ข่าวจากสหรัฐอเมริกา ระบุว่า ในอนาคตการลาดตระเวนของตำรวจจะเปลี่ยนไป สำนักงานตำรวจไมอามี (MDSO) เปิดตัวรถสายตรวจไร้คนขับ หรือ PUG (Police Unmanned Ground) รถอัตโนมัติไร้คนขับ สำหรับการลาดตระเวนครั้งแรกของสหรัฐฯ
สำนักงานกิจการชุมชนของ MDSO เป็นผู้ดำเนินการโครงการนำร่อง PUG โดยระยะแรกเป็นการปรากฎตัวในงานอีเวนท์สาธารณะทั่วไป เพื่อประเมินปฏิกิริยาของชุมชน สำหรับประกอบการตัดสินใจ ก่อนใช้ในการลาดตระเวนจริง
Police Unmanned Ground ใช้ตัวรถพื้นฐาน Ford Explorer ผสานกับฟังค์ชันการลาดตระเวนขับเคลื่อนด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ เพื่อการจัดการสถานการณ์ต่างๆ ทั้งการรับรู้สถานการณ์, รายงานอุบัติการณ์ ครอบคลุมย่านอยู่อาศัย และธุรกิจ เทคโนโลยีที่ใช้ในรถพัฒนาโดยบริษัท Perrone Robotics ในเวอร์จิเนีย ซึ่งสามารถเข้าถึงฐานข้อมูลการบังคับใช้ด้านกฎหมาย, ข้อมูลการจดทะเบียนรถ รวมไปถึงระบบการวิเคราะห์อาชญากรรม บนตัวรถติดตั้งกล้อง 360 องศา, ระบบภาพความร้อน, ระบบจอแสดงผลเสมือนจริงบนกระจกหน้า รวมทั้งสามารถเชื่อมต่อกับโดรน เพื่อการตอบสนองสถานการณ์อย่างรวดเร็ว
รถลาดตระเวน Ford Police Interceptor Utility ใช้พื้นฐานจาก Ford Explorer รถตำรวจขายดีอันดับ 1 ของสหรัฐอเมริกา โดยใช้เครื่องยนต์ วี 6 สูบ ความจุ 3.3 ลิตร ให้กำลัง 210 กิโลวัตต์/285 แรงม้า, เครื่องยนต์ วี 6 สูบ ความจุ 3.3 ลิตร ไฮบริด ให้กำลัง 234 กิโลวัตต์/318 แรงม้า และเครื่องยนต์อีโคบูสต์ วี 6 สูบ ความจุ 3.0 ลิตร ให้กำลัง 294 กิโลวัตต์/400 แรงม้า ทุกคันใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และแผงหน้าปัดดิจิทอลขนาด 12.3 นิ้ว พร้อมมาตรวัดความเร็ว ที่ได้รับการรับรองการตรวจวัดมาแล้ว
โครงการนำร่องดำเนินการเป็นเวลา 12 เดือนแล้ว โดยติดตามตัวชี้วัดที่สำคัญ ทั้งเวลาในการตอบสนอง เพื่อยับยั้งเหตุ, ความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ และความเชื่อมั่นระดับสาธารณะ ก่อนนำมาใช้งานในไมอามี และจะใช้เป็นต้นแบบสำหรับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั่วสหรัฐฯ หากผลการประเมินเป็นที่ยอมรับ การผลิตรถลาดตระเวน PUG จะมีค่าใช้จ่ายคันละ 150,000-200,000 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 4.8-6.5 ล้านบาท)
รถลาดตระเวนในอนาคตจะถูกนำมาใช้งานในเส้นทางที่ใช้อยู่แล้ว เพื่อการป้องปราม และการส่งข้อความให้ชุมชน ผ่านหน้าจอซึ่งติดตั้งบริเวณกระจกข้าง ทั้งสามารถใช้ในการเตือนอพยพในช่วงพายุเฮอริเคน, ปฏิบัติการในพื้นที่อาชญากรรมสูง, ส่วนงานด้านการป้องกันการเกิดอาชญากรรมนั้น เป็นหน้าที่ของตำรวจลาดตระเวนที่มีจำนวนมากพอแล้ว รถลาดตระเวนไร้คนขับ สามารถใช้สนับสนุนการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ ด้วยการบันทึกข้อมูลทางชีวภาพในที่เกิดเหตุ, การระบุตัวตน และประมวลผลข้อมูล เชื่อมต่อข้อมูลกับโดรนในบริเวณใกล้เคียง และส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์ไปยังศูนย์การบัญชาการ
รถลาดตระเวนไร้คนขับเหมาะสำหรับการป้องปราม ปัจจุบันยังไม่สามารถใช้ไล่ล่าผู้ต้องสงสัยได้ เนื่องจากถูกจำกัดความเร็ว, ห้ามใช้บนไฮเวย์ และทางด่วน โดยสามารถปฏิบัติงานต่อเนื่องได้ถึง 16 ชั่วโมง โดยเน้นการปฏิบัติงานเพื่อให้เกิดความสงบในท้องถิ่น ด้วยความก้าวหน้าของรถอัตโนมัติไร้คนขับ อย่างไรก็ตาม ในอนาคตอันใกล้นี้ อาจสามารถใช้สำหรับการไล่ล่า หรือลาดตระเวนบนไฮเวย์ได้

