ธุรกิจ
ปตท. เผย 3 ไตรมาส กำไรเพิ่มขึ้น

ปตท. ผ่า 3 กลยุทธ์ ดำเนินงานตามเป้าหมาย สร้างกำไรรวมกว่า 15,000 ล้านบาท ตอกย้ำการเดินกลยุทธ์ที่แม่นยำ
ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ปตท. เปิดเผยผลการดำเนินงาน ไตรมาส 3 ปี 2568 โดย ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 19,784 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,460 ล้านบาท หรือร้อยละ 21.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยหลักเป็นผลจากการทำโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการ และมาตรการลดค่าใช้จ่าย รวมทั้งการรับรู้กำไรจากการซื้อคืนหุ้นกู้ของบริษัทในกลุ่ม ได้แก่ บริษัท ไทยอออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) และบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (GC) ซึ่งช่วยลดภาระดอกเบี้ยในอนาคต
สำหรับผลประกอบการ 9 เดือน ปี 2568 ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 64,632 ล้านบาท ลดลง 16,129 ล้านบาท หรือร้อยละ 20.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากระดับราคาน้ำมัน และส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ถูกกดดันจากสภาวะเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม ด้วยมาตรการเชิงรุก อาทิ EBITDA Uplit, Asset Monetization, การควบคุมค่าใช้จ่าย และการบริหารหนี้เงินกู้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้กลุ่ม ปตท. สามารถดำเนินงานได้ตามเป้าหมายในทุกมิติ สร้าง Profit
Enhancement รวมกว่า 15,000 ล้านบาท เปรียบเสมือนการผ่านบททดสอบท่ามกลางความท้าทาย ตอกย้ำการเดินกลยุทธ์ทธ์ที่แม่นยำภายใต้การประเมินสถานการณ์ที่ละเอียด รอบคอบ และวิสัยทัศน์ที่ถูกทาง พร้อมดูแลผู้มีมีส่วนได้เสียอย่างสมดุล สร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น สวนกระแสเศรษฐกิจที่ถดถอย สามารถจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.90 บาท/หุ้น
ภารกิจสำคัญของ ปตท. คือ การสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้แก่ประเทศไทย นั่นหมายถึงการมีพลังงานที่เพียงพอ ภายใต้กลไกราคาที่เหมาะสมแข่งขันได้ และมีความยั่งยืนควบคู่ไปด้วย เพื่อให้สามารถบรรลุภารกิจเหล่านี้ ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ปตท. จึงมุ่งเน้นในสิ่งที่มีความถนัด ภายใต้กลยุทธ์เร่งสร้างความแข็งแรง และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในธุรกิจ Hydrocarbon ควบคู่กับการลดแกสเรือนกระจก ปตท. สามารถผลักดันผลสำเร็จเพิ่มเติมตามแผน กลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ขยายการสำรวจ และผลิตในแหล่งใหม่ พร้อมลงทุนในโครงการทั้งใน และต่างประเทศเพิ่มเติม ได้แก่ โครงการพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย A18 ซึ่งเป็นแหล่งแกสธรรมชาติหลักที่ใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าบริเวณภาคใต้ของไทย และร่วมลงทุนในโครงการแอลจีเรีย ทูอัท ในทวีปแอฟริกาอีกทั้งอยู่ระหว่างการพิจารณาตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายในโครงการแอลจีเรีย ฮาสสิเบอร์ ราเคช ระยะที่ 2 ขณะที่ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ สามารถทำการค้า และ LNG ใน 9 เดือนแรก ปี 2568 ได้กว่า 2.2 ล้านตัน และอยู่ระหว่างลงนามสัญญา LNG ระยะยาว 1.6 ล้านตัน ในขณะที่การปรับพอร์ทกลุ่มธุรกิจโรงกลั่น และปิโตรเคมีเพื่อเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันอยู่ระหว่างการหารือกับ Potential Strategic Partners ซึ่งมีความก้าวหน้าเป็นไปตามแผน
สำหรับธุรกิจ Non-Hydrocabon ลดบทบาทธุรกิจที่ไม่ใช่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก โดยปรับพอร์ทการลงทุนในธุรกิจ EV Value Chain ลดสัดส่วนการถือหุ้นใน บริษัท ฮอริษอน พลัส จำกัด (Hoizon Plus) ขายหุ้น บริษัท Contemporary Amperex Technology Co. Ltd (CATL) รวมถึงจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัท นีโอ โมบิลิตี้ เอเชีย จำกัด (NMA) ตามกลยุทธ์ Smart Exit ส่งผลให้มีเงินสดกลับคืน ปตท. ในส่วนของ Life Science บริษัท อินโนบิก (เอเชีย) จำกัด (INBA) ลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท Lotus Pharmaceutical Company Limited (Lotus) เพื่อสนับสนุนให้ Lotus มีความคล่องตัวในการขยายตลาดยาในสหรัฐอเมริกา ผ่านการลงทุนในบริษัท New Alvogen Group Holdings Inc. (Alvogen US) ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์การเติบโตแบบพึ่งพาตนเอง (Self-Funding)
ในด้านการขับเคลื่อนความยั่งยืน ปตท. ยังคงมุ่งมั่นในการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 และจะลดการปล่อยแกสเรือนกระจกให้ได้ 15 % ในปี 2035 โดยดำเนินการอย่างสมดุลในทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยหารือร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อกำหนดแนวทางส่งเสริม และผลักดันเทคโนโลยีดักจับ และกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) ให้เกิดการใช้งานจริงในไทย พร้อมทั้งศึกษา และนำเสนอความเป็นไปได้ของการใช้ Hydrogen และ Ammonia Co-Firing เป็นพลังงานทางเลือกในประเทศ ทั้งนี้ โครงการ CCS ที่แหล่งอาทิตย์ในอ่าวไทยจะเริ่มดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ ในปี 2571 โดยสามารถกักเก็บได้สูงสุดประมาณ 1 ล้านตัน/ปี โครงการดังกล่าวจะเป็นต้นแบบสำคัญสำหรับการพัฒนา CCS ในพื้นที่อื่นๆ ของประเทศไทย รวมถึงการพัฒนา CCS Hub ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกในอนาคต
ภายใต้ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ ปตท. เร่งสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน ผ่านโครงการสำคัญที่จะยกระดับผลการดำเนินงาน (EBITDA Uplift) และสร้างความสามารถในการแข่งขัน โดย 9 เดือน มีผลการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่
1. การบริหารความร่วมมือด้าน Supply Chain และ Marketing ของตลาดทั้งใน และต่างประเทศ ผ่านโครงการ P1 และ D1 สร้างผลประโยชน์รวมทั้ง 2 โครงการประมาณ 3,634 ล้านบาท
2. MissionX ยกระดับการทำ Operational Excellence ปรับปรุงกระบวนการทำงานลดค่าใช้จ่าย เพิ่มรายได้ โดยวางเป้าหมายเพิ่ม EBITDA ทั่งกลุ่ม ปตท. ปีนี้รวม 10,000 ล้านบาท โดยผลการดำเนินงาน 9 เดือนของปีนี้มีมูลค่าประมาณ 8,332 ล้านบาท และจะเพิ่มเป็น 30,000 ล้านบาท ภายในปี 2570
3. ขับเคลื่อน Digital Transformation (AXIS) โดยผลักดันการนำ Digital Tools/AI มาใช้ในองค์กรเพื่อสร้างประสิทธิภาพในด้านต่างๆ และให้เกิดการพัฒนา Use Cases สนับสนุนธุรกิจกลุ่ม ปตท. พร้อมทั้งพัฒนา Infrastructure โดยต้องมีการ Upskill และ Reskill พนักงานอย่างเหมาะสม วางเป้าเพิ่ม FRITDA ปีนี้รวม 200 ล้านบาท มีผลการดำเนินงาน 9 เดือน คิดเป็นเงิน มูลค่าประมาณ 155 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 12,000 ล้านบาท ภายในปี 2572
4. Asset Monetization (A1) การบริหารสินทรัพย์เพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดของกลุ่ม ปตท. โดยสร้าง Synergy ผ่านการ Optimize Asset & Capital และปรับโครงสร้างสินทรัพย์ให้เหมาะสม ซึ่ง A1 จะเพิ่มผลการดำเนินงาน และมีความมั่นคงในระยะยาว โดยรวมศูนย์การบริหารสินทรัพย์ด้านโครงสร้างพื้นฐาน และลอจิสติคส์ของกลุ่ม ให้บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด (PTT Tank) เป็น Infrastructure Flagship เพื่อซื้อ และเช่าทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานจาก GC และ TOP เช่น ท่าเทียบเรือ ถังเก็บผลิตภัณฑ์ ระบบขนถ่าย ถังเก็บน้ำมันดิบ ทุ่นผูกเรือกลางทะเล สถานีจ่ายน้ำมันทางรถ และธุรกิจบริการรับ จัดเก็บขนถ่ายสินค้าเหลว ฯลฯ และนำทรัพย์สินดังกล่าวมาบริหารให้เกิดรายได้ และผลตอบแทนต่อบริษัทในกลุ่ม เกิด Synergy อย่างเป็นรูปธรรมในการพัฒนา และใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานอย่างเต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งยังทำให้ฐานะการเงินของ TOP และ GC แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
5. Financial Excellence (F1) บริหารการเงินที่ตอบโจทย์ธุรกิจ และเพิ่มมูลค่าองค์กร เช่น ขยายเครดิทเทอมค่าวัตถุดิบให้บริษัทในกลุ่ม และการบริหารหนี้เงินกู้เพื่อลดต้นทุนทางการเงินกลุ่ม ปตท. จึงยังสามารถรักษาการดำเนินงานตามแผนได้ในทุกมิติ โดยมี EBITDA 9 เดือนแรก จำนวน 257,957 ล้านบาท และมีเงินสด และเงินลงทุนระยะสั้นในระดับที่แข็งแกร่ง จำนวน 413,718 ล้านบาท รองรับการลงทุน และสภาพคล่องในระยะยาว


