Quattroruote ทดสอบ
BMW 520D TOURING VS MERCEDES-BENZ E 220 D SW ความแตกต่างที่น่าหลงใหล
ความเหมือนที่แตกต่าง
รถยนต์ไฟฟ้ามีบทบาทมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ยังมีข้อจำกัดในแง่ของการขับทางไกลเป็นระยะทางยาว สถานีชาร์จไฟฟ้าก็ยังมีไม่เพียงพอ เป็นสิ่งที่ไม่อาจจะเลี่ยงได้สำหรับรถยนต์ประเภทนี้ ถึงกระนั้น หากใครที่ใช้งานรถยนต์เป็นระยะทางไกลเป็นประจำ ไม่ว่าจะด้วยหน้าที่การงาน หรือการใช้งานส่วนตัว ทางเลือกของขุมพลังรูปแบบอื่นๆ ดูเป็นทางออกที่ดีกว่า การทดสอบของเราเริ่มขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคม กับรถยนต์ขุมพลังดีเซลทั้ง 2 รุ่น เติมน้ำมันมาเต็มถังก่อนเริ่มเดินทาง กับเส้นทางที่ท้าทายคุณสมบัติของเครื่องยนต์ดีเซล กำหนดการเบื้องต้น คือ การไปทานอาหารเย็นที่กรุงโรม และเดินทางกลับที่สนามทดสอบ VAIRANO ในเช้าวันรุ่ง ขึ้นโดยไม่หยุดพักเลย ดูเป็นเส้นทางที่ใช้กำลังแรงกายไม่น้อย แม้สามารถทำได้ตามทฤษฎี แต่ในความเป็นจริงกับระยะทางร่วม 1,200 กม. ถือว่าหนักหนาไม่เบา แต่รวมๆ แล้ว เรายังมั่นใจในประสิทธิภาพจากเครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ สัญชาติเยอรมัน ซึ่งเป็นระบบไฮบริดขนาดเล็ก ทั้งคู่ติดตั้งบนรถยนต์ที่พวกเขาเชี่ยวชาญ นั่นคือ การเป็นหนึ่งในรถยนต์ที่รับความนิยมมากมาย กับรุ่น TOURING (ทัวริง) ลำดับที่ 8 ของ BMW 5-SERIES (บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-5) เพิ่งทำตลาดได้ไม่นาน กับคู่แข่งจากฝั่ง MERCEDES-BENZ (เมร์เซเดส-เบนซ์) ที่ยังมีความสดใหม่ไม่แพ้กัน โดยพิจารณาจากเวอร์ชัน SW หรือ STATIONWAGON รุ่นที่ 6 ของ E-CLASS (อี-คลาสส์) ทั้ง 2 รุ่นจัดเป็นคู่แข่งโดยตรง มีจุดเด่นหลายประการแตกต่างกันไป แล้วแต่ความชอบของแต่ละคน
หากไม่นับความเป็นคู่แข่งโดยตรงของทั้งค่ายแล้ว รถยนต์ทั้ง 2 รุ่นมีจุดคล้ายคลึงร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นตัวถังความยาวร่วม 5 ม. ระบบรองรับที่ปรับแต่งมาอย่างดี และระบบส่งกำลังที่เทียบเคียงได้ ส่วนเรื่องกำลังเครื่องยนต์นั้น ดูเหมือนว่าจะมีพละกำลังสูสีกันมากๆ (197 แรงม้า ทั้งคู่) ตามระบบส่งกำลัง มีการเรียกชื่อที่แตกต่างกัน แต่อยู่บนพื้นฐานของเกียร์อัตโนมัติ พร้อมระบบแปรผันการส่งกำลังของแรงบิด เป็นแบบ 8 จังหวะ และขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา (ทั้ง 2 คันยังมีบริการหลังการขายสำหรับการลากจูงฉุกเฉินด้วย)
ขณะที่เส้นทางของการทดสอบจากเมืองมิลานไปเมืองโบโลญญา ก็ราบรื่นเหมือนเช่นเคย การจราจรไม่เป็นปัญหา และเนื่องจากการเดินทางระยะทางไกลอาจเป็นเรื่องน่าเบื่ออยู่บ้าง แต่มีผลดีในแง่ของการทดสอบเป็นระยะทางไกล รวมถึงระบบความปลอดภัยด้วย สำหรับ BMW เมื่อใช้งานบนทางด่วน สามารถใช้งานระบบเนวิเกเตอร์ผ่านการสั่งงานด้วยเสียง หรือสามารถใช้งานผ่านปุ่มมัลทิฟังค์ชันบนพวงมาลัย สำหรับระบบช่วยเหลือการขับขี่ระดับที่ 2 สามารถใช้งานระบบครูสคอนทโรลแบบแปรผันความเร็วได้ ขณะที่ทาง MERCEDES-BENZ มีความทันสมัยของการใช้งานไม่แพ้กัน ระบบช่วยเหลือเปิดใช้งานได้สะดวกเท่าๆ กัน และการใช้งานจากทั้ง 2 ค่ายมีความสะดวกสบาย และง่ายดาย เมื่อพูดถึงหัวข้อนี้แล้ว คุณสมบัติที่สำคัญ รถยนต์ E-CLASS SW จะปรากฏการแสดงผลขึ้นมา การใช้งานระยะทางไกลมีความแม่นยำเป็นอย่างดี ทางฝั่ง BMW มีการแสดงผลที่แม่นยำเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนท้องถนนที่มีสิ่งแวดล้อมมากมาย นอกจากนี้ การใช้งานยางขนาดใหญ่ (ที่ 20 นิ้ว แทนที่ 18 นิ้ว) แล่นผ่านเส้นทางภูเขาได้เงียบ แม้มีขนาดของแก้มยางลดลงมาบ้าง (ที่ 45 แทนที่ 55 เดิม) ถึงอย่างนั้นห้องโดยสารยังมีความเงียบอย่างน่าพอใจ นับเป็นจุดที่น่าเหลือเชื่อไม่น้อย ผู้โดยสารสามารถเพลิดเพลิน กับเสียงเพลงเสมือนอยู่บ้านได้เลยทีเดียว กับระบบเครื่องเสียงที่มีประสิทธิภาพสูงทั้งคู่ ขณะที่ระบบปรับอากาศ และระบบนวดลำตัวผู้โดยสารเบาะหน้ามีติดตั้งมาให้ พร้อมระบบระบายความร้อนเบาะนั่ง และพนักพิง รวมถึงระบบอื่นๆ อีกมากมาย ปรับแต่งได้ตั้งแต่พนักพิงศีรษะ ส่วนรองรับต้นขา สามารถปรับระยะใกล้/ไกลได้อีกด้วย ในแง่ของการรองรับสรีระ สามารถตั้งค่าได้หลากหลาย ทาง MERCEDES-BENZ ทำได้อย่างยอดเยี่ยม ไร้ที่ติ ในแง่ของการขับทางไกล
สำหรับ BMW มีจุดเด่นไม่แพ้กัน ภายใต้ความแตกต่างของการตอบสนอง แม้จะมีความหนึบแน่นมากกว่า แต่ยังรองรับการขับทางไกลได้ดีไม่แพ้กัน ความแตกต่างของรถยนต์ทั้ง 2 รุ่นสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจน ทั้งทางตรง และทางอ้อม เราไม่มีความสงสัยเมื่อขึ้นมาขับเป็นคัน ที่ 2 ทั้งกับสภาพการจราจรที่ปลอดโปร่งกว่า เส้นทางส่วนนี้จะผ่านเมืองโบโลญญา ไปถึงเมืองฟลอเรนศ์ รถทดสอบของเราเป็นรุ่นย่อย M SPORT PRO (เอม สปอร์ท พโร) และติดตั้งออพชันตัวเสริมให้มีความมั่นคงมากขึ้น (รวมถึงการเสริมแกนหลังพวงมาลัย) รุ่น 520 D TOURING (520 ดี ทัวริง) เป็นรถยนต์ที่มึความสวยงามลงตัวอย่างแท้จริง มีความสมดุลดีมาก (อัตราส่วนน้ำหนักหน้า/หลังที่ 50:50 พอดี) การตอบสนองของการหักเลี้ยวที่คล่องแคล่ว และพวงมาลัยที่ตอบสนองได้ฉับไวเช่นกัน แม้ตัวรถจะแลดูมีขนาดใหญ่ที่ใหญ่โตมาก แต่ความคล่องแคล่วยังทำได้น่าพอใจมาก ทีมงานจากเมืองชตุทท์การ์ทพัฒนารถคันนี้ขึ้นมาเป็นอย่างดี ในการทดสอบความคล่องแคล่วที่สนาม VAIRANO ทาง E-CLASS SW ทำได้ดีไม่น้อย มีความมั่นคงขณะอยู่ในโค้ง แต่การออกจากโค้งทำได้ด้อยกว่าเล็กน้อย ส่วนหนึ่งอาจมาจากการใช้ยางที่มีแก้มยางหนากว่าก็เป็นได้
ไฟเตือนของ BMW ปรากฎขึ้นมา
เมื่อผ่านเมืองฟลอเรนศ์ไปแล้ว ถนนสาย A1 มีการจราจรที่ปลอดโปร่ง แต่ยังมีรถหลายคันแล่นกันเป็นระยะ มิติตัวถังของรถยนต์ทั้ง 2 รุ่น มีความสูง และความยาวค่อนข้างมาก แต่ยังเข้าโค้ง ได้อย่างเพลิดเพลิน เมื่อเหลือบดูมาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิง ก็ลดลงไปไม่มาก จากการเติมน้ำมันเต็มถัง ทำให้เรามาถึงเมืองหลวงหลังจากเดินทางเพียงไม่นานเป็นระยะทาง 600 กม. พร้อม การแสดงผลจากแผงหน้าปัดแบบดิจิทอล แสดงตัวเลขการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ 17.5 กม./ ลิตร สำหรับ BMW และ 19.6 กม./ลิตร สำหรับ MERCEDES-BENZ แม้ว่าคันแรกจะมีระยะทางมากกว่าเล็กน้อย (นั่นคือ 40 กม. โดยมอเตอร์ไฟฟ้า เทียบกับ 33 กม. ของอีกหนึ่งรุ่น) ในเช้าวันรุ่งขึ้น เราตื่นนอนตอนเช้ามาทำกิจธุระทั่วไป การเดินทางต่อจากนี้จะมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ ครั้งนี้ เราใช้โหมดการขับขี่กับทั้ง 2 คันด้วยโหมดประหยัด (มีผลต่อการทำงานของเครื่องยนต์สันดาป และมอเตอร์ไฟฟ้า รวมถึงการทำงานของระบบปรับอากาศ ฯลฯ) เพื่อดูว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เราพบว่าในโหมด ECO ไม่ส่งผลมากนัก อย่างไรก็ตาม การตอบสนองโดยรวมมีความแตกต่างเพียงเล็กน้อย ภายใต้ความลงตัว 2 สไตล์ มีเพียงประเด็นเดียวเท่านั้นที่มีความแตกต่างชัดเจน นั่นคือ ระบบรองรับของ BMW ที่มีความแข็งมาก การเข้าโค้งหนึบแน่นมากกว่าเล็กน้อย ในส่วนของ MERCEDES-BENZ (ซึ่งในความเป็นจริงการทำงานของเครื่องยนต์มีประสิทธิภาพของแบทเตอรีในระดับที่ใกล้เคียงกัน พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีพละกำลังใกล้เคียงกันด้วย) อย่างไรก็ตาม เสียงของเครื่องยนต์ดีเซลจะดังกว่าเล็กน้อย เราสังเกตได้ขณะเร่งความเร็ว
การขึ้นเขาเป็นไปอย่างราบรื่น โดยมีระบบเนวิเกเตอร์คอยช่วยเหลือ สามารถแสดงผลการจราจรได้แม่นยำ (ซึ่งทำให้ค่าเฉลี่ยอัตราสื้นเปลืองเชื้อเพลิงของเราลดลงเล็กน้อย ส่งผลให้อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงดีขึ้น) และเป้าหมายของเรา คือ ใช้ความเร็วคงที่ที่เหมาะสมของ E-CLASS การโดยสารเน้นความสงบเงียบ สะดวกสบาย เพราะการเดินทางเป็นระยะทางไกลยังบ่งบอกถึง ความเป็นอิสระในรถยนต์จากเมืองมิวนิค อย่างไรก็ตาม ทีมงานผู้ทดสอบอาจมีความกังวลเล็กน้อย เนื่องจากระบบเนวิเกเตอร์ระบุว่า สนามทดสอบอยู่ห่างออกไปประมาณ 50 กม. กับน้ำมันเชื้อเพลิงที่เหลือน้อยลง แต่สุดท้ายแล้ว เราสามารถถึงจุดหมายปลายทางโดยที่น้ำมันเหลือน้อยมาก กับอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ 18.5 กม./ลิตร ขณะที่ทาง MERCEDES-BENZ มีตัวเลขที่ดีกว่าที่ 22.7 กม./ลิตร แล่นได้ไกลกว่ามาก ไปถึงชายแดนประเทศสวิทเซอร์แลนด์ที่อยู่ไกลออกได้สบายๆ
รุ่น XDRIVE M SPORT PRO
ราคา 80,100 ยูโร (ประมาณ 3,420,000 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า)
เครื่องยนต์ ดีเซล เทอร์โบ 4 สูบเรียง 1,995 ซีซี
กำลังสูงสุด 145 กิโลวัตต์/197 แรงม้า
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย
จากผู้ผลิต 16.1 กม./ลิตร
จากการทดสอบ 14.7 กม./ลิตร
ความคุ้มค่าโดยรวม 11.87 ยูโร/100 กม.
อัตราการปล่อยไอเสียเฉลี่ย
จากผู้ผลิต 163 กรัม/กม.
รุ่น 4MATIC AMG LINE PR.
ราคา 86,904 ยูโร (ประมาณ 3,860,000 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า)
เครื่องยนต์ ดีเซล เทอร์โบ 4 สูบเรียง 1,993 ซีซี
กำลังสูงสุด 145 กิโลวัตต์/197 แรงม้า
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย
จากผู้ผลิต 19.2 กม./ลิตร
จากการทดสอบ 18.6 กม./ลิตร
ความคุ้มค่าโดยรวม 9.34 ยูโร/100 กม.
อัตราการปล่อยไอเสียเฉลี่ย
จากผู้ผลิต 138 กรัม/กม.
จุดแข็ง
- 520 D ตอบสนองการขับขี่ได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะรุ่นย่อย M SPORT และมีระดับเสียงรบกวนที่ต่ำ รองรับการใช้งานที่หลากหลาย และมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่น่าพอใจ ส่วนรุ่น 220D มีการประหยัดเชื้อเพลิงที่ทำได้ดีกว่า เทียบเท่าเครื่องยนต์ไฮบริด และยังสามารถทำได้ดีในแทบทุกสภาวะการขับขี่
จุดอ่อน
- 520 D มีการตกแต่งห้องโดยสารที่ลงตัว แต่โดยรวมแล้วด้อยกว่าคู่แข่งอย่าง MERCEDES-BENZ ซึ่งมีดารใส่ใจในรายละเอียดได้ดีกว่า นอกจากนี้ส่วนช่องแอร์นั้น สามารถปรับทิศทางได้ค่อนข้างลำบาก ส่วนรุ่น 220D มีการยึดเกาะของยางที่น่าจะทำได้ดีกว่านี้ การทดสอบความคล่องแคล่วค่อนข้างลำบาก รวมถึงประสิทธิภาพโดยรวมของระบบเบรก
SERIES 5 โดดเด่นที่ความคล่องแคล่ว
จากการลองขับบนถนนจริง ทำให้เราพบความแตกต่างของทั้ง 2 รุ่น โดยทาง BMW มีจุดเด่นด้านความคล่องแคล่ว ระบบรองรับมีความหนึบแน่นกว่า รวมถึงยางที่มีการยึดเกาะถนนดีกว่า การบังคับเลี้ยวตอบสนองได้ฉับไว และต่อเนื่อง ขณะที่ทาง MERCEDES-BENZ มีความโดดเด่นในเรื่องของความสะดวกสบายที่มากกว่า
การขับแบบ 2 โหมด
จากสนามทดสอบ VAIRANO ไปยังเมืองโรม ขาไปเราใช้โหมดการขับขี่แบบ NORMAL เพื่อประเมินประสิทธิภาพโดยรวมของรถทั้ง 2 รุ่น โดยขาแรกมีระยะทาง 590 กม. และรวมระยะทั้งหมดแบบไป/กลับ คือ 1,176 กม. มีการใช้ความเร็วสูงในบางช่วง แต่ส่วนใหญ่จะใช้ความเร็วภายใต้กฎหมายกำหนด และตามสภาพการจราจร อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงจึงมีความหลากหลาย
พื้นที่เพิ่มเติมกับ MERCEDES-BENZ
ที่เก็บสัมภาระของทั้ง 2 รุ่นมรการประกอบที่น่าพอใจ (มีการปูวัสดุพรมแม้กระทั่งส่วนซุ้มล้อ ส่วนแผ่นขอบประตูใช้วัสดุอลูมิเนียม กลอนประตูมีวัสดุหุ้มมิดชิด) การบรรทุกสัมภาระทำได้สะดวก (ส่วนขอบมีระดับต่ำลงมา พร้อมระบบเปิดประตูไฟฟ้าแบบแฮนด์ฟรี) มีพื้นที่ใช้สอยเหลือเฟือ ในแง่ของความจุของที่เก็บสัมภาระ MERCEDES-BENZ มีความโดดเด่นอย่างไม่ต้องสงสัย มีความจุมากกว่าทาง BMW ถึง 123 ลิตร โดยต้องหมายเหตุเพิ่มเติมว่า E-CLASS มีที่เก็บของเพิ่มเติมบริเวณใต้พื้นรถด้วย นอกจากนี้ยังมีที่เก็บของหลากหลาย ส่วนที่เก็บสัมภาระท้ายมีความจุลดลงมาเล็กน้อยอีก 36 ลิตร แต่ยังใช้งานได้ดีสำหรับรถยนต์ของค่ายดาว 3 แฉก ส่วนหนึ่งมาจากความลึกของที่เก็บสัมภาระเพิ่มขึ้นมาอีกประมาณ 10 ซม. ขณะที่ความกว้าง และความสูงไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทั้ง 2 รุ่นติดตั้งเบาะด้านหลังพับได้อัตราส่วน 40:20:40
รุ่น 520 D ข้อมูลของรถทดสอบจากผู้ผลิต
เครื่องยนต์
- วางด้านหน้าตามยาว
- แบบ ดีเซล เทอร์โบ 4 สูบเรียง
- ความจุ 1,995 ซีซี
- กำลังสูงสุด 145 กิโลวัตต์/197 แรงม้า ที่ 4,000 รตน.
- แรงบิดสูงสุด 400 นิวทันเมตร/40.8 กก.ม. ที่ 1,500-2,750 รตน.
ระบบไฮบริด
- มอเตอร์ไฟฟ้าแบบ 48 โวลท์
- กำลังสูงสุด 8 กิโลวัตต์/11 แรงม้า
ระบบส่งกำลัง
- ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา
- ระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ
รูปแบบตัวถัง
- ระบบรองรับด้านหน้า ปีกนกคู่ คอยล์สปริง เหล็กกันโคลง
- ระบบรองรับด้านหลัง มัลทิลิงค์ คอยล์สปริง เหล็กกันโคลง
- ระบบชอคอัพแปรผันด้วยอีเลกทรอนิค
- ระบบบังคับเลี้ยวล้อคู่หลัง
- ระบบเบรคแบบจาน พร้อมช่องระบายอากาศ เอบีเอส อีเอสพี
ยาง
- PIRELLI P-ZERO ด้านหน้า 245/40 R20 99Y ด้านหลัง 275/35 R20 102Y
มิติตัวถัง และน้ำหนัก
- ระยะฐานล้อ 3,000 มม.
- ความยาว 5,060 มม. กว้าง 1,900 ม. สูง 1,520 มม.
- น้ำหนักโดยรวม 1,970 มม.
สถานที่ผลิต
- เมือง DINGOLFING (ประเทศเยอรมนี)
เสริมประสิทธิภาพเครื่องยนต์
MERCEDES-BENZ ใช้เครื่องยนต์ดีเซลรหัส OM654 พร้อมระบบไฮบริดขนาดเล็ก มีการติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าเสริมแรงขับเคลื่อนระหว่างเครื่องยนต์ และชุดเกียร์ มีกำลังสูงสุดที่ 15 กิโลวัตต์ และแรงบิดที่ 20.4 กก.ม.
รุ่น E 220 D
ข้อมูลของรถทดสอบจากผู้ผลิต
เครื่องยนต์
- วางด้านหน้าตามยาว
- แบบ ดีเซล เทอร์โบ 4 สูบเรียง
- ความจุ 1,993 ซีซี
- กำลังสูงสุด 145 กิโลวัตต์/197 แรงม้า ที่ 3,600 รตน.
- แรงบิดสูงสุด 440 นิวทันเมตร/44.9 กก.ม. ที่ 1,800-2,800 รตน.
ระบบไฮบริด
- มอเตอร์ไฟฟ้า ระหว่างเครื่องยนต์ และชุดเกียร์
- กำลังสูงสุด 15 กิโลวัตต์/20 แรงม้า
ระบบส่งกำลัง
- ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา
- ระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ
รูปแบบตัวถัง
- ระบบรองรับด้านหน้า ปีกนกคู่ คอยล์สปริง เหล็กกันโคลง
- ระบบรองรับด้านหลัง มัลทิลิงค์ คอยล์สปริง เหล็กกันโคลง
- ระบบชอคอัพแปรผันด้วยอีเลกทรอนิค
- ระบบเบรคแบบจาน พร้อมช่องระบายอากาศ เอบีเอส อีเอสพี
ยาง
- NEXEN N’FERA SPORT SU2 ขนาด 225/55 R18 102Y
มิติตัวถัง และน้ำหนัก
- ระยะฐานล้อ 2,960 มม.
- ความยาว 4,950 มม. กว้าง 1,900 ม. สูง 1,470 มม.
- น้ำหนักโดยรวม 2,060 มม.
สถานที่ผลิต
- เมือง SINDELFINGEN (ประเทศเยอรมนี)
การส่งกำลังจาก 2 ระบบ
เครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบของรถยนต์สัญชาติเยอรมันทั้ง 2 รุ่น ประกอบด้วยระบบไฮบริดขนาดเล็ก มีส่วนช่วยทั้งอัตราเร่ง และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ภายใต้ระบบไฟฟ้าแบบ 48 โวลท์ พร้อมชุดมอเอตรืสร้างกระแสไฟฟ้า ทำหน้าที่สตาร์ทเครื่องยนต์สันดาปหลังจากหยุดรถ หรือใช้ความเร็วคงที่ เก็บพลังงานไฟฟ้าสู่แบทเตอรี และส่งกำลังมาเสริมขณะกดคันเร่ง มีอัตราเร่งที่ไหลลื่น ระบบของ MERCEDES-BENZ มีกำลังมากกว่า (ที่ 15 กิโลวัตต์ เทียบกับ 8 กิโลวัตต์ของอีกฝ่าย) และถูกติดตั้งระหว่างเครื่องยนต์ และระบบเกียร์อัตโนมัติ
48 โวลท์ ก็เกินพอ
ระบบไฟฟ้าเสริมแรงของ BMW แบบ 48 โวลท์ ทำหน้าที่สตาร์ทเครื่องยนต์/สร้างกระแสไฟฟ้า และยังเสริมกำลังในการขับเคลื่อนที่ 8 กิโลวัตต์กับเครื่องยนต์
การทดสอบเสร็จสิ้น
BMW ใช้การขับขี่ถึงน้ำมันเชื้อเพลิงสำรอง ขณะที่ทาง MERCEDES-BENZ ยังสามารถแล่นได้อีก 350 กม. สำหรับ 520 D ใช้น้ำมันทั้งหมด 65 ลิตร มากกว่าความจุตามที่ผู้ผลิตระบุมา คือ 60 ลิตร (ค่ายรถจะเผื่อพื้นที่ของถังน้ำมันแบบสำรองมากน้อยแตกต่างกันไป) ขณะที่ E-CLASS ใช้น้ำมัน 52 ลิตร จากความจุถังน้ำมันที่ใช้งานได้ คือ 66 ลิตร