ธุรกิจ
ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์
MG กางแผนขึ้น ทอป 5
บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์–ซีพี จำกัด และบริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์ MG ในประเทศไทย เผยทิศทางและแผนการดำเนินธุรกิจในไทย ตั้งเป้าปีนี้ครองส่วนแบ่งทางการตลาด 5 % และมุ่งสู่ Top5 ในตลาดยานยนต์ไทย ภายในทศวรรษที่ 2 ผ่าน 4 กลยุทธ์หลัก เตรียมส่งรถยนต์ไฟฟ้า และไฮบริด รุ่นใหม่ เพิ่มเติมพอร์ทโฟลิโอภายในปี 2026
MG ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงสำคัญในวงการยานยนต์ไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยการนำเสนอยนตรกรรมคุณภาพสูงครอบคลุมทุกรูปแบบการขับเคลื่อนในหลากหลายเซกเมนท์ ด้วยฟีเจอร์ที่ครบถ้วน และราคาที่เข้าถึงง่าย ด้วยยอดขายสะสม ณ ปัจจุบันกว่า 220,000 คัน และมียอดการส่งออกรถยนต์จากฐานการผลิตในไทยไปยังภูมิภาคอาเซียน มากกว่า 32,000 คัน ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสำเร็จที่ได้รับความเชื่อมั่นไม่เพียงแค่ตลาดภายในประเทศ แต่ยังขยายไปสู่การเติบโตในระดับภูมิภาค ในทศวรรษที่ 2 MG ยังคงมุ่งมั่นพัฒนา และนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูง เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดย MG มีแผนเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ และรถไฮบริด เพิ่มเติมภายในปี 2026 เริ่มต้นด้วย New MG IM6 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นเรือธง ที่จะเติมเต็มกลุ่มผลิตภัณฑ์พรีเมียมอีวี และ B-SUV ไฟฟ้าล้วน อย่าง New MG S5 EV ที่จะเปิดตัวในงาน บางกอก อินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 พร้อมเสริมทัพแผนการขยายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มพลังงานทางเลือกตามเทรนด์โลก และมุ่งขับเคลื่อนธุรกิจผ่าน 4 กลยุทธ์หลัก ได้แก่
1) การตอกย้ำความเป็นผู้บุกเบิกด้านยานยนต์ไฟฟ้าในไทย ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง
ภายในปี 2026 เตรียมขยายไลน์อัพรถไฟฟ้าใหม่ ทั้ง SUV และ MPV นอกจากนี้ ยังเป็นแบรนด์แรก และแบรนด์เดียวที่มอบการรับประกันคุณภาพแบทเตอรี มอเตอร์ขับเคลื่อน และชุดควบคุมมอเตอร์ ตลอดอายุการใช้งาน (Lifetime Warranty)
2) การพัฒนายานยนต์พลังงานทางเลือก เพื่อเสริมประสิทธิภาพ และยกระดับประสบการณ์การขับขี่
เดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีไฮบริด ภายใต้แนวคิด “Global Quality, Local Relevance” ด้วยการนำเทคโนโลยีไฮบริด เจเนอเรชันที่ 2 จาก SAIC Motor Corporation ขยายไลน์อัพรถยนต์ไฮบริดอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนเปิดตัวรุ่นใหม่ภายในปี 2026 เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ากลุ่มครอบครัว และกลุ่มที่มองหาความประหยัด
3) สร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าในทุกด้าน
พัฒนา E-Workshop ระบบบริการดิจิทอล ที่ให้ลูกค้าติดตามงานซ่อมได้แบบเรียลไทม์ ตั้งเป้าอัตราการจัดหาอะไหล่ 99 % เพื่อให้บริการได้รวดเร็ว ลดระยะเวลารอคอย พร้อมเสริมด้วยบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง และการดูแลแบบใส่ใจรายบุคคล
4) การขับเคลื่อนแบรนด์สู่ความยั่งยืน พร้อมเคียงข้างสังคมไทย
บูรณาการความร่วมมือกับทั้งลูกค้า พาร์ทเนอร์ และหน่วยงานต่างๆ เพื่อพัฒนาองค์กร และสังคมไปพร้อมกัน สานต่อกิจกรรมเพื่อสังคม มุ่งถ่ายทอดทักษะด้านนวัตกรรมในการพัฒนาเทคโนโลยี NEV ด้วยเผยการขยายความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาชั้นนำทั่วประเทศพัฒนาทักษะ และสร้างบุคลากรเข้าสู่ตลาดแรงงานอย่างมีคุณภาพ
พร้อมกันนี้ เปิดตัว New MG IM6 รถยนต์ไฟฟ้าพรีเมียมรุ่นใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อมกับแนวคิด “ขับเคลื่อนตัวตน บนความเป็นตัวเอง” (I‘m Who I’m) โดยนำเสนอประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือระดับ เติมเต็มทั้งความหรูหรา และการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่มองหารถเอสยูวีคูเปไฟฟ้า MG IM6 ราคา 1,399,900-1,799,900 บาท
ซู๋ว์ หยิ่น กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด และรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์–ซีพี จำกัด กล่าวว่าในปีที่ผ่านมา MG เผชิญกับความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เรามุ่งมั่นที่จะเรียนรู้ และปรับตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในตลาดที่มีการแข่งขันสูงขึ้น โดยการพัฒนาแบรนด์ในทุกมิติ ทั้งในด้านประสิทธิภาพการผลิต การขยายเครือข่ายบริการหลังการขาย และการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานต่างๆ
สำหรับการเปิดตัว และประกาศราคา New MG IM6 ครั้งนี้ เรามุ่งหวังที่จะสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในไทย และยกระดับประสบการณ์การขับขี่ของผู้บริโภค ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการเติบโตของแบรนด์ นอกจากนี้ ยังคงมุ่งมั่นที่จะขยายความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในสังคมไทย เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน ผ่านการนำนวัตกรรม และเทคโนโลยีใหม่ๆ มาตอบสนองความต้องการของลูกค้า และขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสู่ระดับสากล โดยในปีนี้ตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดเป็น 5 % พร้อมเดินหน้าแผนธุรกิจเพื่อผลักดันสู่หมุดหมายใหญ่ในการขึ้นเป็นแบรนด์ “Top5” ภายในทศวรรษที่ 2 ของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย
...................................................................
Mitsubishi เปิดตัว All-New Xforce HEV
มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย)ฯ เปิดตัว “รถยนต์ Mitsubishi All-New Xforce HEV (มิตซูบิชิ เอกซ์ฟอร์ศ เอชอีวี) ใหม่” รถยนต์ B-SUV ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ
เรียวอิจิ อินาบะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัดกล่าวว่า All-New Mitsubishi XForce HEV แนะนำ สู่ตลาดประเทศไทยเป็นครั้งแรกรถคอมแพคท์เอสยูวีรุ่นใหม่ล่าสุด โดดเด่นด้วยดีไซจ์น เร้าใจกับสมรรถนะ ครบครันด้วยความสะดวกสบาย และเพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย จากอีกขั้นของการพัฒนา Mitsubishi e:MOTION ที่ผสาน 3 เทคโนโลยี เพื่อยกระดับประสบการณ์การขับขี่ให้สมบูรณ์แบบ เพื่อสร้างความมั่นใจในคุณภาพที่ยอดเยี่ยม All-New Mitsubishi XForce HEV จะผลิตที่โรงงานมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย และจัดจำหน่ายผ่านทางเครือข่ายผู้จำหน่ายที่ได้รับแต่งตั้งอย่างเป็นทางการกว่า 190 แห่งทั่วประเทศ เปิดตัวครั้งแรกที่ประเทศอินโดนีเซียในเดือนสิงหาคม 2566 ในรุ่นเครื่องยนต์สันดาปภายใน และขยายตลาดสู่เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ละตินอเมริกาแอฟริกา ตะวันออกกลาง และภูมิภาคอื่นๆ ในปี 2567 มีความสำคัญในฐานะรถยนต์เชิงกลยุทธ์ระดับโลกของ Mitsubishi Motors
All-New Mitsubishi XForce HEV จะมาเสริมทัพกลุ่มรถฟูลล์ไฮบริดของMitsubishi Motors ต่อยอดความสำเร็จจาก Mitsubishi Xpander HEV (มิตซูบิชิเอกซ์แพนเดอร์ เอชอีวี) และ Mitsubishi Xpander Cross HEV (มิตซูบิชิ เอกซ์แพนเดอร์ ครอสส์ เอชอีวี) ที่เปิดตัวในประเทศไทย เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 รถคอมแพคท์เอสยูวีรุ่นใหม่นี้ เป็นรถที่จะสร้างความน่าดึงดูดใจ มาพร้อมระบบขับเคลื่อนฟูลล์ไฮบริด เจเนอเรชันใหม่ล่าสุด ซึ่งได้รับการถ่ายทอด และพัฒนาจากระบบขับเคลื่อนแบบพลัก-อิน ไฮบริด (PHEV) โดดเด่นด้วยอัตราการประหยัดน้ำมัน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และอัตราเร่ง พร้อมโหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ (7-Drive Mode) ผสานการทำงานระบบควบคุมการขับเคลื่อน และสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control-AYC) แบบ All-Wheel Control ที่จะช่วยคำนวณการส่งกำลังจากระบบขับเคลื่อน และแรงเบรคลงสู่แต่ละล้อ เพื่อให้ล้อทั้งคู่หน้า-คู่หลัง ทำงานอย่างสัมพันธ์กัน ให้ประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษาสมดุลของตัวรถขณะเข้าโค้ง
“นี่เป็นครั้งแรกที่ All-New Mitsubishi XForce HEV ได้รับการติดตั้งระบบขับเคลื่อนฟูลล์ไฮบริด รุ่นใหม่ล่าสุดของเรา และเราภาคภูมิใจ ที่รถรุ่นนี้ ผลิตที่ประเทศไทย ณโรงงานแหลมฉบัง เราใช้เวลาหลายเดือน ในการทดสอบรวมระยะทางกว่า 100,000 กิโลเมตร ทั่วประเทศ ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา เพื่อประเมินความทนทาน และสมรรถนะในการขับขี่ ทีมทดสอบได้รวบรวมข้อมูล และความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่างๆ ซึ่งวิศวกรฝ่ายวิจัย และพัฒนาของเรา ได้นำไปใช้ในการปรับแต่ง และพัฒนารถรุ่นนี้ให้ดียิ่งขึ้นขั้นตอนสุดท้าย คือ การทดสอบความทนทานของรถ และปรับแต่งระบบกันสะเทือนที่ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษ เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานบนสภาพถนนที่หลากหลาย สำหรับ Mitsubishi Motors เราให้ความสำคัญสูงสุดกับคุณภาพ และประสบการณ์การขับขี่ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า All-New Mitsubishi XForce HEV จะเป็นโมเดลที่สร้างความตื่นเต้น และประทับใจ พร้อมกับได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากลูกค้าชาวไทย”
All-New Mitsubishi XForce HEV มีจำหน่าย 3 รุ่นย่อย ได้แก่
• รุ่น Ignite ราคาเริ่มต้น 899,000 บาท
มีสีภายนอกให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีขาวมุก White Diamond, สีเงิน Blade Silver และสีเทา Graphite Grey
• รุ่น Ultimate ราคาเริ่มต้น 1,039,000 บาท
มีสีภายนอกให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีขาวมุก White Diamond หลังคาดำ, สีเงินBlade Silver, สีเทา Graphite Gray และสีดำ Jet Black Mica
• รุ่น Ultimate X ราคาเริ่มต้น 1,089,000 บาท
มีสีภายนอกให้เลือกทั้งหมด 5 สี ได้แก่ สีขาวมุก White Diamond หลังคาดำ, สีเทาGraphite Gray หลังคาดำ, สีเหลือง Energetic Yellow หลังคาดำ, สีแดง Spirit Red หลังคาดำ และสีดำ Jet Black Mica
All-New Mitsubishi XForce HEV มาพร้อมการรับประกันระบบไฮบริด เป็นระยะเวลา 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง และรับประกันแบทเตอรีไฮบริด นาน 10 ปี ไม่จำกัดระยะทาง
พิเศษสำหรับลูกค้าที่ตัดสินใจเป็นเจ้าของ All-New Mitsubishi XForce HEV โดยจองภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 และรับรถภายใน 31 กรกฎาคม 2568 จะได้รับสิทธิพิเศษภายใต้แคมเปญ “Early Bird Offers เฉพาะช่วงเปิดตัวเท่านั้น” โดยลูกค้าจะได้รับบัตรของขวัญที่พักโรงแรม และรีสอร์ทในเครือเซนทารา มูลค่า 10,000 บาทและรับฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง เป็นเวลา 1 ปี พร้อมการรับประกันคุณภาพรถยนต์ 5 ปีหรือ 100,000 กม. (แล้วแต่ระยะใดจะถึงก่อน) ฟรีค่าแรงเชคระยะนาน 5 ปี หรือ100,000 กม. (แล้วแต่ระยะใดจะถึงก่อน)
ข้อเสนอพิเศษที่สามารถเลือกรับอัตราดอกเบี้ยต่ำเพียง 0.99 % (เมื่อดาวน์ 25 % และผ่อนชำระ 48 เดือน) กับสถาบันการเงินที่กำหนด และสามารถเลือกรับแพคเกจบำรุงรักษา 5 ปี หรือ 100,000 กม. พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง 5 ปี และสำหรับลูกค้าครอบครัว Mitsubishi หรือลูกค้าเก่า Mitsubishi รับส่วนลดเพิ่มสูงสุดถึง 30,000 บาท ผ่านแอพพลิเคชัน M-Drive
..................................................................................................................
กลุ่มชูเกียรติยนต์ ทุ่ม 100 ล้าน เปิดโชว์รูม Mazda และศูนย์บริการแห่งใหม่
ชูเกียรติยนต์ ผู้จำหน่ายรถยนต์ Mazda (มาซดา) ภาคใต้ที่ดำเนินธุรกิจร่วมกันมากกว่า 40 ปี ทุ่มงบประมาณกว่า 100 ล้านบาท เนรมิตพื้นที่บนทำเลศักยภาพขนาดใหญ่ เปิดโชว์รูม และศูนย์บริการแห่งใหม่ สาขาจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมส่งมอบงานขาย และงานบริการที่ครอบคลุมให้แก่ลูกค้าในพื้นที่
ธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ประธานกรรมการบริหาร และซีอีโอ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การขยายเครือข่ายโชว์รูม และศูนย์บริการ Mazda ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ คือ พันธกิจสำคัญของ Mazda เพื่อส่งมอบประสบการณ์ด้านบริการที่เป็นเลิศให้แก่ลูกค้าทุกคน ภายใต้กลยุทธ์ที่สำคัญของ Mazda ตามแนวทาง Brand Value Management และ Retention Business Model เพื่อส่งมอบคุณค่าของแบรนด์ให้แก่ลูกค้ารู้สึกภาคภูมิใจ โดยเฉพาะการสร้างความรัก และความผูกพันกับลูกค้า และการเอาใจใส่ดูแลลูกค้าเสมือนคนในครอบครัว
Mazda ร่วมกับผู้จำหน่าย กลุ่มบริษัทชูเกียรติยนต์หาดใหญ่ ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง และมีประวัติการทำงานร่วมกับแบรนด์ Mazda มาอย่างยาวนาน เปิดโชว์รูม และศูนย์บริการแห่งใหม่เพิ่มเติมในจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีประชากรมากที่สุดในแถบภาคใต้ และมีปริมาณลูกค้า Mazda อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ได้ทุ่มเงินลงทุนกว่า 100 ล้านบาท สร้างโชว์รูม และศูนย์บริการบนพื้นที่กว่า 4 ไร่ เพื่อรองรับงานบริการด้านการขาย และการบริการหลังการขาย ซึ่ง Mazda มั่นใจอย่างยิ่งว่าการเปิดโชว์รูม และศูนย์บริการแห่งใหม่นี้จะสามารถส่งมอบประสบการณ์บริ การที่ดีที่สุด และรองรับการเข้ารับการบริการจากลูกค้า Mazda ในแถบภาคใต้ และพื้นที่ใกล้เคียงได้เป็นอย่างดี
“ปัจจุบัน Mazda อยู่ในช่วงของการปรับโครงสร้าง และพัฒนาเครือข่ายผู้จำหน่าย เพื่อให้สอดคล้อง และสนับสนุนแผนธุรกิจในอนาคต ทั้งในเรื่องของการสร้างคุณค่าของแบรนด์ และผลิตภัณฑ์ใหม่ในอนาคตอันใกล้ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าลูกค้าจะได้รับประสบการณ์ที่สะดวกสบาย และมีความต่อเนื่องไม่ว่าจะไปที่โชว์รูมในพื้นที่ไหนก็ตาม โดย Mazda ได้มอบนโยบายให้แก่ผู้จำหน่ายที่มีศักยภาพสูง สามารถขยายพื้นที่ความรับผิดชอบในการให้บริการที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยได้มีการกำหนดพื้นที่ PMA ใหม่ ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวจะช่วยให้ผู้จำหน่ายสามารถขยายพื้นที่การบริการออกไปยังพื้นที่ใกล้เคียง โดยมีเป้าหมายสูงสุด คือ การสร้างโมเดลธุรกิจของผู้จำหน่ายให้มีผลกำไรที่ยั่งยืน และครอบคลุมครบทุกฟังค์ชัน ทั้งการขาย และการบริการทั่วทุกภูมิภาค”
สิทธิพร ปิติเจริญกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชูเกียรติยนต์ หาดใหญ่ จำกัด กล่าวว่า กลุ่มบริษัทชูเกียรติยนต์ได้เริ่มดำเนินธุรกิจกับ Mazda มาตั้งแต่ปี 2527 โดยเปิดสาขาแรกที่จังหวัดปัตตานี และได้ขยายการลงทุนเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องไปยังจังหวัดอื่นๆ ได้แก่ สงขลา นราธิวาส และล่าสุด นครศรีธรรมราช ด้วยปณิธานในการทำธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ คือ มุ่งมั่นในการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่ สุดให้แก่ลูกค้า และพัฒนากลายเป็นความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน โดยเฉพาะการสร้างความพึงพอใจสูงสุดในทุกขั้นตอนของการบริการ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของ มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย)ฯ เพราะฉะ นั้นเมื่อลูกค้าเข้ามารับบริการไม่ว่าจะเป็นสาขาไหนก็ตาม ลูกค้าทุกคนจะได้รับการต้อนรับ และประสบการณ์บนมาตรฐานเดียวกัน จากแนวคิดที่มุ่งเน้นว่าลูกค้า คือ หัวใจสำคัญของงานบริการ จึงส่งผลให้ กลุ่มบริษัทชูเกียรติยนต์หาดใหญ่ เป็นผู้จำหน่าย Mazda ที่สามารถคว้ารางวัลผู้จำหน่ายยอดเยี่ยม ประจำปี 2558, 2559, และ 2563 รวมถึงรางวัลฝ่ายขาย และฝ่ายบริการหลังการขายยอดเยี่ยมประจำปี 2558-2564 ถึง 7 ปี ติดต่อกัน
“แม้ว่าสถานการณ์ตลาดรถยนต์ในปัจจุบันจะมีความท้าทายอย่างมาก แต่สิ่งที่ Mazda ยังคงให้ความมั่นใจกับผู้ลงทุน คือ ความมุ่งมั่นที่จะลงทุนเพิ่มเติมในประเทศไทย พัฒนาแบรนด์อย่างต่อเนื่อง และมีแผนในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อีกหลายรุ่นในอนาคตอันใกล้ พร้อมกันนี้ กลุ่มบริษัทชูเกียรติยนต์ ยังเชื่อมั่นในปรัชญาการดำเนินธุรกิจของ Mazda ที่ให้ความสำคัญกับมนุษย์เป็นศูนย์กลางในการพัฒนา และออกแบบรถยนต์ ทั้งในด้านความสะดวกสบาย ความปลอดภัย และความรู้สึกของผู้ขับขี่ รวมถึงมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์เทคโนโลยียานยนต์ที่ทันสมัย เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริ โภคที่เปลี่ยนแปลงไป สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของ Mazda ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การผลิตรถยนต์ แต่ยังรวมถึงการสร้างความรักความผูกพันที่ดีกับลูกค้า การให้บริการที่เป็นเลิศ และการสร้างคุณค่าให้แก่สังคมโดยรวม เพราะ "ความสุขที่มากกว่าการขับขี่" จะนำไปสู่ความพึงพอใจ และความภักดีของลูกค้าในระยะยาว เราจึงได้ขยายพื้นที่การให้บริการเพิ่มขึ้นเป็น 4 จังหวัดในปัจจุบัน”
สำหรับโชว์รูม และศูนย์บริการมาสด้าชูเกียรติยนต์ สาขานครศรีธรรมราช ตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาด 4 ไร่ บริเวณสี่แยกเบญจม ใกล้แหล่งชุมชน และไฮเพอร์ซูเพอร์มาร์เกท ประกอบไปด้วยโชว์รูมที่มีพื้นที่กว้างขวาง สามารถจัดแสดงรถ Mazda ได้อย่างครบถ้วนทุกรุ่น ทำให้ลูกค้าที่สนใจสามารถเข้าชมรถคันจริงได้ นอกจากนั้น ยังพร้อมสำหรับให้การบริการหลังการขาย ด้วยจำนวนช่องซ่อมมากถึง 17 ช่องซ่อม สามารถรองรับรถยนต์ที่มาใช้บริการได้สูงสุด 50 คัน/วัน หรือ มากกกว่า 1,200 คัน/เดือน รวมถึงมีทีมงาน และช่างซ่อมบำรุงที่มีทักษะความเชี่ยวชาญสูง ผ่านการฝึกอบรม และรับรองมาตร ฐานจาก มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย)ฯ เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกสบายความครบครันทุกองค์ประกอบ จึงมั่นใจว่า สาขานครศรีธรรมราช จะสามารถสร้างประสบการณ์ที่ดีในการบริการให้แก่ลูกค้าได้เป็นอย่างดี
..................................................................................................................
เอเอเอสฯ เปิดรับจอง Bentayga Atelier Edition
Bentley Bangkok โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้า และตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ Bentley (เบนท์ลีย์) อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เปิดรับจอง Bentayga Atelier Edition (เบนเทย์กา อเทลิเยร์ เอดิชัน) รุ่นย่อยใหม่ที่นำเสนอการผสมผสานที่น่าดึงดูดระหว่างความพิเศษเฉพาะรุ่น การออกแบบที่ร่วมสมัย และความหรูหรา Atelier Edition มาพร้อมกับตัวเลือกชุดเฉดสี Mulliner แบบดั้งเดิม 5 เฉดสี และเฉดสีใหม่อีกเฉดสี พร้อมด้วยการตกแต่งรายละเอียดภายนอกที่เป็นเอกลักษณ์ Atelier Edition รุ่นใหม่เปิดให้ครอบครองในรุ่น Bentayga V6 (Hybrid) ราคาเริ่มต้น 16.4 ล้านบาท และในรุ่นฐานล้อยาว Bentayga Extended Wheelbase V8 (ICE) ราคาเริ่มต้น 24.9 ล้านบาท
Atelier Edition มาพร้อมกับเฉดสีดั้งเดิมจาก Mulliner ที่ประกอบด้วย 5 เฉดสีสำหรับการรังสรรค์ภายนอก ได้แก่ เฉดสีเทา Light Onyx, เฉดสีแดง Rubino, เฉดสีเบจ Porcelain, เฉดสีเงิน Quartzite และเฉดสีเขียว Light Emerald พร้อมด้วยเฉดสีดำ Obsidian Crystal ใหม่เพื่อสร้างชุดสีที่คัดสรรมาแล้วทั้งหมด 6 เฉดสี โดยเฉดสีแดง Rubino ได้เคยสร้างความตื่นตาตื่นใจให้แก่ฝูงชนในงาน Frankfurt Motor Show ด้วยการเปิดตัวรุ่น Continental GT เจเนอเรชันที่ 3 และเฉดสีเบจ Porcelain ที่สวย และสง่างามกับการเปิดตัว Continental GT Mulliner และเฉดสีเงิน Quartzite ที่เน้นรูปลักษณ์ความสปอร์ท และสมรรถนะในรุ่น S
นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถเลือกรังสรรค์สีตัวถังได้อย่างหลากหลายตามความต้องการ พร้อมด้วยตัวเลือกยอดนิยมอย่างไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร (Bentley Mood Lighting), เทคโนโล ยีช่วยเหลือผู้ขับขี่ Bentley Dynamic Ride, การเย็บเบาะโดยสารแบบ Harmony Diamond ซึ่งเป็นตัวเลือกการเย็บเบาะโดยสารที่เน้นความสบายมากที่สุด และคุณสมบัติ Comfort Specification สำหรับเบาะโดยสารทั้ง 5 ที่นั่ง
รูปลักษณ์ที่โดดเด่น และละเอียดอ่อนกับเฉดสีเงิน Hallmark Satin
รูปลักษณ์ภายนอกของ Bentayga Atelier Edition โดดเด่นด้วยความสง่างามอันเป็นเอกลักษณ์จากการผสมผสานรายละเอียดอันประณีตเข้าไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นกระจังหน้าโครเมียมแนวตั้งด้านนอก และกระจังหน้าแบบเมทริกซ์เฉดสีเงิน Hallmark Satin ด้านใน นอกจากนี้ ยังมีการตกแต่งด้วยเฉดสีเงิน Hallmark Satin บนบังโคลนกันชนหน้า และหลัง ในส่วนของล้ออัลลอย 10 ก้านขนาด 22 นิ้ว มีการตกแต่งแบบขัดเงาด้วยเฉดสีซาติน และเฉดสีเทา Tungsten Satin พร้อมด้วยช่องระบายอากาศ Atelier Edition ในเฉดสีเทา Tungsten Satin
ห้องโดยสารที่สวยงาม หรูหรา และเรียบง่าย
เมื่อเปิดประตูห้องโดยสาร ผู้ครอบครองจะได้พบกับไฟต้อนรับแบบเคลื่อนไหวที่ส่องมายังพื้นด้านล่าง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของรุ่น Atelier Edition และกาบบันได Atelier Edition ที่มีการสลักคำว่า “Hand Crafted in Crewe, England” พร้อมสัมผัสความงดงามที่ได้ถูกถ่ายทอดได้อย่างประณีตภายในห้องโดยสารอย่างการเย็บแบบ Harmony Diamond โดยการเย็บตะเข็บลวดลายเพชรตัดกันแบบเดี่ยวบนเบาะโดยสารเพื่อให้เข้ากับเฉดสีของหนัง พร้อมด้วยการเล่นเฉดสีแบบตัดกันรอบเบาะโดยสาร และขอบพนักพิงศีรษะ และการตกแต่งด้วยป้ายชื่อ Atelier Edition ขนาดเล็กบริเวณข้างพนักพิงศีรษะที่จะช่วยเติมเต็มความสมบูรณ์แบบให้แก่สัมผัสแห่งความหรูหรา
เหนือกว่าด้วยคุณสมบัติเฉพาะจาก Mulliner
Atelier Edition มาพร้อมกับคุณสมบัติเฉพาะจาก Mulliner ที่ติดตั้งเป็นชุดแต่งมาตรฐาน อาทิ มุดล้ออัลลอยโลโกรูปตัว "B" แบบปรับระดับ ฝาปิดช่องเติมน้ำมันเชื้อเพลิงโลโก Bentley ไฟสร้างบรร ยากาศภายในห้องโดยสาร ไฟรูปทรงเพชรตกแต่งบริเวณประตูห้องโดยสาร และคุณสมบัติ Comfort Specification สำหรับเบาะโดยสารทั้ง 5 ที่นั่ง พร้อมมอบการขับขี่อย่างมั่นใจไปกับเทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่ Bentley Dynamic Ride ที่มากับระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อในรุ่นฐานล้อยาว Bentayga Extended Wheelbase V8 (ICE)
Bentayga Atelier Edition ได้แสดงให้เห็นถึงความประณีต และความพิถีพิถัน ความหรูหราแบบร่วมสมัย และสมรรถนะในการขับขี่ที่นุ่มนวลที่จะมอบประสบการณ์การเดินทางแบบเหนือระดับให้แก่ทั้งผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร
ข้อเสนอที่ดีที่สุดในรุ่น Bentayga V6 (Hybrid) ราคาเริ่มต้น 16.4 ล้านบาท และในรุ่นฐานล้อยาว Bentayga Extended Wheelbase V8 (ICE) ราคาเริ่มต้น 24.9 ล้านบาท พร้อมรับเอกสิทธิ์พิเศษที่เหนือกว่าด้วยการรับประกันมาตรฐานโรงงานผู้ผลิตกับการรับประกันแบทเตอรีไฮบริดที่ "นานที่สุด" ถึง 8 ปี หรือ 160,000 กม. (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) สำหรับเครื่องยนต์รุ่น V6 Hybrid การรับประ กันโดยโรงงานผู้ผลิต และบริการผู้ช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชม. (24-hour Bentley Roadside Assistance) นาน 3 ปีเต็ม พร้อมรับสิทธิ์การต่อการรับประกันโดยโรงงานผู้ผลิต (Bentley Exten ded Warranty) สูงสุด 4 ปี
..................................................................................................................
Omoda & Jaecoo เชิญลูกค้าจองสิทธิ์ Jaecoo 7 SHS
Omoda & Jaecoo (โอโมดา แอนด์ เจคู) ภายใต้บริษัท Chery Automobile ผู้นำเทคโนโลยียานยนต์ชั้นนำระดับโลก เปิดจองสิทธิ์ Jaecoo 7 SHS (Super Hybrid System) ยนตรกรรม Plug-in Hybrid รุ่นใหม่ หลังประสบความสำเร็จในการทดสอบระยะไกลสุดท้าทายที่ประเทศแอฟริกาใต้ ที่เป็นบทพิสูจน์ประสิทธิภาพอันยอดเยี่ยม และความทนทานของ Jaecoo 7 SHS ในฐานะ “Super HEV+EV” ของ Omoda & Jaecoo ในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย โดยเปิดให้จองล่วงหน้าสำหรับลูกค้ากลุ่มแรกในประเทศไทย พร้อมข้อเสนอราคาสุดพิเศษ และรับนาฬิกา Jaecoo X Garmin Forerunner 165 มูลค่า 9,900 บาท ตั้งแต่วันนี้-23 มีนาคม 2568
Jaecoo 7 SHS (Super Hybrid System) รถยนต์ SUV ที่สะท้อนการออกแบบลายเส้นที่มีอัตลักษณ์เฉพาะ เรียบหรู คลาสสิคผสมผสานกันอย่างลงตัว และยังโดดเด่นด้วยนวัตกรรม Super HEV+ EV ล้ำสมัยจาก Chery Automobile เจเนอเรชันที่ 3 ที่ปรับการจ่ายเชื้อเพลิงแบบเรียลไทม์ตามสภาพการขับขี่ พร้อมระบบระบายความร้อนประสิทธิภาพสูง (Thermal Efficiency) ช่วยรักษาสมรรถนะแม้ในสภาวะที่ทำงานหนัก เมื่อผสานกับเครื่องยนต์ 1.5TDGI เจเนอเรชันที่ 5 และระบบ Super Electric Hybrid DHT ทำให้ขับขี่นุ่มนวล ไร้รอยต่อ สามารถขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วนได้ที่ความเร็วสูงสุด 120 กม./ชม. เมื่อแบทเตอรีมากกว่า 25 % และมีระยะทางการขับขี่รวมได้ถึง 1,300 กม. (NEDC) ในด้านสมรรถนะการขับเคลื่อน Jaecoo 7 SHS มาพร้อมพละกำลังสูงสุดถึง 347 แรงม้า ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังเจเนอเรชันใหม่ ผสานเทคโนโลยีการจัดการพลังงานอัจฉริยะ ส่งผลให้โดดเด่นทั้งด้านสมรรถนะการขับขี่ และอัตราการประหยัดน้ำมันที่ยอดเยี่ยม มากกว่า 21.28 กม./ลิตร ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยานยนต์ยุคใหม่ ที่มองหาความคุ้มค่า และความใส่ใจด้านพลังงานในทุกการเดินทาง
ด้านความปลอดภัย มาพร้อมระบบแบทเตอรีที่มีการป้องกันรอบด้าน ทั้งความร้อน แรงกระแทก และกันน้ำ พร้อมระบบตัดไฟภายใน 0.002 วินาทีหลังเกิดการชน และระบบรักษาความปลอดภัยแบบ เรียลไทม์ ให้ระยะการขับขี่ด้วยไฟฟ้าล้วนได้ไกลถึง 106 กม. (NEDC) และยังสามารถใช้เป็นแหล่งจ่ายไฟฟ้าฉุกเฉินด้วยความสามารถปล่อยประจุไฟฟ้าภายนอกได้ถึง 3.3 กิโลวัตต์
เปิดจองสิทธิ์ Jaecoo 7 SHS (Super Hybrid System) ตั้งแต่วันนี้ผ่านผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ 25 สาขา ทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 1-23 มีนาคม 2568 นี้เท่านั้
..................................................................................................................
5 ฟีเจอร์เด่น ของ New MG S5 EV
บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด และบริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิต และผู้จำหน่ายรถยนต์ MG ในประเทศไทย เตรียมสร้างความตื่นเต้นครั้งใหม่ให้แก่วงการยานยนต์ไฟฟ้า ด้วยการสร้างภาพจำให้ New MG S5 EV (เอมจี เอส 5 อีวี) ใหม่ รถ B-SUV ไฟฟ้าที่เตรียมเปิดตัวในประเทศไทยเร็วๆ นี้ กับการเป็นโมเดลที่มอบ 5 จุดเด่นสำคัญที่จะยกระดับมาตรฐานของการขับขี่ ด้วยการเป็นรถที่ “ขับสนุก วิ่งไกล ชาร์จไว นั่งสบาย มีการรับประกันแบทเตอรี และมอเตอร์แบบ Lifetime Warranty” ที่พร้อมสร้างปรากฏการณ์ใหม่ของ รถ SUV ที่เหนือกว่าในทุกการเดินทาง
Nebula Pure Electric Platform-โครงสร้างสุดแกร่ง พื้นที่ห้องโดยสารกว้างขวางผสานเทคโนโลยีอัจฉริยะ
New MG S5 EV ถูกพัฒนาขึ้นบนพแลทฟอร์ม Nebula Pure Electric Platform อันล้ำสมัย ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ MG พัฒนาเพื่อรองรับยานยนต์ไฟฟ้าหลากหลายเซกเมนท์ ตั้งแต่รถขนาดเล็กไปจน ถึงขนาดใหญ่ โดยพแลทฟอร์มนี้ถูกใช้งานครั้งแรกกับ New MG4 (เอมจี 4) ใหม่ ซึ่งได้รับการยืนยันจากทั่วโลกว่าเป็นรถที่ขับดีที่สุดในคลาสส์ และส่งต่อ DNA การขับขี่ที่สนุกสนานสู่ New MG S5 EV รุ่นใหม่ ที่ผสานสมรรถนะ และความสะดวกสบายเข้าไว้ด้วยกัน
พแลทฟอร์ม Nebula Pure Electric Platform มาพร้อมโครงสร้างที่แข็งแกร่งและออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า 100 % พัฒนาแบทเตอรีที่ติดตั้งในรถคันนี้ให้เป็นแบบ Cell-to-Pack ทำให้ระยะเวลาในการใช้งานได้ยาวนานยิ่งขึ้น และเพิ่มพื้นที่ห้องโดยสารกว้างขึ้น ห้องโดยสารถูกออกแบบให้มีโครงสร้างแข็งแรงพิเศษ สามารถดูดซับแรงกระแทกได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากจะมีผลต่อสมรรถนะที่เหนือชั้นแล้ว พแลทฟอร์มนี้ยังให้ความสำคัญกับความปลอดภัยสูงสุด พร้อมระบบปกป้องแบทเตอรีไฟฟ้าแรงดันสูง เพื่อมอบความปลอดภัยในทุกสถานการณ์ ที่ New MG S5 EV พร้อมเดินทางไปทุกเส้นทางอย่างมั่นใจ
NEW MG S5 EV ยกระดับประสบการณ์การขับขี่ด้วยระบบขับเคลื่อนล้อหลัง (Dynamic Rear Wheel Drive) ที่ถ่ายทอดพลังสู่พื้นถนนอย่างสมบูรณ์แบบ ผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้าตัวใหม่ประสิทธิ ภาพสูง Permanent Magnet Synchronous Motor ซึ่งได้รับการพัฒนาให้มอบพละกำลัง และการตอบสนองที่ฉับไวในทุกย่านความเร็ว สมรรถนะที่เหนือชั้นเหล่านี้ช่วยให้ทุกการขับขี่เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ว่าจะเป็นการออกตัวที่เฉียบคม การเร่งแซง ที่มั่นใจ ด้วยความเร็ว 0-100 กม./ชม. ใน 6.1 วินาที การควบคุมรถที่แม่นยำ หรือการเข้าโค้งในหลากหลายสภาพถนน พร้อมพาผู้ขับขี่ทะยานสู่ทุกจุดหมายได้อย่างมั่นใจ
B-SUV ไฟฟ้าที่มีระบบขับเคลื่อนล้อหลัง-สมดุลเหนือระดับกับความสนุกของคนขับที่มาพร้อมกับความสบายของคนนั่ง
New MG S5 EV ได้รับการออกแบบให้มีการกระจายน้ำหนักแบบสมมาตร 50:50 ระหว่างล้อหน้า และล้อหลัง ผสานกับการวางตำแหน่งแบทเตอรีที่ช่วยลดจุดศูนย์ถ่วงของตัวรถให้ต่ำลง (Low Cen tre of Gravity) ส่งผลให้การยึดเกาะถนนเป็นไปอย่างยอดเยี่ยม เพิ่มเสถียรภาพขณะเข้าโค้ง และการเร่งแซง ลดอาการโคลงตัวเมื่อต้องเผชิญกับสภาพถนนที่ท้าทาย เสริมความสมบูรณ์แบบของระ บบขับเคลื่อนด้วยระบบช่วงล่างอิสระแบบแมคเฟอร์สันสตรัทด้านหน้า และ 5-Link Suspension ด้านหลัง ที่ได้รับการปรับจูนมาเป็นพิเศษ เพื่อเพิ่มการเกาะถนน รองรับ การเข้าโค้งได้อย่างเฉียบคมและมั่นคง แม้ในความเร็วสูง ช่วยลดแรงสั่นสะเทือนระหว่างการขับขี่ ให้สมดุลระหว่างความนุ่มนวล และสมรรถนะสูงสุด นอกจากนี้ New MG S5 EV ยังมาพร้อมระบบเบรคที่ร่วมพัฒนากับบริษัท Continental ด้วยดิสก์เบรค 4 ล้อ พร้อมช่องระบายความร้อน มอบพลังเบรคที่ทรงพลัง ทนทานต่อการใช้งานหนัก ได้ดื่มด่ำกับทุกช่วงเวลาของการขับขี่อย่างแท้จริง
ที่สุดกับความสบายใจสำหรับการรับประกันแบทเตอรี และมอเตอร์ตลอดอายุการใช้งาน-มั่นใจทุก กม. ที่ขับขี่
ความเร้าใจต้องมาพร้อมกับความอุ่นใจสูงสุดในทุกการใช้งาน New MG S5 EV ยกระดับความมั่นใจตลอดอายุ การใช้งานด้วย Lifetime Warranty สำหรับรับประกันแบทเตอรีแรงเคลื่อนสูง (High-Voltage Battery) ชุดมอเตอร์ขับเคลื่อน (Electric Drive Unit) และชุดควบคุมมอเตอร์ขับเคลื่อน (Power Electric Box) ตลอดอายุการใช้งาน แบบไม่จำกัดปี ไม่จำกัดระยะทาง MG ถือเป็นแบรนด์เดียวที่กล้ามอบการรับประกันที่เหนือกว่ามาตรฐานทั่วไปในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของ MG ในคุณภาพ และความทนทานของเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อน ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถออกเดินทางได้อย่างไร้กังวล และเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงในระยะยาว พร้อมกันนี้ MG ยังเพิ่มความมั่นใจให้แก่ลูกค้าด้วยศูนย์บริการคุณภาพกว่า 140 แห่งทั่วประเทศอีกด้วย
พวงมาลัย Dual Pinion Steering Wheel-ควบคุมแม่นยำ ขับขี่มั่นใจทุกเส้นทาง
New MG S5 EV ยกระดับประสบการณ์การขับขี่ด้วยนวัตกรรมพวงมาลัย Dual Pinion Steering Wheel ที่ออกแบบมาอย่างพิถีพิถันเพื่อมอบการขับขี่ที่แม่นยำ และมั่นใจในทุกสถานการณ์ ระบบพวงมาลัยนี้ใช้โครงสร้างแบบ Dual Pinion ที่ช่วยเพิ่มความฉับไวในการตอบสนอง และให้การควบคุมที่แม่นยำยิ่งขึ้น ลดความพยายามในการบังคับรถ ทำให้ทุกการเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างราบรื่น ผู้ขับขี่สามารถควบคุมรถได้ง่ายขึ้น หรือการขับขี่ที่ต้องการ ความคล่องตัว ระบบพวงมาลัยนี้ช่วยให้เข้าโค้งได้อย่างมั่นใจ พร้อมเสริมการยึดเกาะถนนที่ดีเยี่ยมทั้งในทางตรง และทางโค้งเพิ่มความสนุก และความมั่นใจในทุกเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ในเมืองที่คับคั่ง หรือการเดินทางไกลบนทางหลวง
วิ่งไกล 550 กม./การชาร์จ พร้อมระบบชาร์จเร็วทันใจ ให้การใช้อีวีง่าย และสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
New MG S5 EV เปิดมิติใหม่แห่งการเดินทางด้วย แบทเตอรีขนาด 64 กิโลวัตต์ชั่วโมง ที่ได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพสูงสุด มอบระยะทางการขับขี่สุดประทับใจ สูงสุดถึง 550 กม./การชาร์จ 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC ที่วิ่งได้ไกลที่สุดในคลาสส์ ตอบโจทย์ทุกการเดินทางโดยไม่ต้องกังวลเรื่องระยะทาง นอกจากระยะทางที่เหนือชั้นแล้ว New MG S5 EV ยังมาพร้อมกับ ระบบชาร์จเร็ว Quick Charge 140 กิโลวัตต์ ช่วยให้ผู้ใช้งานเติมพลังกลับสู่เส้นทางได้ในเวลาอันรวดเร็ว ลดระยะเวลาการรอคอยให้เหลือน้อยที่สุด เหมาะสำหรับไลฟ์สไตล์ที่ไม่หยุดนิ่ง ไม่ว่าจะใช้รถในการเดินทางประจำวันในเมือง หรือขับข้ามจังหวัดเพื่อการเดินทางไกล New MG S5 EV จึงไม่ใช่แค่รถยนต์ไฟฟ้า แต่คือ กุญแจสู่อิสรภาพในการเดินทาง ที่ช่วยให้ไปได้ไกลกว่าที่เคย โดยไร้ข้อจำกัดด้านระ ยะทาง และเวลา
..................................................................................................................
Xpeng เปิดศูนย์บริการครบวงจร
Xpeng ประเทศไทย ผู้นำเข้า และจัดจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับพรีเมียม-ไฮเทค Xpeng (เอกซ์เผิง) อย่างเป็นทางการในประเทศไทย เปิดศูนย์บริการมาตรฐานครบวงจร Xpeng รามคำ แหง และ Xpeng ราชพฤกษ์ ตอกย้ำความพร้อมด้วยเทคโนโลยีทันสมัย และการให้บริการที่ครอบคลุม ตอบโจทย์ยานยนต์ไฟฟ้าแห่งอนาคต เสริมสร้างความมั่นใจสำหรับลูกค้า Xpeng
วิวัฒน์ กิจเครือ ผู้อำนวยการ ฝ่ายบริการหลังการขาย Xpeng ประเทศไทย เผยว่า หลังจากที่ได้ส่งมอบ Xpeng รุ่น G6 และ X9 แก่ลูกค้า และเพื่อตอบสนองการขยายตัว บริษัทฯ จึงขยายศูนย์บริการมาตรฐานระดับสากล ชูสาขาเด่น และเป็นต้นแบบ นำโดย Xpeng รามคำแหง และ Xpeng ราชพฤกษ์ รวมพื้นที่กว่า 20,000 ตรม0 บริการครบวงจร ตั้งแต่การซ่อมบำรุงทั่วไป ซ่อมสี และตัวถัง เชครถตามระยะ เปลี่ยนน้ำมันเบรค รวมถึงดูแลระบบแบทเตอรี เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจทุกการขับขี่ โดยทีมช่างที่ผ่านการอบรมด้านรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ พร้อมเครื่องมือระดับมาตรฐาน เพิ่มความสะดวกสบาย สำหรับลูกค้าด้วย ห้องรับรองพรีเมียม พร้อมระบบการจองเข้ารับบริการแบบออนไลน์ที่ง่าย และรวดเร็ว เรามุ่งมั่นที่จะพัฒนา Xpeng ทุกสาขา ให้เป็นศูนย์บริการรถยนต์ไฟฟ้าที่ดีที่สุด ด้วยมาตรฐานบริการที่เป็นเลิศ มาพร้อมความใส่ใจในทุกรายละเอียด
Xpeng รามคำแหง จัดสรรพื้นที่กว่า 17,600 ตรม. รองรับงานซ่อมทั่วไป และเชคระยะ 30 คัน/วัน, รองรับรถซ่อมสี และตัวถังได้กว่า 200 คัน/เดือน, รองรับการจอดรถในที่ร่มได้กว่า 100 คัน, ระบบจัดเก็บอะไหล่เตรียมพร้อมให้บริการ และห้องรับรองลูกค้าระดับพรีเมียม
Xpeng ราชพฤกษ์ พื้นที่กว่า 2,760 ตรม. รองรับงานซ่อมทั่วไป และเชคระยะ 15 คัน/วัน, รองรับการจอดรถในที่ร่ม ระบบจัดเก็บอะไหล่เตรียมพร้อมให้บริการ, ห้องรับรองลูกค้าระดับพรีเมียม
ทั้งนี้ ศูนย์บริการมาตรฐานระดับสากล Xpeng ยังมีนโยบายรักษ์สิ่งแวดล้อมสู่อนาคตสีเขียว โดยการสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ลดการปล่อยแกสคาร์บอน สร้างความตระหนักรู้ จัดเวิร์คชอพเกี่ยวกับการเดินทางที่ยั่งยืน และประสิทธิภาพพลังงาน และมุ่งตอบแทนสังคม โดยร่วมมือกับองค์กรการกุศลเพื่อสนับสนุนชุมชน พร้อมการมีส่วนร่วมในโครงการด้านการศึกษา สิ่งแวดล้อม และความปลอดภัยบนท้องถนนพิเศษ ! โอกาสเปิดศูนย์บริการใหม่ เพียงลูกค้านำ Xpeng ทุกรุ่นเข้ารับบริการ รับโปรโมชันสุดพิเศษ ล้างทำความสะอาด และดูดฝุ่นฟรี โดยนัดหมายผ่านระบบโทรศัพท์, Line หรือ Facebook
Xpeng ประเทศไทย ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการทำตลาดในประเทศไทย ด้วยการเดินหน้าขยายเครือข่ายพาร์ทเนอร์จัดจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล ตลอดจนจังหวัดหลัก ในแต่ละภูมิภาค นำโดย Xpeng รามคำแหง โชว์รูมต้นแบบอัจฉริยะ พร้อมศูนย์บริการครบวงจร ต่อด้วย สุขุมวิท, ศรีนครินทร์, ประดิษฐ์มนูธรรม, แจ้งวัฒนะ, ราชพฤกษ์, พัทยา, ราชบุรี, ขอนแก่น, อุบล ราชธานี, เชียงใหม่, ภูเก็ต และที่จะเปิดดำเนินการในเร็วๆ นี้ คือ วิภาวดี-รังสิต และตลิ่งชัน รวมทั้งหมด 14 แห่ง โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพการบริการที่เป็นมาตรฐานผสานเครื่องมือ อันทันสมัย และคลังเก็บอะไหล่ Xpeng Parts Center บริเวณถนนบางนา-ตราด ที่มีการจัดเก็บอะไหล่เพียบพร้อม และเป็นระบบ เพื่อประสิทธิภาพการให้บริการ และความพึงพอใจของลูกค้า พร้อมเดินหน้าขยายเครือข่ายพร้อมศูนย์บริการมาตรฐาน เพื่อการดูแลลูกค้าอย่างทั่วถึง
..................................................................................................................
ไทยฮอนด้าฯ เปิดตัว New Honda X-ADV
ไทยฮอนด้าฯ ผู้ผลิต และจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ และเครื่องยนต์อเนกประสงค์ Honda (ฮอนดา) ประเทศไทยเปิดตัวรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ New Honda X-ADV (ฮอนดา เอกซ์-เอดีวี) ใหม่ พร้อมด้วย 4 เฉดสีใหม่ ภายใต้คอนเซพท์ Live The Unpected Life เท่ ตอบโจทย์สไตล์แอดเวนเจอร์ตัวจริงยิ่งกว่าเดิม แรงที่สุดในคลาสด้วยเครื่องยนต์ 750 ซีซี อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย
New Honda X-ADV มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ 750 ซีซี แรงที่สุดในคลาสส์ ควบคู่กับ Honda DCT เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ช่วยให้เปลี่ยนเกียร์ได้อย่างแม่นยำลื่นไหลโดยไม่ต้องกำคลัทช์ ตอบโจทย์ทุกเส้นทางด้วย 5 Riding Modes ได้แก่ Standard, Sport, Rain, Gravel และโหมด User ที่ให้ผู้ขับขี่สามารถปรับการตั้งค่าเองได้ มาพร้อม Cruise Control ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ เพื่อการเดินทางที่สะดวกสบาย และมอบประสบการณ์ที่พาผู้ขับขี่ไปได้ไกลกว่าเดิม
นอกจากนี้ New Honda X-ADV ยังโดดเด่นด้วย New Fairing Design แฟริงหน้าดีไซจ์นใหม่ เสริมความพรีเมียมในแบบฉบับ SUV Bike แต่ยังคงความดุดันแบบนักผจญภัย บังลมหน้าออกแบบใหม่ด้วยวัสดุรีไซเคิล Durabio ปรับได้สูงถึง 139 มม. อีกทั้งเบาะนั่งออกแบบรูปทรงใหม่สไตล์แอดเวนเจอร์ให้วางเท้ากับพื้นได้ราบขึ้น เพิ่มความมั่นใจในการทรงตัว พร้อมปรับวัสดุเพิ่มยูริเทนโฟมอีก 10 % นั่งสบายขึ้น เหมาะกับการขับขี่บนเส้นทางไกล รวมถึงดีไซจ์นชุดไฟหน้าใหม่ New LED Headlight & DRL with Winker ที่รวมไฟเลี้ยวเข้ากับ Daytime Running Light (DRL) เพิ่มความโดดเด่นสะดุดตาในช่วงกลางวัน และไฟหน้า LED แบบพโรเจคท์เตอร์คู่ ส่องสว่างมองเห็นชัดเจนในช่วงกลางคืน พร้อมไปค้นพบเส้นทางใหม่อย่างไม่รู้จบ
New Honda X-ADV มาพร้อมกับ New 5-INCH TFT with Honda RoadSync หน้าจอแสดงผลแบบ TFT ขนาด 5 นิ้ว สามารถเชื่อมต่อกับระบบสั่งการด้วยเสียงผ่าน Honda RoadSync ให้ผู้ขับขี่ควบคุมการโทร และเพลงได้ผ่านบลูทูธในหมวกกันนอค และมาพร้อมพื้นที่เก็บของใต้เบาะขนาดใหญ่ 22 ลิตร ช่วยเติมเต็มความสะดวกสบายทุกการเดินทาง สามารถเก็บหมวกกันนอคเต็มใบได้
New Honda X-ADV พร้อมให้เป็นเจ้าของแล้ววันนี้ ด้วย 4 สีใหม่ ตอบโจทย์ทุกการผจญภัยที่คาดไม่ถึง รุ่น Standard ราคาแนะนำ 433,000 บาท ได้แก่ สีดำ Graphite Black, สีเทา-ดำ Matte Deep Mud Gray, สีขาว-ดำ Pearl Glare White และ Special Edition สีเหลือง-ดำ Matte Gold Finch Yellow ที่มาพร้อมลายกราฟิคแสดงถึงตัวตนเอกลักษณ์ความเป็น Adventure ตัวจริง ราคาแนะนำที่ 438,000 บาท
พิเศษ ! สำหรับผู้ที่จอง 100 ท่านแรกรับเสื้อ Honda X-ADV The Unexpected Jersey พร้อมฟรี ! ค่าจดทะเบียน และ พรบ.
..................................................................................................................
Yamaha เปิดตัว Fazzio HYBRID CONNECTED
Yamaha (ยามาฮา) เติมไลน์อัะเอาใจแฟนรถจักรยานยนต์ออโตเมติกแฟชัน NEW YAMAHA FAZZIO HYBRID CONNECTED (ยามาฮา ฟาซซิโอ ไฮบริด คอนเน็กเตด) ใหม่ ชูความโดดเด่นภายใต้บทบาทสกู๊ตเตอร์ดีไซน์แฟชันสุดเทรนดี ยกระดับทั้งในเรื่องรูปโฉม และสมรรถนะการใช้งาน ตอบโจทย์การใช้งานด้วย 2 รุ่นทางเลือก ราคาสุดคุ้ม / ราคาเข้าถึงง่าย ภายใต้ราคาแนะนำเริ่มต้น 50,900 บาท พร้อมการรับประกัน 5 ปี หรือ 50,000 กม.
บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด เปิดตัว NEW YAMAHA FAZZIO HYBRID CONNECTED ตอกย้ำบทบาทผู้นำรถจักรยานยนต์ออโตเมติกในตลาดประเทศไทย ชูความโดดเด่นด้วย เทรนดีสไตล์แฟชัน FAZZ IT UP โฉบเฉี่ยวล้ำสมัยด้วยไฟหน้า LED ดีไซจ์แคปซูลสุดเก๋ สวยสะดุดตาโดดเด่น สไตล์ใหม่สุดโมเดิร์น ล้ำสมัยทุกมุมมอง สว่างชัดเจนทั้งกลางวันและกลางคืน, LCD DIGITAL METER ทรงแคปซูลดีไซน์สุดคูล ดูเท่ทุกครั้งที่ขี่เห็นชัดทุกข้อมูล ที่ออกแบบเพื่อชีวิตที่ทันสมัย ครบทุกฟังก์ชันที่วัยรุ่นต้องการ อ่านค่าได้ง่าย ทั้งความเร็ว เวลา และข้อมูลการประหยัดน้ำมัน แสดงผลครบในจอเดียว พร้อมให้ออกไปสนุกได้ทุกเวลา
รวมถึงมี ACCESSORIES PORT เติมสไตล์เท่ได้ไม่ซ้ำใคร แต่งเพิ่มเติมคาแรกเตอร์ให้เท่ได้ในสไตล์ที่ชอบ ด้วยพอร์ตติดตั้งอุปกรณ์เสริมต่างๆ ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ที่ใช่ แสดงความเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่ ทั้งยังตอบสนองการขับขี่แบบ FULL - ON FUN! สนุกได้เต็มที่ ด้วยเครื่องยนต์ Blue Core Hybrid 125 ซีซี ผสานกำลังกับมอเตอร์ไฟฟ้าให้อัตราการเร่งราบรื่น แรง ประหยัด และรักษ์โลกทุกการเดินทาง จะขี่ในเมืองหรือเที่ยวชิล ๆ ก็สบายใจได้ว่าช่วยลดมลพิษ เหมาะกับการใช้ชีวิตสไตล์คนรุ่นใหม่ ที่ใส่ใจในสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกับการใช้งานแบบจัดเต็ม ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์วัยรุ่นที่อยากใช้ชีวิตแบบคูล ๆ อีกทั้งยังมีขนาดตัวรถ Compact Size ขับขี่ง่าย คล่องตัว สะดวกสบาย ออกแบบมาเพื่อไลฟ์สไตล์วัยรุ่น เหมาะกับการขับขี่ในเมือง เลี้ยวง่าย สะดวกคล่องตัวสุด ๆ จะขี่ไปเรียน ทำงาน หรือแฮงก์เอาท์ ก็ไม่ต้องกลัวติดขัดในที่แคบ จอดง่าย ไม่ว่าซอกซอยไหนก็ไปได้สบาย! พร้อมเสริมความมั่นใจในการขับขี่ด้วยระบบ UBS (Unified Brake System) เบรกง่าย มั่นใจในการหยุดทุกเส้นทาง มั่นใจทุกครั้งที่เบรก ด้วยระบบกระจายแรงเบรกอัตโนมัติ ลดระยะเบรกให้สั้นลง และให้การควบคุมที่สมดุล ช่วยให้หยุดรถได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้นในทุกครั้งที่ออกไปสนุกกับชีวิตเมือง ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่
ล้ำสมัย FILL DIGITAL LIFE! เติมชีวิตดิจิทอล ด้วยเทคโนโลยี Y-Connect APPLICATION เชื่อมต่อกับรถและแสดงข้อมูลบนสมาร์ทโฟน ช่วยให้ชีวิตสมาร์ทขึ้น ด้วยฟังก์ชันที่ครบครันสำหรับคนรุ่นใหม่ ทำให้การใช้สกู๊ตเตอร์เป็นเรื่องง่าย สะดวกสบายและคูลไปอีกขั้น ที่พร้อมแสดงข้อมูลได้ถึง 9 ฟังก์ชัน ประกอบด้วย
1. SMARTPHONE NOTIFICATIONS ON METER – แจ้งเตือนข้อมูลจากสมาร์ทโฟน
2. MAINTENANCE RECOMMENDATIONS – แจ้งเตือนการบำรุงรักษา
3. MALFUNCTION NOTIFICATION – แจ้งเตือนเมื่อเครื่องยนต์เกิดปัญหา
4. FUEL CONSUMPTION – แสดงข้อมูลอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
5. REVS DASHBOARD – แสดงมาตรวัดสมรรถนะขณะขับขี่
6. LAST PARKING LOCATION – แสดงตำแหน่งจอดรถล่าสุด
7. RANKING – แสดงอันดับในการขับขี่
8. RIDING LOG – บันทึกประวัติการขับขี่
9. CONTACT FORM – ช่องทางการติดต่อยามาฮ่า
**ทำงานเมื่อเชื่อมต่อ Y–Connect ผ่าน Bluetooth และเปิด Location เพื่อใช้งานเท่านั้น
พร้อมตอบโจทย์การใช้งานอย่างครบครัน FIT FOR ALL! ครบทุกไลฟ์สไตล์ ด้วย SMART KEY SYSTEM ระบบกุญแจรีโมทอัจฉริยะ สะดวกสไตล์คนรุ่นใหม่ ใช้งานง่ายไม่ต้องเสียบกุญแจ แค่พกไว้ก็พร้อมลุยทุกที่ จัดเต็มทุกฟังก์ชัน ทั้งเปิด-ปิดสวิตช์ และปลดล็อก พร้อมฟังก์ชัน Answer Back หารถได้ง่ายทันทีในทุกที่จอด ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์วัยรุ่นอย่างแท้จริง, USB Type-A Mobile Charging พอร์ต USB Type-A สำหรับชาร์จมือถือ พร้อมลุยทุกทริปแบบไร้ขีดจำกัด ด้วยช่องเก็บของด้านหน้า และไม่ต้องกลัวแบตหมดกลางทาง สามารถฟังเพลงหรือคุยกับเพื่อนก็สนุกแบบไม่มีสะดุด ขี่ไปได้ทุกทางแบบมีไฟ! มาพร้อม F-BOX พื้นที่เก็บของใต้เบาะจุใจ ใส่ของได้สบาย ๆ ในกล่องเก็บของใต้เบาะขนาดใหญ่ 17.8 ลิตร เก็บของได้หมด ทั้งหมวกกันน็อก กระเป๋า ของช้อปปิ้ง หรือสัมภาระของใช้ส่วนตัว ไม่ต้องหิ้วให้พะรุงพะรัง เก็บได้สบายไม่ต้องพกพา
และ DOUBLE HOOK CARABINER เพิ่มที่แขวนของแบบคู่ แขวนได้ 2 จุด เพิ่มความสะดวกสบายในการพกพาทุกสัมภาระ ทั้งของช้อปปิ้ง หรือ อุปกรณ์เสริมต่าง ๆ เหมาะกับสายช้อป พร้อมพื้นที่วางเท้าด้านหน้ากว้างพิเศษ ไม่อึดอัด สะดวก คล่องตัว ขับขี่ได้แบบชิล ๆ นั่งขี่สบายไม่เสียลุค
NEW YAMAHA FAZZIO HYBRID CONNECTED ตอบสนองการใช้งานด้วย 2 รุ่นทางเลือก ได้แก่ รุ่น Smart Key Version ที่มีให้เลือกด้วยกัน 3 สี คือ สีขาว-น้ำเงิน Retro White, สีเขียว-ขาว Relax Matt Green และสีน้ำเงิน-ชมพู Neo Dark Blue ที่วางจำหน่ายในราคาแนะนำเริ่มต้น 52,900 บาท และรุ่น Standard มีให้เลือกด้วยกัน 3 สี ได้แก่ สีดำ Active Black, สีชมพู Neo Mauve และสีเขียว Nomad Green วางจำหน่ายในราคาแนะนำเริ่มต้น 50,900 บาท โดยทั้ง 2 รุ่น พร้อมตอกย้ำคุณภาพสินค้าด้วยการรับประกัน 5 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร
