ธุรกิจ
Continental สร้างสถิติการผลิตเซนเซอร์เรดาร์ 200 ล้านตัว

ฟรังค์ฟวร์ท อัมไมน์-Continental ฉลองความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่จากการผลิตเซนเซอร์เรดาร์ครบ 200 ล้านตัว จำนวนการผลิตนี้ สะท้อนถึงตำแหน่งผู้นำของบริษัทด้วยส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 20 % ในด้านส่วนประกอบเทคโนโลยีความปลอดภัยที่สำคัญสำหรับภาคส่วนยานยนต์ นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำถึงแนวโน้มสำคัญด้านการขับเคลื่อน ได้แก่ การพัฒนาระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS) ซึ่งเป็นการพัฒนาอย่างรวดเร็วเพื่อมุ่งสู่การขับขี่อัตโนมัติ และไร้คนขับในอนาคต ในปี 2542 ซึ่งเป็นปีที่มีการนำเรดาร์ระยะไกลรุ่นแรกของ Continental มาติดตั้งในรถยนต์ Mercedes S-Class (เมร์เซเดส เอส-คลาสส์) และปี 2564 บริษัทได้ส่งมอบระบบเรดาร์ 100 ล้านชุด 4 ปีต่อมา บริษัทได้บรรลุเป้าหมายใหม่ด้วยการผลิตเซนเซอร์เรดาร์ 200 ล้านตัว
Ismail Dagli หัวหน้ากลุ่มธุรกิจยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติของ Continental กล่าวว่า การพัฒนาที่รวดเร็วนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่สำคัญในด้านการพัฒนา และประสิทธิภาพการทำงาน รวมถึงความต้องการคุณลักษณะด้านความปลอดภัยของรถยนต์ นอกจากนี้ Continental ยังประกาศการได้รับคำสั่งซื้อเซนเซอร์เรดาร์จำนวนมากจากผู้ผลิตยานยนต์อีกหลายราย มูลค่าประมาณ 1.5 พันล้านยูโรในไตรมาสแรกของปี การผลิตวางแผนจะเริ่มในปี 2569 และ 2570 ขึ้นอยู่กับผู้ผลิต
“เซนเซอร์ที่ผลิตถึง 200 ล้านตัวรวมถึงคำสั่งซื้อจำนวนมาก แสดงให้เห็นว่า Continental คือ ผู้นำด้านวิศวกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง และการนำเสนอโซลูชันเทคโนโลยีที่ปรับแต่ได้สำหรับทุกการใช้งานในตลาดยานยนต์ เซนเซอร์เรดาร์เป็นส่วนประกอบสำคัญสำหรับยานยนต์ในปัจจุบัน และอนาคต หากไม่มีระบบเรดาร์ที่หลากหลายอย่างที่ทาง Continental ได้พัฒนาไว้ การขับขี่อัตโนมัติก็จะเป็นไปไม่ได้เลย”
เซนเซอร์เรดาร์ สิ่งสำคัญในระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ที่เพิ่มความสะดวกสบาย และความปลอดภัย
ยอดขายที่เติบโตอย่างรวดเร็วเป็นผลมาจากจำนวนเซนเซอร์เรดาร์ที่เพิ่มขึ้นในยานยนต์สมัยใหม่ ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูงมอบความปลอดภัย และความสะดวกสบายที่มากขึ้นทั้งในยานยนต์ และบนท้องถนน ด้วยเทคโนโลยีเซนเซอร์เรดาร์ของ Continental ซึ่งมีพอร์ทโฟลิโอระบบเรดาร์อันทรงพลัง และถูกออกแบบมาให้สามารถปรับแต่งให้เหมาะกับการใช้งานในแต่ละประเภท และความต้องการของตลาดต่างๆ ในอดีต เซนเซอร์เรดาร์สำหรับการควบคุมระยะห่างเพียงตัวเดียวถูกนำมาติดตั้งที่ด้านหน้าของรถ แต่ในปัจจุบัน เซนเซอร์เรดาร์จำนวน 9 ตัว หรือมากกว่านั้นได้ถูกนำมาใช้ในบางกรณี นอกเหนือจากระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบปรับระยะห่าง ระบบช่วยเหลืออื่นๆ เช่น การเบรคฉุกเฉิน การตรวจจับจุดบอด การเตือนเมื่อออกนอกเลน การแจ้งเตือนการจราจรข้ามทาง และการจอด ยังต้องมีการทำงานร่วมกับระบบเรดาร์ ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นการผสมผสานกับเซนเซอร์อื่นๆ เช่น กล้อง ระบบอุลทราโซนิค และ LiDAR ระบบเรดาร์ยังมีความสำคัญสำหรับยานยนต์อัตโนมัติ หรือไร้คนขับ ซึ่งต้องอาศัยการตรวจสอบสภาพแวดล้อมของยายนต์แบบ 360 องศาที่แม่นยำ และซ้ำซ้อน
การปฏิวัติเรดาร์ จากนวัตกรรมสู่เทคโนโลยีชิพไมโคร
เทคโนโลยีเรดาร์ที่ใช้ในยานยนต์ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Continental มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาระบบเรดาร์สำหรับรถยนต์ระบบแรกของโลก ในปี 2542 Daimler ได้นำเสนอคุณลักษณะระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบปรับได้ในรถ Mercedes S-Class ซึ่งระบบนี้ใช้เรดาร์ระยะไกลที่มีระยะการทำงานถึง 150 ม. ซึ่งถือเป็นสิ่งที่น่าทึ่งในสมัยนั้น โดยระบบประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ หัวเรดาร์ที่ติดตั้งไว้ด้านหลังกระจังหน้าหม้อน้ำ และชุดควบคุม ทั้ง 2 ส่วนมีน้ำหนักรวม 1.3 กก. และมีขนาดประมาณกล่องรองเท้า ทำให้ระบบนี้ยังมีข้อจำกัดโดยมีขนาดใหญ่ และหนักมากเมื่อเทียบกับโซลูชันในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม แม้แต่ในสมัยนั้น ทั้ง Mercedes และ Continental ก็ยังให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีที่ซับซ้อน
Norbert Hammerschmidt หัวหน้าธุรกิจส่วนประกอบในกลุ่มธุรกิจยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติของ Continental กล่าวว่า ระบบเรดาร์ในปัจจุบันไม่ได้มีความคล้ายคลึงกับรุ่นแรกมากนัก เซนเซอร์เรดาร์อัจฉริยะมีไมโครชิพที่มีประสิทธิภาพอยู่แล้ว ซึ่งประมวลผลสัญญาณที่ได้รับจากเซนเซอร์โดยตรง และโดยปกติจะใช้ร่วมกับข้อมูลจากระบบเซนเซอร์อื่นๆ เช่น กล้อง ทำให้พร้อมใช้งานแบบ เรียลไทม์
Continental เป็นผู้นำในการพัฒนาระบบเรดาร์ที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งปัจจุบันมีราคาเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของระบบบุกเบิกรุ่นแรก และใช้พื้นที่ในการติดตั้งเพียงเล็กน้อยโดยมีขนาดเท่ากับกล่องไม้ขีด 2 กล่อง เซนเซอร์เรดาร์รุ่นล่าสุดถูกใช้งานทั้งในฟังค์ชันระยะสั้น เช่น ในระบบช่วยจอด หรือระบบเตือนออกนอกเลนบนทางหลวง หรือการใช้งานระยะยาวแบบดั้งเดิมที่มีระยะการทำงานถึง 300 ม. นอกจากนี้ ระบบสมัยใหม่ยังมีความแม่นยำสูงจนสามารถระบุวัตถุที่อยู่ในระยะไกลในสถานการณ์ที่มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น เมื่อเปลี่ยนเลนบนทางด่วน ระบบสามารถตรวจจับมอเตอร์ไซค์ที่กำลังเข้าใกล้จากด้านหลังด้วยความเร็วที่แตกต่างกันอย่างมาก
แนวทางพแลทฟอร์มของเซนเซอร์เรดาร์สำหรับรถยนต์ รถบรรทุก และรถจักรยานยนต์
ในปัจจุบัน Continental พัฒนาระบบเหล่านี้โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์สำหรับทุกการใช้งาน และทุกตลาด ไม่ว่าจะเป็นยานยนต์ระดับพรีเมียมที่มีการขับขี่อัตโนมัติสูง รถยนต์นั่งส่วนบุคคลรุ่นที่ผลิตจำนวนมาก รถบรรทุกกึ่งอัตโนมัติ รวมถึงตลาดรถจักรยานยนต์ทั่วโลก Continental มีพอร์ทโฟลิโอที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทั่วโลกได้อย่างสมบูรณ์ ตัวอย่างเช่น เรดาร์ภาพระยะไกล 4 มิติรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงซึ่งจะมาแทนรุ่นก่อนในปีหน้า และสามารถรองรับระบบยานยนต์อัตโนมัติเต็มรูปแบบได้ อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ คือ โมเดลที่ผลิตจำนวนมาก เช่น เรดาร์ด้านหน้า และด้านมุม ซึ่งมอบประสิทธิภาพสูงในราคาที่เอื้อมถึงสำหรับการใช้งานหลากหลายฟังค์ชัน