เรื่องเด่น Quattroruote
MERCEDES-BENZ G 580 ปฏิวัติวงการด้วยพลังงานไฟฟ้า
การรักษาตัวตนที่สืบทอดมานาน
ตัวลุยรุ่นนี้พยายามที่จะเป็นตัวของตัวเองมา 45 ปีแล้ว และประสบความสำเร็จมาเป็นเวลา 45 ปีเช่นกัน แม้โลกยานยนต์จะเปลี่ยนแปลงไปหลายครั้งขณะที่ทำตลาดมายาวนาน แต่ถึงอย่างนั้น G-CLASS ก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์เอาไว้ได้อย่างไม่สั่นคลอน การผสมผสานระหว่างความแข็งแกร่ง และความบึกบึนที่ดุดัน ไม่เหมือนใคร กลายเป็นเสน่ห์ที่น่าหลงใหล และเปลี่ยนรถคันนี้ให้กลายเป็นสิ่งที่หลายคนถวิลหามาครอบครอง ล่าสุดรถยนต์รุ่นนี้ก้าวไปไกลกว่านั้น กับการอัพเดทเทคโนโลยี ได้แก่ ขุมพลัง ความปลอดภัย และระบบความบันเทิง รวมถึงการปรับปรุงรูปทรงเล็กน้อย แต่เหนือสิ่งอื่นใด คือ การเปิดตัว G 580 ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า กับชื่อเต็มที่บ่งบอกตัวตนของตัวลุยรุ่นนี้ คือ “G 580 WITH EQ TECHNOLOGY”
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมทีมงานจากเมืองชตุทท์การ์ทจึงไม่เรียกรถรุ่นนี้ให้เรียบง่ายขึ้น และสั้นกว่านี้ นั่นคือ EQG (อีคิวจี) โดยนำตัวอักษร 2 ตัวที่บ่งบอกการเป็นรถไฟฟ้าของค่าย MERCEDES-BENZ ออกจากชื่อรุ่น คำตอบอยู่ที่ความปรารถนาที่จะเคารพในความพิเศษเฉพาะตัวของรถยนต์รุ่นนี้ และคุณสมบัติโดยรวมของรถ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้นำไปสู่รุ่นพิเศษต่างๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เช่น รุ่น 6x6 ในปี 2013 หรือรุ่น AMG 4x4 2 รุ่นล่าสุดในปี 2023 ปัจจุบันความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมของขุมพลังเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นำมาซึ่งทางเลือกอื่นๆ และการออกแบบแนวใหม่ (ส่งผลต่อกระจังหน้า กันชน และส่วนขอบเสาที่ด้านข้างกระจกหน้ารถ) จึงเกิดเป็นรุ่นรถยนต์ไฟฟ้าที่มาแทนที่รุ่นเบนซิน และดีเซลแบบดั้งเดิม โดยแต่ละรุ่นของเครื่องยนต์สันดาปจะถูกปรับเปลี่ยนเป็นระบบไฮบริดขนาดเล็กทั้งหมด (รวมถึงตัวแรง G 63 AMG ที่มีกำลัง 585 แรงม้า)
ด้วยแบทเตอรีความจุ 116 กิโลวัตต์ชั่วโมง G 580 จึงรับประกันได้ว่าสามารถวิ่งเป็นระยะทางสูงสุดที่ 430 กม. เมื่อชาร์จเต็ม (มาตรฐาน WLTP) แม้ว่าจะมีรูปร่างที่ไม่ค่อยลู่ลมนัก และมีน้ำหนักมาก โดยไม่รวมคนขับก็ตาม น้ำหนักโดยรวมยังมากกว่า 3 ตัน เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะทีมงานของเรายังต้องทดสอบรถคันนี้บนถนนจริง สามารถแล่นเป็นระยะทางจริงอยู่ที่ประมาณ 300 กม. โดยการขับขี่ที่ค่อนข้างราบรื่น และไม่ใช่เรื่องง่ายที่ยับยั้งชั่งใจไม่ให้ปลดปล่อยพละกำลัง 587 แรงม้า ที่ได้จากมอเตอร์ไฟฟ้า 4 ชุด ซึ่งแต่ละชุดเชื่อมต่อกับล้อโดยตรง (ดูกล่องข้อความในหน้าถัดไป) ที่น่าประทับใจยิ่งกว่า คือ แรงบิดสูงสุด 1,164 นิวทันเมตร/118.7 กก.ม. ซึ่งทำให้แรงบิดสูงสุดของตัวแรงรหัส AMG คือ 850 นิวทันเมตร/86.7 กก.ม. ดูน้อยนิดทันใด เมื่อเหยียบคันเร่งลงไป อัตราเร่งจะรุนแรง และทำให้ผู้ขับต้องเจอกับอาการหลังติดเบาะอันเร้าใจ ผู้ผลิตอ้างว่า รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ใน 4.7 วินาที พร้อมระบบควบคุมการออกตัว แม้แต่อัตราเร่งยืดหยุ่นที่มีความฉับไวไม่แพ้กัน
ในการทดสอบครั้งนี้ที่เมืองแปร์ปิญอง ประเทศฝรั่งเศส เรารู้สึกประหลาดใจกับการตอบสนองระหว่างทะยานในโค้งมากกว่าสมรรถนะในทางตรง ซึ่งไม่น่าแปลกใจสำหรับรถยนต์ตัวลุยที่มีน้ำหนักมาก และการปรับแต่งลักษณะนี้ ความคล่องตัวที่เหนือกว่ารถยนต์รุ่นเดียวกันที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป ใน G 580 การควบคุมแรงบิดที่ส่งโดยมอเตอร์แต่ละชุด (โดยมีแรงบิดที่ 291 นิวทันเมตร/29.7 กก.ม.) ช่วยให้ผู้ขับสามารถสนุกกับการควบคุมแรงบิดได้ โดยการเพิ่มแรงส่งบนล้อฝั่งที่อยู่นอกโค้ง และลดแรงขับบนล้ออื่นๆ ช่วยให้บังคับควบคุมขณะเข้าโค้งได้ดีขึ้น
การขับขี่รถยนต์รุ่นนี้จะมีความเร้าใจสูงสุดในการใช้งานบนทางสมบุกสมบันซึ่ง G 580 มีมอเตอร์ที่สามารถหมุนได้อย่างอิสระเหมือนยานพาหนะที่มีเพลาขับ เป็นที่มาของฟังค์ชัน G-TURN และจะเปิดใช้งานเมื่อหยุดนิ่งเท่านั้น เมื่อกดปุ่มบนคอนโซลกลาง (เฉพาะสำหรับรุ่นพลังงานไฟฟ้าคันนี้) เพียงแค่ดึงแป้นแพดเดิล ชิฟท์ที่อยู่ด้านหลังพวงมาลัยในด้านที่คุณต้องการเริ่มเลี้ยว เมื่อพวงมาลัยตรง และเหยียบคันเร่ง ความมหัศจรรย์ก็จะเกิดขึ้น โดยล้อด้านหนึ่งจะดันไปข้างหน้า และอีกด้านจะดันไปข้างหลัง ทำให้รถเริ่มหมุนรอบแกนแนวตั้งในแนวระนาบ ผู้ขับสามารถขับได้สูงสุด 2 รอบ แต่แน่นอนว่าเป้าหมายไม่ได้อยู่ที่ความแปลกใหม่ แต่เพื่อหลีกหนีจากปัญหาของการลุยทางสมบุกสมบัน เช่น บางครั้งผู้ขับอาจลงเอยบนถนนลูกรังที่ไม่มีทางออก และต้องการกลับรถ การใช้งานนั้นง่าย และไม่ยุ่งยาก ทันทีที่คุณยกเท้าออกจากคันเร่ง หมุนพวงมาลัย หรือปล่อยแป้นควบคุม การหมุนก็จะจบลง และรถจะหยุดทันที ควรใช้ฟังค์ชันนี้เฉพาะบนถนนลูกรัง หรือพื้นผิวที่มีการยึดเกาะต่ำเท่านั้น ในความเป็นจริง ฟังค์ชันนี้สามารถทำงานบนถนนลาดยางได้เช่นกัน แต่จะทำให้ดอกยางเสียหายอย่างมาก รวมถึงการเกิดควัน และเสียงดัง ซึ่งขัดต่อภาพลักษณ์การเป็นรถยนต์รักษ์โลกของ G-CLASS รุ่นนี้
การควบคุมมอเตอร์ไฟฟ้าทั้ง 4 ชุด รวมถึงการจัดการระบบเบรคนั้น อยู่ที่ด้านหลังของฟังค์ชันอื่นๆ เรียกว่า G-STEERING และเปิดใช้งานได้ด้วยปุ่มบนคอนโซลหน้าเช่นกัน ด้วยการเหยียบคันเร่งเล็กน้อย และหมุนพวงมาลัยอย่างรวดเร็ว รถจะเร่งล้อหลังด้านนอกมากขึ้น และเบรคล้อด้านใน ทำให้เกิดการหันเปลี่ยนทิศทางของตัวรถ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ขับเลี้ยวได้คล่องแคล่วขึ้น เราได้ลองขับในเส้นทางสลาลอม (บนถนนดินลูกรัง) สามารถใช้งานได้ดี อย่างไรก็ตาม ในตอนแรก ผู้ขับจะต้องใช้คันเร่งเพื่อกระตุ้นให้รถมีอาการลื่นไถลด้วย ในทางกลับกัน ผู้ขับต้องพึ่งพาระบบอีเลคทรอนิคส์เข้ามาช่วยอีกแรง เพื่อการขับเคลื่อนด้วยทิศทางที่เหมาะสมที่สุด
สำหรับคนไม่ชอบความเงียบ
การทดสอบบนทางสมบุกสมบันดำเนินต่อไปบนสนามแข่งแรลลี (ในความหมายที่แท้จริงของคำนี้ สถานที่ทดสอบ คือ เส้นทางที่ใช้เป็นด่านพิเศษของการแข่งขัน PARIS-DAKAR) ร่วมกับนักขับมืออาชีพ รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ถ่ายทอดกำลังแรงม้าออกมาได้ดี และออกจากโค้งได้อย่างรวดเร็ว ด้วยระบบขับเคลื่อน และตัวถังที่แข็งแกร่ง จึงไม่ทำให้เกิดการสะดุดระหว่างการกระโดดบนเนิน และเสียงรบกวนจากตัวถังส่วนต่างๆ เป็นผลดีจากการใช้วัสดุคอมโพสิทที่ปกป้องชุดแบทเตอรีข้างใต้ตัวถัง และวัสดุสเตนเลสส์ที่ปกป้องใต้เครื่องยนต์ แต่ G 580 ยังช่วยให้คุณไปถึงจุดหมายได้อย่างเงียบเชียบ และกลมกลืนกับธรรมชาติ เป็นความเงียบแบบเดียวกับที่คุณจะได้รับเมื่ออยู่บนท้องถนนช่วงความเร็วต่ำ และปานกลาง อย่างไรก็ตาม เมื่อขับเกิน 110 กม./ชม. จะได้ยินเสียงจากตัวถังอย่างชัดเจน โดยเฉพาะที่ด้านหน้า เมื่อพิจารณาว่าองค์ประกอบหลายส่วนถูกปรับปรุงด้วย (แม้จะเพียงไม่กี่รายการ) เพื่อจุดประสงค์หลัก คือ การลดเสียงรบกวนจากอากาศพลศาสตร์ อย่างไรก็ตาม ในรุ่นนี้ คุณยังคงได้ยินเสียงดังกล่าวได้ แม้ว่าจะขาดเสียงคำรามของเครื่องยนต์สันดาปก็ตาม หากคุณรู้สึกคิดถึงอดีตจริงๆ ก็มีฟังค์ชัน G-ROAR ที่ปล่อยเสียงสังเคราะห์แบบเครื่องยนต์ V8 ของ G 63 AMG ออกมาทางลำโพงของระบบเครื่องเสียง HI-FI
ระบบขับเคลื่อนดีกว่าเดิม
จากภาพด้านบน ตำแหน่งของจุดชาร์จไฟฟ้า รองรับการชาร์จแบบ AC สูงสุดที่ 11 กิโลวัตต์ และแบบ DC สูงสุด 200 กิโลวัตต์ รูปถัดลงมา คือ เสาเอที่ถูกออกแบบใหม่ อยู่ถัดจากกระจกบังลมด้านหน้า มีรูปทรงโค้งมนกว่าเดิม เพื่ออากาศพลศาสตร์ที่ดีขึ้น ลดเสียงรบกวนขณะแล่นในตัว ขณะที่ส่วนท้ายรถยังมีการติดตั้งอะไหล่บางตัวมาให้บนประตูบานท้าย ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม เหมาะสำหรับคนขับที่ลุยทางสมบุกสมบันเป็นประจำ (ในรุ่นรถยนต์ไฟฟ้าจะติดตั้งกล่องเก็บของสำหรับเก็บชุดสายไฟเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน)
รุ่น 580 AMG LINE ข้อมูลของตัวรถจากผู้ผลิต
มอเตอร์ไฟฟ้า
- มอเตอร์ขับเคลื่อน ด้านหน้า 2 ชุด, ด้านหลัง 2 ชุด
- กำลังสูงสุด 432 กิโลวัตต์/587 แรงม้า
- แรงบิดสูงสุด 1,164 นิวทันเมตร/118.7 กก.ม.
แบทเตอรี
- แบบ ลิเธียม-ไอออน ความจุ 120 กิโลวัตต์ชั่วโมง (ใช้งานได้จริง 116 กิโลวัตต์ชั่วโมง)
รองรับการชาร์จ
- AC 11 กิโลวัตต์/DC 200 กิโลวัตต์
ระบบส่งกำลัง
- ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา
- ชุดควบคุมการทำงานของมอเตอร์
สมรรถนะ
- ความเร็วสูงสุด 180 กม./ชม. (จำกัดความเร็ว)
- 0-100 กม./ชม. ใน 4.7 วินาที
- อัตราสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้าเฉลี่ย 3.6 กม./กิโลวัตต์
- ระยะทำการสูงสุด 430 กม.
มิติตัวถัง และน้ำหนัก
- ระยะฐานล้อ 2,890 มม.
- ความยาว 4,620 มม. กว้าง 1,930 มม. สูง 1,990 มม.
- น้ำหนักโดยรวม 3,085 กก.
ราคา
- 169,840 ยูโร (ประมาณ 5,939,000 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า)
ข้อมูลทางเทคนิค ทำลายข้อจำกัดเดิมๆ
รูปทรงของ G-CLASS พลังไฟฟ้ายังคงถูกรักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิมเอาไว้ครบถ้วน โดยเฉพาะความบึกบึนของตัวถัง แต่การเปลี่ยนแปลงหลักเป็นหน้าที่ของทีมวิศวกรจากเมืองชตุทท์การ์ท ประการแรก คือ การหาทางติดตั้งแบทเตอรีขนาดใหญ่ ความจุ 116 กิโลวัตต์ชั่วโมง ให้พอดีกับโครงสร้างตัวถัง แน่นอนว่า ยังคงต้องมีความแข็งแรงสำหรับการลุยทางสมบุกสมบันด้วย ดังนี้แล้ว ทีมงานผู้พัฒนารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้จึงออกแบบให้ชุดแบทเตอรีมีความยาวเป็นพิเศษ กับจำนวนที่ 216 เซลล์ (แยกเป็น 12 โมดูล) จัดวางเรียงกันเป็น 2 ชั้น เสริมด้วยชุดระบายความร้อนด้วยน้ำจำนวน 2 ชุดทั้งด้านบน และด้านล่าง ลักษณะประกบกันเป็นแซนด์วิช แม้น้ำหนักของชุดแบทเตอรีจะค่อนข้างมากก็ตาม ที่ประมาณ 720 กก. และมีการเสริมแผ่นกันกระแทกที่มีน้ำหนักร่วม 57.6 กก. พร้อมความหนา 26 มม. บริเวณด้านล่างของตัวถัง ทำหน้าที่ปกป้องชุดแบทเตอรีจากการกระแทกพื้นถนนของทางสมบุกสมบัน มีการยึดติดอย่างแน่นหนาด้วยสกรูถึง 50 ตำแหน่ง ด้วยเหตุนี้เอง ทางผู้พัฒนารถยนต์รุ่นนี้จึงต้องเลือกใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบา และแข็งแรงทนทาน เช่น วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ เทียบกับวัสดุโลหะแล้วจะมีอัตราส่วนน้ำหนักเบากว่ากันถึง 3 เท่า นอกจาการป้องกันแรงกระแทกแล้ว ชุดแบทเตอรียังถูกปกป้องจากน้ำได้ด้วย สามารถลุยน้ำได้ดีในระดับหนึ่ง ผลลัพธ์ดังกล่าวมาจากการใช้วัสดุอลูมิเนียมแบบกันน้ำ ทำให้ G 580 สามารถแล่นผ่านน้ำลึกได้สูงสุดที่ 850 มม. (มากกว่ารุ่นเครื่องยนต์เบนซิน และดีเซล ซึ่งมีข้อจำกัดจากช่องรับไอดี ร่วม 15 มม.) นอกจากนี้ โครงสร้างตัวถังถูกพัฒนาให้มีคุณสมบัติของการกันน้ำ ติดตั้งด้านข้างของตัวถังอย่างแน่นหนา และเสริมความแข็งแรงให้แก่โครงสร้างได้ด้วย รองรับการติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าในแต่ละตำแหน่งของล้อ (โครงสร้างตัวถังบริเวณดังกล่าวจะขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียว) รองรับแรงบิดขณะทำอัตราเร่งได้อย่างมั่นคง การติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าที่ล้อแต่ละตำแหน่งถูกออกแบบมาอย่างถี่ถ้วน เพื่อลดพื้นที่การติดตั้งโดยรวม และลดน้ำหนักใต้ชุดระบบรองรับอีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ การแล่นขึ้นทางลาดชัน 100 % โดยที่ชุดมอเตอร์ไม่ร้อนจนเกินไป มีการเสริมชุดเกียร์อัตราทดต่ำ มีตำแหน่งตรงกลางระหว่างมอเตอร์ขับเคลื่อนแต่ละชุด อัตราทด 2:1 ระหว่างการขับเคลื่อนตามปกติ และการขับเคลื่อนบนทางสมบุกสมบัน สุดท้ายแล้ว คือ การติดตั้งชุดส่งกำลังสำหรับล้อคู่หน้า สามารถตัดการส่งกำลังของมอเตอร์ไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (ในเวลา 0.3 วินาที) สามารถขับเคลื่อนแบบ 2 ล้อหลังบนทางเรียบ ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้าน้อยลงด้วย
มอเตอร์ไฟฟ้าถูกติดตั้งคู่กัน ภายใต้ส่วนของโครงสร้างตัวถัง (ในรูปเป็นของล้อคู่หน้า) มีการติดตั้งชุดเกียร์แบบเน้นแรงบิดด้วย
ข้างใต้ชุดแบทเตอรีมีแผ่นของระบบระบายความร้อนจากทั้งหมด 3 ชุด และมีแผ่นกันกระแทกซ้อนเข้ามาอีกชั้นหนึ่ง
รองรับการชาร์จไฟฟ้าแบบ AC ที่ 11 กิโลวัตต์ ใช้เวลาชาร์จเต็มประมาณ 12 ชม. และแบบ DC ที่ 200 กิโลวัตต์ ชาร์จจาก 10-80 % ในเวลา 32 นาที
การติดตั้งชุดมอเตอร์ขับเคลื่อนบริเวณด้านหลัง โครงสร้างตัวถังบริเวณส่วนท้ายรถจึงถูกออกแบบใหม่ มีพื้นที่ตรงกลางมากกว่าเดิม ทดแทนพื้นที่ของชุดเพลาขับ
ชุดแปลงกระแสไฟฟ้าถูกติดตั้งข้างใต้เบาะนั่ง บริเวณตรงกลาง เดิมทีในรุ่นเครื่องยนต์สันดาปเป็นตำแหน่งการติดตั้งของชุดเกียร์อัตโนมัติ
บริเวณด้านหน้า ตำแหน่งติดตั้งระบบรองรับแบบมัลทิลิงค์ ขณะขับเคลื่อนบนทางเรียบด้วยความเร็วคงที่ ระบบจะตัดการส่งกำลังของล้อคู่หน้า เพื่อลดอัตราสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้า