือเป็นย่างก้าวครั้งสำคัญไปสู่อนาคตอันยิ่งใหญ่ Temerario ผสานสไตล์ และสมรรถนะเข้ากับความสมบูรณ์แบบ พร้อมนำเสนอการผสมผสานระหว่างการออกแบบ ระบบวิศวกรรม และประสบการณ์ขับขี่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในกลุ่มรถยนต์รุ่นใหม่ของวันนี้”
ห้องโดยสารภายในแบบ “Feel like a Pilot”
“ปรัชญา "รู้สึกเสมือนเป็นนักบิน" ของ Lamborghini ได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งด้วยรูปแบบใหม่ใน Temerario ด้วยตำแหน่งเบาะนั่งต่ำ แดชบอร์ดดีไซจ์นเพรียวบางน้ำหนักเบา และองศาการเอียงพวงมาลัยที่สมบูรณ์แบบ ทำให้ผู้ขับเข้าถึงสไตล์การขับขี่ที่สนุกสนานในแบบฉบับ Lamborghini การผสานระหว่างหน้าจอดิจิทอลเข้ากับปุ่มกลไกแบบกด เช่น ปุ่มสตาร์ทที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ หรือพวงมาลัยที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรถแข่ง ก่อให้เกิดประสบการณ์สุดพิเศษในแบบ "สไตล์นักบิน" ส่วนเบาะนั่งไฟฟ้าดีไซจ์นแนวสปอร์ทแบบใหม่ที่สะดวกสบายถูกติดตั้งให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน หรือสามารถเลือกเบาะนั่งแนวสปอร์ทแบบคาร์บอนไฟเบอร์ที่โอบอุ้มผู้โดยสารราวกับถุงมือก็ได้ โดยห้องโดยสาร และคอนโซลกลางถูกออกแบบให้เหมาะสมตามหลักสรีรศาสตร์ทั้งหมด
เบาะนั่งนำเสนอออพชันให้เลือกหลายสีพร้อม 4 รูปแบบการเย็บ โดยในปัจจุบันยังไม่มีเบาะนั่งของรถยนต์ Lamborghini รุ่นใดที่นำเสนอตัวเลือกได้หลากหลายเท่ากับเบาะนั่งคอมฟอร์ทที่พัฒนาขึ้นใหม่ในรุ่น Temerario ซึ่งสามารถปรับได้ถึง 18 ทิศทาง พร้อมระบบทำความร้อน และระบายอากาศที่ดีเยี่ยม
ห้องโดยสารภายในยังสะท้อนถึงการออกแบบภายนอกที่เหนือชั้น และมอบสมดุลระหว่างประสบการณ์ดิจิทอล และประสาทสัมผัสที่ลงตัว โดย Lamborghini เลือกใช้วัสดุคุณภาพดีที่สุดทั้งคาร์บอน หนัง และไมโครไฟเบอร์แบบ Corsatex ในทุกองค์ประกอบการตกแต่งภายใน และผสานเข้าด้วยกันเพื่อสร้างประสบการณ์ห้องโดยสาร ลูกค้ายังสามารถเลือกองค์ประกอบการตกแต่งภายในด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์เป็นออพชันเสริม ทั้งชิ้นส่วนคอนโซลกลาง ช่องระบายอากาศ แผงประตู ชิ้นส่วนแผงหน้าปัด พวงมาลัย และคอพวงมาลัย ซึ่งนอกจากวัสดุน้ำหนักเบาที่มอบความหรูหรา ลูกค้ายังสามารถเลือกองค์ประกอบคลาสสิคของแบรนด์ ทั้ง “ปุ่มเพาเวอร์” Start/Stop ที่นำแรงบันดาลใจมาจากเครื่องบิน รวมถึงคันเกียร์ไฟฟ้า และไฟแสดงสถานะ “ไลน์อัพ” สีแดงบนพวงมาลัย เพื่อขับเน้นถึงความเป็นสปอร์ทคาร์สุดขั้วของ Lamborghini Temerario
ด้วยการออกแบบแดชบอร์ดรุ่นใหม่ จึงทำให้ทั้งนักบิน และผู้ช่วยนักบินสัมผัสถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับรถยนต์ได้อย่างรวดเร็ว สมดังปรัชญา “Feel like a Pilot” โดยนักบินสามารถเข้าถึงส่วนควบคุมทั้งหมดจากตำแหน่งที่นั่งได้อย่างรวดเร็ว และง่ายดาย ช่องระบายอากาศหกเหลี่ยมอันเปี่ยมเอกลักษณ์ถูกนำมาผสานรวมเข้ากับห้องนักบินอย่างหรูหรา พร้อมคอนโซลกลางซึ่งมีช่องวางสมาร์ทโฟนและกระเป๋าสตางค์ที่สะดวกสบาย
พวงมาลัยที่พัฒนาขึ้นใหม่พร้อมออพชันอุปกรณ์เสริมวัสดุคาร์บอน ได้รับแรงบันดาลใจจากสนามแข่งรถ ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมฟังค์ชันการขับขี่ที่จำเป็นได้อย่างเป็นธรรมชาติ ด้านซ้ายของพวงมาลัยติดตั้งปุ่มสวิทช์แบบหมุนสีแดงเพื่อใช้เลือกโหมดการขับขี่ ด้านล่างติดตั้งปุ่มควบคุมฟังค์ชันการยก ปุ่ม “Race Start” และระหว่างปุ่มเหล่านั้นยังมีสวิทช์สำหรับอินดิเคเตอร์ต่างๆ โดยผู้ขับขี่สามารถสั่งงาน Launch Control ได้ด้วยการกดปุ่มเพียงปุ่มเดียวเพื่อเข้าถึงการควบคุมระดับสูงสุด
สุนทรียศาสตร์ในแบบฉบับนักบิน
มิตจา โบร์เคิร์ต กล่าว่า Lamborghini เลือกใช้คอนเซพท์กราฟิคสมัยใหม่สำหรับในการตกแต่งภายใน Temerario พร้อมองค์ประกอบอันเป็นเอกลักษณ์ที่ถูกนำมาใช้ในหลายๆ ส่วนทั่วห้องโดยสาร ซึ่งรวมถึงช่องกลาง แผ่นหน้าจอสัมผัส รวมถึงรอบช่องระบายอากาศ และตะเข็บ ทั้งลายกราฟิคหกเหลี่ยม การเลือกใช้วัสดุ และกราฟิคดิจิทอลรูปแบบใหม่ ล้วนทำให้ภายใน Temerario มีความละ เอียดซับซ้อน และเร้าอารมณ์อย่างมากนับเป็นครั้งแรกที่เบาะนั่งของนักบินผู้ช่วยด้านข้างมีจอแสดงผลที่บางเฉียบเป็นของตัวเอง ซึ่งสามารถเรียกดูข้อมูลการขับขี่ และฟังค์ชันต่างๆ ของรถได้เช่นกัน ส่วนนักบินก็สามารถควบคุมอุปกรณ์การขับขี่หลักได้ในรูปแบบแอนาลอก ในขณะที่อุปกรณ์ความบันเทิง และระบบนำทางจะเป็นการควบคุมด้วยระบบสัมผัสผ่านจอแสดงผลที่คอนโซลกลาง การใช้คอนเซพท์ “สุนทรียศาสตร์ในแบบฉบับนักบิน (Pilot Interaction)” ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถดื่มด่ำกับการทำงานของ Temerario อย่างใกล้ชิด และควบคุมการขับขี่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ระบบ “Pilot Interaction” ที่ทำงานผ่านอินเตอร์เฟศ Human-Machine Interface (HMI) รูปแบบใหม่จะทำหน้าที่เป็นศูนย์ข้อมูลของ Temerario โดย Lamborghini ได้พัฒนาลวดลายกราฟิคและดีไซจ์นใหม่ขึ้นโดยเฉพาะ ถือเป็นการพัฒนาต่อยอด DNA ลายกราฟิคขึ้นใหม่จากที่เคยเริ่มต้นไว้ในรุ่น Revuelto โดยมีการติดตั้งจอแสดงผลขนาด 8.4 นิ้วแบบใหม่บนคอนโซลกลาง เพื่อให้สามารถปรับแต่งธีมต่างๆ ได้ในทันที ทั้งนักบิน และนักบินผู้ช่วยยังสามารถเลื่อนแอพพลิเคชัน และข้อมูลต่างๆ จากจอแสดงผลกลางไปทางซ้าย หรือขวา เพื่อย้ายเนื้อหาไปยังจอหน้าผู้ขับ และนักบินผู้ช่วยได้เช่นเดียวกับในสมาร์ทโฟน โดยผู้ขับจะได้รับข้อมูลบนแผงหน้าปัดดิจิทอลขนาด 12.3 นิ้ว ส่วนข้อมูลของผู้โดยสารด้านข้างจะถูกแสดงพร้อมกันบนจอหน้าขนาด 9.1 นิ้ว หากนักบินเปลี่ยนโหมดการขับขี่ กราฟิคที่จอแสดงผลก็จะเปลี่ยนไปตามรูปแบบการขับขี่ด้วยเช่นกัน
พื้นที่กว้างขวางตอบโจทย์ชีวิตประจำวันได้มากขึ้น
ห้องโดยสารของ Temerario ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมดเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Huracan ในขณะเดียวกันก็ได้พัฒนาต่อยอดการออกแบบที่ปรากฏครั้งแรกในรุ่น Revuelto โดยใช้โครงแชสซีส์สเปศเฟรมรุ่นใหม่ซึ่งทำให้ Temerario มีพื้นที่ภายในที่กว้างขึ้นกว่ารุ่นก่อนอย่างชัดเจน การวางตำแหน่งเบาะนั่งต่ำ และถูกต้องตามหลักสรีระศาสตร์ช่วยให้นักขับ และผู้โดยสารรู้สึกเชื่อมโยง และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับรถได้อย่างสมบูรณ์แบบ พร้อมกับให้ความสะดวกสบายในระดับสูง ตามปรัชญาของ Lamborghini ที่ว่า “Feel like a Pilot”
คอนเซพท์โครงแชสซีส์สเปศเฟรมแบบใหม่ช่วยเพิ่มพื้นที่เหนือศีรษะได้ถึง 34 มม. และพื้นที่วางขา 46 มม. บวกกับทัศนวิสัยที่เพิ่มขึ้น 4.8° และสามารถรองรับผู้โดยสารที่สูงถึง 200 ซม. แม้จะสวมหมวกกันนอคก็ตาม ซึ่งหมายความว่าแม้แต่นักแข่งรถที่สูงที่สุดที่สวมหมวกกันนอคก็ยังสามารถโลดแล่นในสนามแข่งขันได้อย่างสบายๆ โดยยังมีพื้นที่สำหรับเก็บสิ่งของต่างๆ เช่น อุปกรณ์กีฬาในช่องเก็บสัมภาระใต้ฝากระโปรงหน้า ด้วยพื้นที่เก็บของมากถึง 112 ลิตร เทียบเท่ากับกระเป๋าเดินทาง 2 ใบ ส่วนของใช้ในชีวิตประจำวันอื่นๆ ก็สามารถเก็บไว้ได้บริเวณด้านหลังเบาะนั่ง
“การมอบความสะดวกสบายสูงสุดแก่ลูกค้า คือ หนึ่งในวัตถุประสงค์หลักของเรา” มร. เปาโล แรคเชตติ ผู้อำนวยการกลุ่มผลิตภัณฑ์ Temerario กล่าว “ซูเพอร์สปอร์ทคาร์ของเราถูกนำไปใช้งานทั้งเพื่อการขับขี่ในเมือง และการเดินทางระยะไกล การเพิ่มความสบายเมื่ออยู่ภายในรถไปพร้อมกับการรักษาขนาด และสัดส่วนของรถให้กะทัดรัดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ก็ถือเป็นความท้าทายที่สำคัญในขั้นตอนการพัฒนา โดย Temerario เป็นซูเพอร์สปอร์ทคาร์อเนกประสงค์ที่พร้อมลุยทั้งในสนามแข่ง และเป็นเพื่อนเดินทางที่สมบูรณ์แบบในวันหยุดยาว”
ระบบเสียงสุดพรีเมียม
ระบบเสียงของ Temerario ได้รับการสร้างสรรค์โดย Sonus Faber ผู้เชี่ยวชาญด้านเสียงชาวอิตาลีจากเมืองวิเซนซา โดยระบบเกรดพรีเมียมนี้จะมอบประสบการณ์แห่งเสียงที่ดื่มด่ำ โดยโดดเด่นด้วยเสียงที่เป็นธรรมชาติอันกระจ่างใสที่ได้รับการยกย่องของ Sonus Faber ทุกส่วนประกอบได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถัน และปรับแต่งอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจได้ว่าจะมอบประสบการณ์การฟังอันเปี่ยมด้วยสุนทรียศาสตร์ และความเที่ยงตรงสมกับเป็นงานฝีมือในแบบฉบับอิตาลี ห้องโดยสารที่กว้างขวาง และเครื่องยนต์อันทรงพลังของ Temerario ยังได้รับการเสริมด้วยระบบเสียง Sonus Faber อย่างลงตัว จึงรับประกันประสบการณ์ที่หรูหรา และเร้าอารมณ์ในทุกเส้นทาง
การปรับแต่ง และแพคเกจ Alleggerita
Temerario เปิดตัวด้วย 2 โทนสีใหม่ที่ออกแบบมาพร้อมกับรถรุ่นนี้ ได้แก่ สีน้ำเงิน Blu Marinus และสีเขียว Verde Mercurius พร้อมนำเสนอสีตัวถังมากกว่า 400 รายการ และลวดลายพิเศษ พร้อมให้ลูกค้าเลือกปรับแต่งได้อย่างไม่รู้จบผ่านโปรแกรม Ad Personam ของ Lamborghini นอกจากนี้ ยังนำเสนอล้อหน้าใหม่ขนาด 20 นิ้ว และล้อหลัง 21 นิ้ว โดยมีให้เลือก 3 แบบในวัสดุที่แตกต่างกัน ทั้งล้อโหละผสม (3 สี) ล้อฟอร์จ (4 สี) และล้อคาร์บอน โดยการตกแต่งทั้งภายนอก และภายในก็มีออพชันคาร์บอนไฟเบอร์ให้เลือกหลากหลายส่วน อาทิ สปลิทเตอร์หน้า ฝาครอบกระจก ช่องระบายอากาศด้านข้าง ดิฟฟิวเซอร์ด้านหลัง ช่องกลาง แผงหน้าปัด ช่องระบายอากาศ กรอบสวิทช์ประตู พวงมาลัยคาร์บอน ฝาครอบคอพวงมาลัย และหัวเกียร์
นี่คือ ครั้งแรกที่ Lamborghini เปิดตัวรถรุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับแพคเกจ "Alleggerita" (วัสดุน้ำหนักเบา) เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่เน้นประสบการณ์การขับขี่ในสนามแข่งมากขึ้น โดยสามารถลดน้ำหนักรถลงได้ถึง 12.65 กก. เมื่อนับรวมส่วนประกอบต่างๆ ของตัวรถเพียงอย่างเดียว และจะลดลงได้มากกว่า 25 กก. เมื่อเลือกใช้วัสดุตกแต่งภายในน้ำหนักเบา และขอบล้อคาร์บอน และยิ่งมอบประสิทธิ ภาพการขับขี่มากขึ้นเมื่อพิจารณาบนมุมมองตามหลักอากาศพลศาสตร์ (แรงอากาศพลศาสตร์เพิ่มขึ้น 67 %)
แพคเกจ Alleggerita ประกอบด้วยสปลิทเตอร์ที่ทำจากโพลีเมอร์เสริมคาร์บอนไฟเบอร์ CFRP (-0.19 กก.) และแผงใต้ท้องรถคาร์บอนไฟเบอร์รีไซเคิล (-0.55 กก.) ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าด้านความยั่งยืนของ Lamborghini ส่วนสเกิร์ทข้างแบบใหม่ที่ใช้วัสดุ CFRP ยังช่วยลดน้ำหนักได้อีก 0.6 กก. เช่นเดียวกับฝากระโปรงหลัง (-9.2 กก.) และแผงสำหรับติดตั้งสปอยเลอร์รับน้ำหนัก (-1.6 กก.)
สำหรับห้องโดยสารภายใน ชุดตกแต่ง Lightweight Pack จะประกอบด้วยแผงประตูคาร์บอนไฟเบอร์ และยังสามารถเลือกเบาะนั่งแบบสปอร์ทที่ทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่สุดเร้าใจที่ได้แรงบันดาลใจมาจากโลกแห่งการแข่งรถ ส่วนน้ำหนักหน้าต่างก็ลดลงเช่นกัน โดยกระจกด้านหลังใช้กระจกน้ำหนักเบาเพื่อช่วยลดน้ำหนักได้ 0.85 กก. ส่วนหน้าต่างข้างแบบฟิกซ์ตำแหน่งก็ใช้วัสดุโพลีคาร์บอเนต (-0.45 กก.)
นอกจากนี้ ยังสามารถเลือกชุดแต่งคาร์บอนเสริมสำหรับภายนอกของตัวรถยนต์ ซึ่งประกอบด้วยดิฟฟิวเซอร์หลัง ฝาครอบกระจกมองหลัง และฝาครอบช่องลมเข้าคาร์บอนด้านข้าง ซึ่งช่วยลดน้ำหนักลงได้อีก 1.82 กก.
เทคโนโลยีอากาศพลศาสตร์ขั้นสุดยอด
Lamborghini สามารถบรรลุจุดสูงสุดแห่งประสิทธิภาพอากาศพลศาสตร์ใน Temerario ผ่านการออกแบบที่ประสบความสำเร็จในหลัก 3 ด้าน ได้แก่ เสถียรภาพที่ระดับความเร็วสูง การระบายความร้อนที่ดีขึ้น และประสิทธิภาพการเบรคขั้นสูงสุด
ทีมนักออกแบบและวิศวกรของ Lamborghini มุ่งมั่นพัฒนาระบบส่งกำลังไฮบริดรุ่นใหม่ และการสร้างแรงตามหลักอากาศพลศาสตร์ที่มากขึ้นโดยเฉพาะที่ด้านหลังตัวรถ ซึ่งเมื่อพัฒนาตัวถัง และส่วนล่างของ Temerario แล้ว ผลลัพธ์ที่ได้คือแรงกดด้านหลังเพิ่มขึ้น +103 % เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Huracan EVO (อูรากัน เอโว) และจะเพิ่มขึ้นเป็น +158 % เมื่อใช้ชุดวัสดุ Alleggerita Pack
ทุกองค์ประกอบได้รับการออกแบบเพื่อสร้างสมรรถนะตามหลักอากาศพลศาสตร์อันยอดเยี่ยม เริ่มจากด้านหน้าซึ่งดวงไฟหกเหลี่ยมแบบ DRL ได้กลายมาเป็นหนึ่งในองค์ประกอบอากาศพลศาสตร์ โดยมีช่องลมเข้า และแผงปรับทางลมซึ่งทำหน้าที่นำกระแสลมจากกันชนไปยังส่วนบนของหม้อน้ำด้านข้างซึ่งมีการติดตั้งครีบ 2 ตัวที่ช่องทางเข้า ครีบทรงปีกด้านบนจะปรับทางลมให้ไหลลงด้านล่าง ซึ่งลมจะถูกจับโดยครีบแนวนอนตัวที่ 2 และนำลมให้ไหลเข้าสู่หม้อน้ำในแนวตั้งฉากซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อนได้มากที่สุด
นอกจากนั้น ครีบที่ประกอบเป็นกระจังหน้าบนซุ้มล้อยังช่วยถ่ายเทอากาศให้ไหลไปยังด้านนอกของล้อ โดยเคลื่อนออกจากหม้อน้ำด้านข้าง และลดการเกิด Air Turbulence พร้อมมอบสองเอฟเฟคท์พร้อมกัน ทั้งการลดแรงต้านอากาศพลศาสตร์ และเพิ่มแรงกดไปทางด้านหลังของตัวรถ
กระจกมองข้างซึ่งทำงานประสานกับส่วนหน้าของรถ ไม่เพียงช่วยลดแรงต้านเท่านั้น แต่ยังช่วยนำอากาศไปยังหม้อน้ำด้านข้าง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการระบายความร้อนให้แก่ส่วนประกอบกลไกต่างๆ
การออกแบบหลังคาพร้อมช่องกลางยังช่วยนำอากาศไปยังสปอยเลอร์หลังซึ่งติดตั้งกับตัวรถ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพอากาศพลศาสตร์ และเพิ่มแรงกดได้ในตัว ด้านที่มีความโค้งของฝากระโปรงรถก็มีส่วนช่วยเสริมผลลัพธ์ในด้านอากาศพลศาสตร์เช่นกัน โดยจะช่วยเพิ่มปริมาณอากาศที่ไหลผ่านด้านข้างของสปอยเลอร์ โดยแพคเกจเสริม Alleggerita มาพร้อมกับสปอยเลอร์หลังน้ำหนักเบาที่สามารถรับแรงกดได้อย่างมหาสาร ซึ่งเกิดจากการเพิ่มความสูงของขอบท้ายรถรวมถึงส่วนโค้งที่เพิ่มขึ้น
ส่วนท้องรถก็มีเป็นโครงสร้างที่มีบทบาทสำคัญในแง่ประสิทธิภาพอากาศพลศาสตร์ โดยใต้ท้องรถมีการติดตั้งระบบอัดเรียงอากาศ กล่าวคือ มีครีบสามคู่ที่จัดเรียงเหมือนกิ่งก้านของต้นไม้เพื่อช่วยเพิ่มแรงอากาศพลศาสตร์บริเวณส่วนท้ายรถ และเสริมการทำงานของดิฟฟิวเซอร์ซึ่งมีพื้นที่ผิวที่มากขึ้นถึง 70 % เมื่อเปรียบเทียบกับของรุ่น Huracan EVO และมีมุมที่เพิ่มขึ้น 4° จึงช่วยเพิ่มการสกัดลมแนวตั้งจากด้านล่างได้มากที่สุด เนื่องจากระบบส่งกำลังเทอร์โบไฮบริดรุ่นใหม่ที่ต้องการระบบระบายความร้อนที่ดีขึ้น ทำให้ทีมออกแบบจำเป็นต้องพัฒนาโครงหม้อน้ำรุ่นใหม่ ซึ่งช่วยปรับปรุงประ สิทธิภาพการระบายความร้อนได้ถึง 30 %
นอกจากนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพที่โดดเด่นของ Temerario ให้ถึงขีดสุด จึงเกิดแนวคิดพัฒนาการระบายความร้อนเบรคแบบใหม่เพื่อให้ประสิทธิภาพการเบรคดีขึ้น โดยส่วนหน้ามีแผ่นบังคับทางลมที่ติดอยู่กับแกนระบบกันสะเทือนด้านล่าง ซึ่งใช้ประโยชน์จากการไหลของอากาศที่ถูกเปลี่ยนทิศทางโดยดิฟฟิวเซอร์หน้า โดยนำลมไปทางคาลิเพอร์เบรคหน้าเพื่อช่วยระบายความร้อน ช่องลมเข้าเฉพาะอีก 2 ช่องได้ถูกออกแบบรวมในส่วนกันชน เพื่อถ่ายเทลมที่ไหลมาในระดับสูงจากกันชนไปยังช่องระบายอากาศของแผ่นดิสก์เบรค จากนั้นจะมีท่อตัววาย (Y) ซึ่งมีช่องลมเข้าคู่แต่มีช่องออกเดียว ช่วยดึงอากาศเข้ามาด้วยแรงดันสูง เพื่อเพิ่มการระบายความร้อนของระบบเบรคได้อย่างดีเยี่ยม ผลลัพธ์โดยรวม คือ การยกระดับประสิทธิภาพการระบายความร้อนในภาพรวมซึ่งเหนือกว่ารุ่น Huracan EVO ถึง 20 % สำหรับส่วนดิสก์เบรค และดีกว่าถึง 50% ในส่วนคาลิเพอร์
ในส่วนท้ายรถใช้เทคโนโลยีที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในรุ่น Revuelto โดยช่องระบายอากาศสำหรับดิสก์เบรคหลังจะทอดผ่านท่อ NACA ที่วางอยู่ด้านหน้าของโครงล้อหลัง ซึ่งจะรวมกระแสลมกำลังสูงที่อยู่ใต้ท้องรถ และส่งต่อไปยังท่อระบายความร้อนของเบรค
โครงสร้างสเปศเฟรม
โครงสร้างของ Temerario เผยให้เห็นตัวถังสีขาว (Body-in-White) แบบใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีสเปศเฟรมเพื่อให้ทนทานต่อแรงเค้นที่สูงขึ้นจากหน่วยพลังงานไฮบริดรูปแบบใหม่ ซึ่งจะช่วยรับประกันคุณภาพเชิงกลไกที่ยอดเยี่ยม พร้อมประสิทธิภาพการลดโหลดน้ำหนักอย่างมีนัยสำคัญ
โครงของ Temerario ผลิตจากอลูมิเนียมทั้งหมด ถือเป็นการเปิดตัววัสดุโลหะผสมที่มีความแข็งแรงสูงชนิดใหม่สำหรับงานหล่อแรงดันสูง ซึ่งประกอบด้วยการอัดขึ้นรูปไฮโดรฟอร์มความแข็งแรงสูงและการเพิ่มจำนวนการหล่อแบบกลวงที่มีส่วนแรงเฉื่อยบางเฉพาะเพิ่มขึ้นโดยใช้แกนภายใน เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยลดความซับซ้อนในเชิงโครงสร้างของสเปศเฟรม และช่วยให้โครงมีน้ำหนักที่เหมาะสม ขณะเดียวกันระบบส่งกำลังไฮบริดรุ่นใหม่ยังใช้ชิ้นส่วนน้อยลงกว่า 50 % เมื่อเปรียบเทียบกับมาตรวัดเดียวกันของรุ่น Huracan นอกจากนี้ Temerario ยังลดจำนวนรอยเชื่อมลงอย่างมาก โดยความยาวแนวเชื่อมรวมลดลงกว่า 80 % เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Huracan
โครงสร้างสเปศเฟรมแบบใหม่เพิ่มความแข็งแรงมากขึ้นถึง 20 % เมื่อเปรียบเทียบกับสเปศเฟรมรุ่นก่อนหน้า พร้อมทั้งมอบขีดจำกัดด้านน้ำหนักที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จึงมั่นใจได้ถึงระดับความปลอดภัยที่ดีที่สุดสำหรับผู้โดยสาร และไดนามิคในการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม
สุดยอดประสบการณ์การขับขี่
Temerario นำเสนอประสบการณ์การขับขี่ 13 รูปแบบที่ทำให้ซูเพอร์สปอร์ทคาร์มีความอเนกประสงค์ และความเร้าใจทั้งในการขับขี่ในชีวิตประจำวัน และบนสนามแข่ง โดยสามารถเลือกโหมดการขับ ขี่ได้ด้วยปุ่มสั่งงานบนพวงมาลัย ซึ่งปุ่มสั่งงานสีแดงด้านซ้ายบนจะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกได้ทั้งโหมด Citta, Strada, Sport, Corsa และ Corsa Plus (เมื่อ ESC Off ปิดใช้งานการควบคุมแบบไฟฟ้า) นอกจากนี้ เมื่อกดปุ่ม “Checkered Flag” นาน 2 วินาที ระบบ Launch Control จะถูกเปิดใช้งานเพื่อเข้าถึงศักยภาพสูงสุดเมื่อออกตัวจากจุดสตาร์ทแบบหยุดนิ่ง
“Temerario มาพร้อมประสบการณ์การขับขี่รูปแบบ Innovative และ Puristic ด้วยระบบ E-4WD ที่รวมเข้ากับเวคเตอร์แรงบิดนับเป็นการผสมผสานที่ลงตัว ขณะเดียวกัน เราได้รถยนต์ที่โฉบเฉี่ยวและเปี่ยมประสิทธิภาพในสนามแข่ง และได้ขีดความสามารถของระบบขับเคลื่อนล้อหลังที่ดีเยี่ยม ซึ่งทำให้ผู้ขับขี่มีประสบการณ์ร่วมกับรถยนต์ได้อย่างเต็มที่”
ด้วยการใช้ระบบไฮบริด Lamborghini จึงสามารถเปิดตัวโหมดการขับขี่ 3 โหมดใหม่ ได้แก่ Recharge, Hybrid และ Performance ซึ่งสามารถเลือกได้โดยใช้ปุ่มสั่งงานด้านขวาบนพวงมาลัย ตัวเลือกโหมดการขับขี่จะแสดงบนแดชบอร์ดดิจิทอลขนาด 12.3 นิ้วของผู้ขับขี่ โดยที่กราฟิคแอนิเมชันจะจำลองการหมุนของตัวเลือก เพื่อทำให้สามารถเลือกได้อย่างง่ายดาย และรวดเร็ว
โหมด Citta คือ ประสบการณ์ที่ออกแบบมาเพื่อการขับขี่ในเขตเมืองซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งแบบไฮบริด (ขับเคลื่อนล้อหน้าโดยมอเตอร์ไฟฟ้าเท่านั้น ผ่านชุดขับเคลื่อนเพลาหน้า E-Axle ที่ให้กำลังสูง สุด 140 กิโลวัตต์ 190 CV) และในโหมด Recharge ซึ่งช่วยให้เครื่องยนต์ V8 สามารถชาร์จแบทเตอรีกลับได้อย่างรวดเร็วหากจำเป็น และโหมด Strada เหมาะสำหรับการขับขี่ในเส้นทางนอกเมืองและการเดินทางระยะไกล และเพื่อให้การขับขี่แบบสปอร์ทมีประสิทธิภาพมากขึ้น ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อพร้อมเปิดใช้งานได้อย่างรวดเร็ว เครื่องยนต์ V8 จะสนับสนุนการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าเสมอด้วยกำลังสูงสุด 800 CV ผ่านระบบส่งกำลังในโหมดไฮบริด ในขณะที่อยู่ในโหมด Recharge กำลังขับสูงสุดจะเท่ากับ 725 CV โดยชุดขับเคลื่อน E-Axle ด้านหน้าจะรองรับแรงบิดเวคเตอร์และการทำงานของอากาศพลศาสตร์ตลอดเวลา เพื่อให้เกิดเสถียรภาพสูงสุดเมื่อขับด้วยความเร็วสูง เช่น บนมอเตอร์เวย์ เป็นต้น
เมื่อเลือกโหมด Sport จะเปลี่ยนคาแรคเตอร์ของ Temerario ไปอย่างสิ้นเชิง โดยรถจะถูกตั้งค่าใหม่เพื่อมอบการขับขี่ที่เร้าใจ สนุกสนาน และตอบสนองร่วมกันได้ทั้ง 3 โหมด คือ Recharge, Hybrid และ Performance เครื่องยนต์สันดาปซึ่งได้รับการเสริมกำลังจากระบบไฮบริดจะทำงานทั้ง 3 สถานการณ์ โดยให้กำลังสูงสุด 920 CV ขณะที่เสียงเครื่องยนต์ V8 จะดังกระหึ่มขึ้น ชุดเกียร์จะตอบสนองอย่างรวดเร็วขั้นสุด ในขณะที่ระบบกันสะเทือน และอากาศพลศาสตร์จะช่วยเพิ่มความคล่องตัว และอรรถรสในการขับขี่ในยามเข้าโค้ง
ในโหมดการขับขี่แบบ Corsa ซึ่งเป็นโหมดที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถแบบไดนามิคของ Temerario บนสนามแข่ง โดยในด้านสมรรถนะ ระบบส่งกำลังจะแสดงศักยภาพสูงสุดด้วยกำลังเครื่องยนต์ถึง 920 CV และการควบคุมระบบไฮบริดจะถูกปรับค่าเพื่อใช้ประโยชน์สูงสุดจากชุดขับเคลื่อน E-Axle ทั้งในแง่ของการควบคุมแรงบิด และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเพื่อมอบสัมผัสการขับขี่แบบสปอร์ทขั้นสุด แต่ก็ยังสามารถเข้าถึงฟังค์ชันต่างๆ ได้ในเวลาเดียวกัน อีกทั้งยังมอบเสียงเครื่องยนต์ที่เข้าถึงอารมณ์ได้สูงสุดเพื่อสร้างประสบการณ์เสียงอันน่าดึงดูด และเร้าใจ
Temerario ยังมาพร้อมกับโหมด Drift เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมพวงมาลัยเพื่อเพิ่มความสนุกสนานในการขับขี่ ด้วยการเปิดใช้งานผ่านปุ่มปรับโหมดด้านล่างทางด้านขวาของพวงมาลัย โหมด Drift สามารถปรับได้ 3 ระดับ โดยระดับ 1 จะเพิ่มความไวโค้งโดยมีมุมสไลด์ที่จำกัด ไปจนถึงระดับ 3 สำหรับผู้ขับขี่ที่เชี่ยวชาญโดยเฉพาะซึ่งจะมีมุมสไลด์ที่กว้างมากขึ้น
การเชื่อมต่อออนไลน์
Temerario เป็นรถยนต์ที่ล้ำสมัยที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Lamborghini ในด้านมัลทิมีเดีย เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Huracan จะเห็นว่าการเชื่อมต่อมีความล้ำหน้ามากกว่าอย่างเห็นได้ชัด โดยนำเสนอบริการ และฟีเจอร์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานรถยนต์ในแต่ละวัน ร่วมกับฟีเจอร์อื่นๆ ที่ออกแบบมาเพื่อมอบความสนุกสนานโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่บนถนน หรือในสนามแข่ง
ผู้ขับขี่สามารถใช้ระบบนำทางพร้อมการอัพเดทแผนที่แบบ Over-The-Air และข้อมูลแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับการจราจรและสถานที่ใกล้เคียง ชุดเชื่อมต่อออนไลน์ยังประกอบด้วยเนื้อหาความบันเทิงมากมาย เช่น วิทยุผ่านเวบ ระบบสั่งงานด้วยเสียง และการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนแบบไร้สายผ่าน Apple Car Play และ Android Auto โดย Temerario ได้นำเสนอระบบ Human Machine Interface (HMI) ซึ่งประกอบด้วยจอแสดงผล 3 จอ ได้แก่ แผงหน้าปัดดิจิทอลขนาด 12.3 นิ้ว หน้าจอกลางขนาด 8.4 นิ้ว และจอแสดงผลของผู้โดยสารขนาด 9.1 นิ้ว มาพร้อมกราฟิครูปแบบใหม่ ซึ่งรวมถึงภาพ 3 มิติ ภาพเคลื่อนไหว วิดเจท และการออกแบบสไตล์ใหม่ที่สร้างขึ้นมาเพื่อรถยนต์รุ่นนี้โดยเฉพาะ นอกจากนี้ หน้าจอทั้ง 3 ยังควบคุมโดย “กล้องควบคุม” เพียงตัวเดียว จึงมั่นใจได้ว่าการออก แบบ การตอบสนอง และการใช้งานจะมีความสอดคล้องกัน
สำหรับแผงหน้าปัด นอกจากการออกแบบกราฟิคที่ปรับปรุงใหม่ในทุกรายละเอียดแล้ว ยังนำเสนอฟังค์ชันการปรับแต่งใหม่ๆ ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกมุมมองได้ถึง 3 แบบ ทั้ง “Dynamic” ที่มาพร้อมข้อมูลการเคลื่อนที่ของรถยนต์ “Navi” ที่แสดงแผนที่แบบเต็มหน้าจอ และ “Essential” ซึ่งจะแสดงข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการขับขี่ ระบบอินโฟเทนเมนท์ยังใช้ฟังค์ชันใหม่พร้อมตัวเลือกการปรับแต่งที่หลากหลาย เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ครบครันอย่างแท้จริง รวมถึงฟังค์ชันการปัดเลื่อนหน้าจอที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถย้ายข้อมูลที่แสดงอยู่จากหน้าจอกลางไปยังหน้าจอของผู้ขับขี่ และผู้โดยสารแต่ละคน ด้วยการปัดจอหมือนกับที่ทำในสมาร์ทโฟน
นอกจากนี้ การปรับแต่งจอแสดงผลกลางยังมีตัวเลือกในการสร้างจอเพิ่มสำหรับการจัดวางแอพพลิเคชันได้มากถึง 3 แอพพลิเคชันพร้อมกัน ช่วยให้คนขับสามารถเข้าถึงฟังค์ชันโปรดได้อย่างง่าย ดาย เช่น ระบบควบคุมอุณหภูมิ ระบบนำทาง วิทยุ และอื่นๆ อีกมากมาย และยังช่วยลดการรบกวนสมาธิในขณะขับขี่ โดยสามารถสร้างปุ่มลัดเพื่อเข้าถึงแอพพลิเคชันที่ชื่นชอบแต่ละตัวได้ เช่น ระบบควบคุมอุณหภูมิ รายชื่อโทรศัพท์ วิทยุ และระบบนำทาง
Temerario ยังเปิดตัวระบบ Lamborghini Vision Unit (LAVU) ซึ่งเป็นตัวเลือกที่เปิดใช้งาน 3 บริการออนบอร์ดรูปแบบใหม่ผ่านทางกล้อง 3 ตัว และชุดควบคุมเฉพาะ ซึ่งได้แก่บริการ Lamborghini Telemetry 2.0, Memories Recorder และ Dashcam โดยสามารถเข้าถึงแอพพลิเคชันต่างๆ ได้อย่างง่ายดายผ่านระบบอินโฟเทนเมนท์ และชุดควบคุมบนพวงมาลัย รวมถึงผ่านแอพพลิเคชัน Lamborghini Unica
ระบบ LAVU จะช่วยยกระดับประสบการณ์ “Feel like a Pilot” ให้สมจริง โดยสามารถส่งข้อมูลระยะไกลที่บันทึกข้อมูลการขับขี่บนสนามแข่งเพื่อช่วยปรับปรุงการขับให้ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยบันทึกทุกช่วงเวลาการขับที่ดีที่สุดด้วย Memories Recorder และเพิ่มความปลอดภัยผ่านทาง Dashcam
กล้องความละเอียดสูงทั้ง 3 ตัวถูกติดตั้งเพื่อจัดวางตำแหน่งทั้งห้องโดยสาร และถนน กล้องด้านหน้าติดตั้งอยู่บนแผ่นบุหลังคา และบันทึกภาพจากถนนหรือสนามแข่ง ส่วนกล้อง “Emotion” ซึ่งอยู่บนแผ่นบุหลังคาเช่นกัน จะจับภาพห้องโดยสารเพื่อบันทึกอารมณ์ต่างๆ ของผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร ในขณะที่กล้องติดผนังด้านหลังซึ่งติดอยู่กับแผงกันไฟด้านหลังเบาะนั่ง จะบันทึกภาพของพวงมา ลัย แผงหน้าปัด และกระจกบังลม
หมวด Driving Experience จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเรียกดูประสบการณ์ทั้งหมดที่บันทึกไว้กับรถของตัวเอง ผ่านระบบ LAVU ที่เก็บบันทึกข้อมูลการเดินทางระยะไกล (Remote Trip Statistics) ซึ่งจะช่วยรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับระยะทางการเดินทาง และการใช้ระบบส่งกำลังไฮบริดหลังจบทริพแต่ละครั้ง
แอพพลิเคชัน Lamborghini Unica สามารถมอบประสบการณ์แม้ในขณะที่เครื่องยนต์ยังดับอยู่ โดยผู้ใช้สมาร์ทโฟน หรือ Apple Watch สามารถตรวจสอบสถานะรถยนต์ได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งการเรียกดูข้อมูล เช่น ระดับน้ำมันเชื้อเพลิง ระดับพลังงานแบทเตอรี ระยะทาง และตำแหน่งจอดรถที่แน่นอน นอกจากนี้ แอพพลิเคชันยังสามารถใช้งานชุดคำสั่งควบคุมระยะไกล เช่น การลอค และการปลดลอคประตูได้อีกด้วย
หนึ่งในฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย และการปกป้องกันใน Temerario คือระบบ Lamborghini Connect Vehicle Tracking System (LCVTS) ซึ่งสามารถตรวจจับการใช้รถโดยไม่ได้รับอนุญาตได้อย่างแม่นยำ และทำการแจ้งเตือนเจ้าของรถผ่านแอพพลิเคชัน รวมถึงศูนย์ปฏิบัติการด้านความปลอดภัย เพื่อให้เริ่มดำเนินการตามขั้นตอนที่จำเป็นในทันที โดย Lamborghini รับประกันการรักษาความลับ และการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบรถยนต์ โดยใช้แนวทาง “ความเป็นส่วนตัว และความปลอดภัยด้วยการออกแบบ” ซึ่งรักษามาตรฐานสูงสุดตลอดอายุการใช้งานผลิตภัณฑ์
Lamborghini Telemetry 2.0
Lamborghini Telemetry 2.0 เป็นแอพพลิเคชันออนบอร์ดที่ออกแบบมาสำหรับใช้งานในสนามแข่งขัน โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมความมั่นใจ และประสิทธิภาพของผู้ขับขี่ ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถใช้สมรรถนะของ Temerario ได้อย่างเต็มที่ ด้วยอินเตอร์เฟศแบบกราฟิค และประสบการณ์ผู้ใช้ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ทั้งหมด จะทำให้ควบคุมรถยนต์ได้ง่ายดาย และรวดเร็วยิ่งขึ้น พร้อมระบบควบคุมพวงมาลัยให้เหมาะสมกับการโลดแล่นบนสนามแข่ง
ในช่วงการขับขี่ในสนาม ผู้ขับยังสามารถเรียกดูเส้นทางในสนาม และข้อมูลเกี่ยวกับเวลารอบของแต่ละส่วนได้บนจอแสดงผลแดชบอร์ด นอกจากนี้ ยังสามารถเลือกเวลาอ้างอิงเพื่อดูรายงานประสิทธิ ภาพได้ในทันที
Lamborghini Telemetry 2.0 มีข้อมูลสนามแข่งที่สำคัญของโลกมากกว่า 150 สนาม (รวมถึงสนามจำลองต่างๆ) เมื่อเปรียบเทียบกับเวอร์ชันก่อนหน้าที่มีในรุ่น Huracan STO (อูรากัน เอสทีโอ) นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลอื่นๆ เช่น แรงดันลมยาง หรือตำแหน่ง และเวลาที่ระบบไฟฟ้าเริ่มเข้ามาประสานการทำงานของเครื่องยนต์
ผู้ใช้ยังสามารถบันทึกวีดีโอประสบการณ์การขับขี่ของตนเองด้วยกล้องที่รวมอยู่ในระบบ LAVU โดยหลังจากจบรอบการขับ สามารถเรียกดูข้อมูล และวีดีโอได้โดยตรงบนหน้าจอแดชบอร์ด หรือแชร์บนแอพพลิเคชัน Unica นอกจากนั้น เพื่อการวิเคราะห์เชิงลึกยิ่งขึ้น แม้กระทั่งการเชื่อมต่อข้อมูลรถยนต์เข้ากับอัตราการเต้นของหัวใจของผู้ใช้งานผ่านการทำงานร่วมกับ Apple Watch
แอพพลิเคชัน Lamborghini Unica ยังมอบฟีเจอร์การใช้งานมากขึ้นเมื่อใช้ร่วมกับผู้ขับขี่ของ Lamborghini Squadra Corse ซึ่งจะช่วยให้สามารถวิเคราะห์การขับขี่ได้ง่ายขึ้น ผ่านการแสดงภาพแผนที่เส้นทางแบบโมดูลาร์ การกำหนดวิดีโอที่บันทึก และข้อมูลที่รวบรวมระหว่างเซสชันการขับขี่ โดยสามารถแชร์รูปภาพ และข้อมูลในวีดีโอส่วนตัวได้ด้วยโปรแกรมตัดต่อวีดีโอที่รวมอยู่ในแอพพลิ เคชัน ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกช่วงเวลาที่ต้องการเลือกดูข้อมูล เทมเพลท และวิดเจทใหม่ๆ ที่แตกต่างกันได้อย่างอิสระ
Memories Recorder
ความสนุกยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่สิ้นสุดแม้อยู่นอกช่วงเวลาการขับขี่ในสนาม โดยผู้ใช้สามารถบันทึกทุกช่วงเวลาใน Temerario ได้ด้วย Memories Recorder ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้ขับขี่บันทึกการขับขี่ได้สูงสุด 2 นาทีโดยใช้กล้องระบบ LAVU และแชร์วีดีโอผ่านแอพพลิเคชัน Unica ซึ่ง Memories Recorder มีตัวเลือกการใช้งาน และการปรับแต่งส่วนบุคคลมากมายที่ได้รับการปรับปรุงเพิ่มเติม ให้คุณสามารถเลือกเฟรมกล้อง ข้อมูลที่แสดงบนอินเตอร์เฟศแบบกราฟิค และฟอร์แมทวีดีโอ
Dashcam
ระบบ LAVU ยังรองรับการใช้งานแอพพลิเคชัน Dashcam ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ กล้องทั้ง 3 ตัวมีระบบเฝ้าระวังต่อเนื่องที่มีประสิทธิภาพ และในกรณีที่เกิดอุบัติ เหตุ หรือกรณีฉุกเฉิน กล้องจะบันทึกวีดีโอความยาว 1 นาทีให้โดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ ยังสามารถเรียกดูภาพได้สูงสุด 40 วินาทีก่อนช่วงเวลาการชน หรือการหลบหลีก และยังสามารถรับชมวีดีโอได้ทั้งบนระบบอินโฟเทนเมนท์ และจากแอพพลิเคชัน Unica
ยางรถ
ในฐานะพันธมิตรระยะยาวของ Lamborghini และถือเป็นพันธมิตรยางแต่เพียงผู้เดียวของ Lamborghini Temerario ทำให้ Bridgestone ผู้นำระดับโลกในด้านยางระดับพรีเมียม และนวัตกรรมการขับเคลื่อนที่ยั่งยืน ได้พัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์ยางใหม่ทั้งหมด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของซูเพอร์คาร์ทั้งใน และนอกสนามแข่ง และเปี่ยมประสิทธิภาพตลอดทั้งปี พร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้ขับขี่ได้ทุกวัน
Bridgestone ได้หันมาใช้ยางในซีรีย์ Potenza อันเป็นเอกลักษณ์สำหรับการขับขี่บนถนน และในสนาม โดยนำเสนอยาง Potenza Sport และ Potenza Race ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ ซึ่งสำหรับ Bridgestone Potenza Sport ที่สั่งทำพิเศษสำหรับใช้ในการพัฒนายางที่เพิ่มการควบคุมบนถนนแห้ง การควบคุมบนถนนเปียก และสมรรถนะที่ความเร็วสูง เพื่อยกระดับการขับขี่แนวสปอร์ทให้ถึงขีดสุด
นอกเหนือจากการเป็นยางติดรถที่มีมาตรฐานสมรรถนะสูงพิเศษเหล่านี้ Bridgestone ยังได้ออกแบบให้ Potenza Sport ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐาน Run-Flat ช่วยให้ผู้ขับขี่ยังสามารถควบคุมรถได้แม้ยางรั่ว โดยขับต่อไปได้อย่างปลอดภัยเป็นระยะทางกว่า 80 กม. ที่ความเร็วสูงสุด 80 กม./ชม. Bridgestone ยังได้นำเทคโนโลยีนี้มาใช้ใน Temerario ในรูปแบบของยางรถยนต์ที่มอบการยึดเกาะที่ดีขึ้น สร้างการยึดเกาะพื้นผิวที่เหนือกว่าและความสบายในการขับขี่บนถนนแบบทุกสภาพผิว เพื่อความปลอดภัย และความอุ่นใจในทุกสภาวะ
นอกจากนี้ Bridgestone ยังได้ออกแบบยางสำหรับการแข่งขันโดยเฉพาะ เพื่อปลดปล่อยสมรรถนะอันน่าทึ่งของซูเพอร์คาร์รุ่นนี้ โดยยาง Bridgestone Potenza Race สามารถให้การยึดเกาะที่ดีเยี่ยม การควบคุมรถที่ดีขึ้น และประสิทธิภาพที่ยาวนานสำหรับผู้ชื่นชอบการขับขี่ในสนาม ซึ่งประสิทธิภาพการยึดเกาะระดับสูงนี้เกิดจากการใช้ส่วนผสมเฉพาะที่พัฒนาขึ้นสำหรับยางสนามแข่ง หลังจากนั้นจึงนำไปใช้กับการขับขี่ทั่วไปบนท้องถนน
Bridgestone ยังเติมเต็มกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองทุกข้อจำกัด และความต้องการของผู้ขับขี่ โดยได้ออกแบบยางสำหรับฤดูหนาว รุ่น Blizzak LM005 ซึ่งช่วยให้ซูเพอร์คาร์สามารถมอบประสิทธิ ภาพระดับสูงสุด แม้อยู่ในช่วงฤดูหนาวที่ท้าทาย
ยางที่ออกแบบมาโดยเฉพาะแต่ละเส้นล้วนได้รับการพัฒนา และผลิตในยุโรป โดยมีจำหน่ายใน 8 ขนาด หน้ายาง และขนาดเส้นรอบวง 20 นิ้ว และ 21 นิ้ว โดยหลังจากรุ่น Huracan STO, Tecnica (เทคนิคา), Sterrato (สเตอร์ราโต) , Huracan EVO และ V12 HPEV Revuelto โดย Temerario เป็นซูเพอร์สปอร์ทคาร์ Lamborghini รุ่นล่าสุดที่ติดตั้งยาง Bridgestone เป็นอุปกรณ์มาตรฐานจากโรงงาน