เรื่องเด่น Quattroruote
LAMBORGHINI URUS SE อัตราเร่งเร้าใจ เสริมมอเตอร์อีกแรง
ก่อนหน้านี้ทีมงานผู้พัฒนา LAMBORGHINI URUS (ลัมโบร์กินี อูรุส) รุ่นนี้ต้องพบกับความท้าทายอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน นั่นคือ การหาหนทางติดตั้งชุดแบทเตอรีที่มีน้ำหนักประมาณ 200 กก. ในบริเวณที่เก็บสัมภาระท้ายของตัวรถ (นอกจากนี้ ยังมีชุดมอเตอร์ขับเคลื่อน และอุปกรณ์ของระบบไฟฟ้าอีกร่วม 100 กก.) แต่สิ่งที่ต้องรักษาเอาไว้ คือ สมรรถนะที่เร้าใจของเอสยูวีมาดสปอร์ทรุ่นนี้ พูดง่ายๆ ได้ว่า เป้าหมายของรถยนต์รุ่นนี้ คือ เอสยูวีที่มาพร้อมระบบพลัก-อิน ไฮบริด ที่มีอัตราเร่งสุดดุดัน ในเวลาต่อมา เหล่าทีมงานผู้พัฒนารถรุ่นนี้ใช้เวลาอยู่หลายเดือนสำหรับการปรับแต่งระบบรองรับ ตลอดจนการปรับแต่งการทำงานของระบบอีเลคทรอนิค ภายใต้สภาวะของเส้นทางที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นทางหิมะ หรือทางเรียบตามเมืองต่างๆ นำมาสู่ URUS SE กับระบบพลัก-อิน ไฮบริด ทีมงานของเราที่ได้ทดลองขับเอสยูวีรุ่นนี้พบว่า ระดับการยึดเกาะถนนของรถรุ่นนี้ยังคงยอดเยี่ยมไม่เปลี่ยนแปลง เทียบเคียงกับรุ่นย่อยอื่นๆ ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปล้วนได้สบาย การทะยานในแต่ละโค้งของสนามทดสอบ VAIRANO เป็นบทพิสูจน์อย่างชัดเจนถึงประสิทธิภาพของเอสยูวีรุ่นนี้ และถือเป็น URUS ที่ขับสนุกมากที่สุดรุ่นหนึ่งเลยก็ว่าได้ การตอบสนองทำได้อย่างยอดเยี่ยม แม้ในความเป็นจริง หากพิจารณาจากตัวเลขอัตราเร่งแล้ว ผลการทดสอบก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่า รุ่นที่ทำเวลาได้ดีที่สุด คือ รุ่น URUS PERFORMANTE (อูรุส เปอร์ฟอร์มันเต) ก็ตามที แต่หากจะให้กล่าวถึงความเร้าใจของการขับขี่ ความฉับไวของการตอบสนอง และความเฉียบคมโดยรวม รุ่นพลัก-อิน ไฮบริด ทำได้ยอดเยี่ยมที่สุด การขับขี่ยังให้ความรู้สึกที่เร้าใจ ภายใต้การเปลี่ยนแปลงบางประการ
URUS SE มีขุมพลังในรูปแบบพลัก-อิน ไฮบริด ทำให้ทางผู้ผลิตต้องปรับแต่งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลาขึ้นใหม่ให้มีความแตกต่างจากรุ่นย่อยอื่นๆ ของเอสยูวีรุ่นนี้ โดยมีการแทนที่รูปแบบเดิมที่แปรผันการส่งกำลังไปยังเพลาขับแต่ละตำแหน่งจากเครื่องยนต์สันดาปโดยตรง กับชุดเพลาขับเคลื่อนที่ถูกควบคุมด้วยระบบอีเลคทรอนิคพร้อมไฮดรอลิค ส่งกำลังผ่านชุดคลัทช์ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่ แปรผันการส่งกำลังได้อย่างแม่นยำ พร้อมด้วยระบบควบคุมการส่งกำลังของล้อคู่หลัง ระบบที่ถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่ถูกพัฒนาให้มีน้ำหนักเบา และรองรับการส่งกำลังที่หลากหลายภายใต้แรงบิดอันมหาศาลที่ถูกส่งมาจากชุดเครื่องยนต์ (สูงสุดที่ 950 นิวทันเมตร/96.9 กก.ม. ขณะที่กำลังสูงสุดทั้งระบบถึง 800 แรงม้า)
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลาแบบใหม่ ช่วยให้ URUS SE มีความคล่องแคล่วอย่างยอดเยี่ยม มีความแตกต่างจากรุ่นย่อยอื่นๆ อย่างชัดเจน แม้ระบบขับเคลื่อนแบบดั้งเดิมจะมีความเหมาะสมสำหรับการทำอัตราเร่งบนทางตรง (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในส่วนล้อมกรอบ) แต่กลับมีข้อจำกัดในแง่ของการขับขี่ที่มีการหักเลี้ยวเพิ่มเข้ามา ในที่นี้ คือ การขับแบบเน้นสมรรถนะบนทางโค้ง การส่งกำลังจะเน้นความมั่นคงของตัวรถ และความนิ่ง เมื่อทะยานออกไปข้างหน้า บางครั้งทำให้ตัวรถมีอาการอันเดอร์สเตียร์เข้ามา ผลลัพธ์ คือ หากตัวรถมีการยึดเกาะถนนที่หนึบแน่นมากพอ การบังคับควบคุมรถให้มีอาการโอเวอร์สเตียร์เพียงเล็กน้อย ช่วยให้การกดคันเร่งออกจากโค้งทำได้ดียิ่งขึ้น รถยนต์ที่มีรูปแบบการส่งกำลังดังกล่าว ทีมงานของเราเคยพบเจอกับ AUDI RS (เอาดี อาร์เอส) กับการตอบสนองในโค้งที่เฉียบคม
รูปแบบการส่งกำลังดังกล่าว คือ สิ่งที่ถูกเสริมเข้ามาใน URUS SE ภายใต้น้ำหนักโดยรวมกว่า 2.5 ตัน แต่สามารถทะยานไปช่วงโค้งได้อย่างคล่องแคล่วเกินคาด การปรับแต่งที่ลงตัวยังมาจากระบบบังคับเลี้ยวที่แม่นยำ และระบบบังคับเลี้ยวล้อคู่หลัง ช่วยให้เอสยูวีที่มีขนาดตัวถังใหญ่โตรุ่นนี้มีวงเลี้ยวเพียง 5.12 ม. เป็นผลลัพธ์จากการส่งกำลังของชุดเพลาขับ และระบบอีเลคทรอนิคที่ควบคุมการส่งกำลังของชุดส่งกำลังไปยังล้อคู่หลัง นอกจากนี้ ยังทำให้การเข้าโค้งทำได้เฉียบคม ตัวรถสามารถเปลี่ยนทิศทางได้อย่างแม่นยำ ฉับไว และหลังจากนั้น ผู้ขับสามารถเลือกรูปแบบการควบคุมได้ดังใจ ไม่ว่าจะเป็น การเน้นความมั่นคงของตัวถังให้อยู่ในแนวตรง ทำให้ตัวรถมีการยึดเกาะถนนในระดับสูงสุด และกดคันเร่งออกจากโค้งได้อย่างฉับไว (ในที่นี้ คือ การใช้งานในโหมด CORSA) หรือเน้นความสนุกเร้าใจกับการบังคับควบคุมให้ตัวรถมีอาการท้ายปัดในระดับที่เหมาะสม (ภายใต้โหมด SPORT และปิดการทำงานของระบบ ESP) การขับขี่ต้องทำความคุ้นเคยในระยะแรก แต่ในกรณีบนพื้นถนนเปียก การตอบสนองโดยรวมไม่ต่างจากรุ่นย่อยอื่นๆ มากนัก
ลดค่าไอเสียได้ในตัว
การขับในสนามทดสอบ ทำให้ทีมงานของเราได้สัมผัสแง่มุมในเรื่องของความสะดวกสบาย จากระบบรองรับแบบถุงลมที่มีความลงตัว ต่างจากรุ่นเน้นสมรรถนะอย่าง URUS PERFORMANTE ที่มีความหนึบแข็งมากกว่า จากเป้าหมายการพัฒนาของรุ่นย่อยดังกล่าว ทำให้ SE มีการตอบสนองโดยรวมที่มีความหลากหลายมากกว่า ระบบรองรับที่ผสมผสานความนุ่มนวลอย่างเหมาะสม และรองรับการใช้งานทั่วไปได้ดีกว่ารุ่นย่อยอื่นๆ โดยยังคงมีอัตราเร่งที่น่าพอใจ ไม่แพ้รุ่นที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปล้วนๆ จากการเสริมระบบมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามา โดยมีองค์ประกอบ คือ เครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบคู่ แบบวี 8 สูบ ขนาด 4.0 ลิตร (มีกำลังสูงสุดที่ 620 แรงม้า แทนที่ 666 แรงม้า ในรุ่น URUS S) มีการส่งกำลังจากเครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้า ขณะทำอัตราเร่ง และช่วงที่ต้องการไฟฟ้ากลับมาใช้งานในสภาวะการขับขี่ทั่วไป เป็นหน้าที่ของเครื่องยนต์สันดาปเท่านั้น ยังคงมาพร้อมซุ่มเสียงที่มีเอกลักษณ์ แต่ยังคงมีบางจังหวะที่มอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาช่วยขับเคลื่อน ไม่ว่าจะเป็นช่วงการกดคันเร่งขณะออกตัว หรือการเพิ่มความเร็วให้สูงขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป มอเตอร์ไฟฟ้าจะเสริมกำลังเข้ามาอย่างแนบเนียน
ขณะทดสอบสมรรถนะ ทีมงานของเราได้สงวนพลังงานไฟฟ้าของ URUS SE เอาไว้ เนื่องจากรถยนต์สมรรถนะสูงเช่นนี้ ระบบไฟฟ้าดูจะมีความสำคัญรองลงมาจากเครื่องยนต์สันดาป แม้ในทางทฤษฎีแล้ว กำลังสูงสุด 800 แรงม้าของเอสยูวีรุ่นนี้มาจากการส่งกำลังของทั้ง 2 ระบบ และสามารถแล่นด้วยไฟฟ้าล้วนเป็นระยะทางสั้นๆ ก็ตาม ช่วยให้การขับเคลื่อนด้วยความเร็วต่ำในตัวเมืองของรถรุ่นนี้มีค่าไอเสียเฉลี่ยที่ต่ำกว่ารุ่นย่อยอื่นๆ ทำให้ URUS SE มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยกับตัวเลขที่ 48.1 กม./ลิตร และมีค่าไอเสียเฉลี่ยน้อยกว่ารุ่นย่อย S ถึง 80 % เป็นผลลัพธ์ที่มาจากความสามารถในการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน (เป็นระยะทางพอสมควร) แต่ในแง่ของการขับขี่ในชีวิตประจำวันบนเส้นทางที่หลากหลาย ความแตกต่างดังกล่าวอาจไม่มากขนาดนั้น อย่างไรก็ตาม แบทเตอรีมีความจุที่ 25.9 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถแล่นด้วยไฟฟ้าล้วนแบบปราศจากไอเสียเป็นระยะทางประมาณ 60 กม. เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปได้ไม่น้อยแล้ว แม้ในการขับบนทางหลวง และในตัวเมือง ทีมงานของเราสังเกตตัวเลขบนแผงมาตรวัด จากการระบุอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 10 กม./ลิตร ก็ตามที
ข้อมูลของรถทดสอบจากผู้ผลิต รุ่น SE
เครื่องยนต์
- วางตามยาว ด้านหน้า
- เบนซิน เทอร์โบคู่ วี 8 สูบ (ทำมุม 90 องศา)
- ความจุ 3,996 ซีซี
- กำลังสูงสุด 456 กิโลวัตต์/620 แรงม้า ที่ 6,000 รตน.
- แรงบิดสูงสุด 800 นิวทันเมตร/81.6 กก.ม. ที่ 2,250-4,500 รตน.
ระบบไฮบริด
- ส่งกำลังแบบคู่ขนาน
- กำลังสูงสุด 141 กิโลวัตต์/192 แรงม้า
- แรงบิดสูงสุด 483 นิวทันเมตร/49.3 กก.ม.
กำลังสูงสุดทั้งระบบ
- 588 กิโลวัตต์/800 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 950 นิวทันเมตร/96.9 กก.ม.
ชุดแบทเตอรี
- ลิเธียม-ไอออน 25.9 กิโลวัตต์ชั่วโมง
ระบบส่งกำลัง
- ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา
- เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ
สมรรถนะ
- ความเร็วสูงสุด 312 กม./ชม.
- 0-100 กม./ชม. 3.4 วินาที
- อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 48.1 กม./ลิตร
- อัตราการปล่อยไอเสียเฉลี่ย 51 กรัม/กม.
มิติตัวถัง และน้ำหนัก
- ระยะฐานล้อ 3,000 มม.
- ความยาว 5,120 มม. กว้าง 2,020 มม. สูง 1,640 มม.
- น้ำหนักโดยรวม 2,505 กก.
ราคา
- 270,092 ยูโร (ประมาณ 10,230,000 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า)
พวงมาลัยสวยลงตัว
ปุ่มมัลทิฟังค์ชันบนพวงมาลัยถูกออกแบบได้สวยงาม ให้การตอบสนองดีกว่าปุ่มกดแบบสัมผัส มีปุ่มกดสำหรับปรับเปลี่ยนรูปแบบการแสดงผล
จอแสดงผลหลัก
ระบบความบันเทิงที่โดดเด่นของค่ายรถ หน้าจอสามารถแสดงผลการทำงานของระบบไฮบริด พร้อมแสดงผลการส่งกำลังของระบบไฟฟ้า และการชาร์จ
การใช้งานระบบสัมผัส
ระบบปรับอากาศถูกใช้งานผ่านจอระบบสัมผัสล้วนๆ มีการตอบสนองด้วยระบบสั่นสะเทือนเบาๆ ขณะใช้งาน ทำให้ใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้น
โหมดการขับขี่หลากหลาย
ฝั่งซ้ายของคอนโซลเกียร์ เป็นจุดติดตั้งคันโยกสำหรับปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ โดยมีทั้งหมด 6 โหมดด้วยกัน มีเพิ่มอีกโหมด คือ EGO สำหรับการปรับแต่งตามใจผู้ขับ
ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์
ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ เอกลักษณ์ของค่ายรถ LAMBORGHINI ถูกครอบปิดโดยฝาสีแดงสด ขณะที่ด้านบนจะเป็นปุ่มใช้งานเกียร์ถอย
ระบบขับเคลื่อนแบบใหม่
คันโยกสำหรับเลือกโหมดการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็น EV ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆ โหมดชาร์จไฟฟ้าจากเครื่องยนต์สันดาป และโหมดเน้นสมรรถนะสูงสุด
มอเตอร์ไฟฟ้า หรือเครื่องยนต์ วี 8 สูบ
เอสยูวีรุ่นนี้มีทางเลือกการชาร์จไฟฟ้าที่หลากหลาย เช่นเดียวกันกับรถยนต์พลัก-อิน ไฮบริดรุ่นอื่นๆ URUS เหมาะสำหรับการชาร์จไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอขณะใช้งาน นอกเหนือจากการแล่นด้วยไฟฟ้าล้วนที่ 60 กม. แล้ว แต่อีกเหตุผลสำคัญ คือ ในแง่ของสมรรถนะสูงสุด เอสยูวีรุ่นนี้ติดตั้งแบทเตอรีความจุ 25.9 กิโลวัตต์ชั่วโมง แต่ไม่สามารถชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง หรือ DC ได้ รองรับการชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับ หรือ AC เท่านั้น (ใช้เวลาในการชาร์จเต็มประมาณ 2.30 ชม. กับการรองรับสูงสุดที่ 11 กิโลวัตต์) หรืออีกทางเลือก คือ การใช้โหมด RECHARGE ทำให้เครื่องยนต์ วี 8 สูบ ทำหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้าได้ในตัว
ข้อมูลทางเทคนิค ภาพแสดงระบบไฮบริด
เครื่องยนต์ของเอสยูวีรุ่นนี้ถูกปรับแต่งให้ลงตัวกับระบบพลัก-อิน ไฮบริด ประกอบด้วยเครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบคู่ 4.0 ลิตร แบบ วี 8 สูบ ได้รับการปรับแต่งซอฟท์แวร์ ทำให้มีกำลังสูงสุดที่ 620 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 81.6 กก.ม. ถือว่ามีกำลังสูงสุดลดลงจากเครื่องยนต์สันดาปของรุ่น URUS S ประมาณ 46-50 % เลยทีเดียว แต่สิ่งที่ถูกติดตั้งชดเชยเข้ามา คือ มอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง ถูกติดตั้งระหว่างเครื่องยนต์สันดาป และชุดเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ พร้อมระบบควบคุมการส่งกำลัง ทำให้มีกำลังสูงสุดที่ 800 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 96.9 กก.ม. สิ่งที่เพิ่มเข้ามาอีกประการ คือ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา แทนที่ระบบส่งกำลังไปยังเพลาขับโดยตรงแบบดั้งเดิม โดยในรุ่นล่าสุด มีการเพิ่มชุดคลัทช์ที่ควบคุมด้วยอีเลคทรอนิค (แบบเดียวกับที่เคยใช้งานในรุ่น HURACAN) สามารถแปรผันการส่งกำลังได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการส่งกำลังไปยังล้อคู่หน้า ขณะที่ล้อคู่หลังเดิมทีจะเป็นหน้าที่ของชุดควบคุมการกระจายแรงบิด ในรถรุ่นนี้จะถูกแทนที่ด้วยชุดควบคุมการส่งกำลังไปยังเพลาขับส่วนท้ายด้วยอีเลคทรอนิค
มอเตอร์ไฟฟ้า
ถูกติดตั้งระหว่างเครื่องยนต์ วี 8 สูบ และระบบเกียร์อัตโนมัติ มีกำลังสูงสุดที่ 141 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 483 นิวทันเมตร
ชุดแบทเตอรี
แบทเตอรีมีความจุ 25.9 กิโลวัตต์ชั่วโมง ถูกติดตั้งบริเวณข้างใต้ที่เก็บสัมภาระ และอยู่เหนือชุดเพลาขับส่วนท้าย
ชุดควบคุมการส่งกำลัง
การส่งแรงบิดไปยังเพลาขับทั้ง 2 ตำแหน่ง จะถูกควบคุมด้วยระบบอีเลคทรอนิค ประกอบด้วยชุดไฮดรอลิค และชุดแผ่นคลัทช์ที่มีความหลากหลาย
ด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบใหม่ ทำให้ URUS SE สามารถบังคับควบคุมได้ง่ายยิ่งขึ้น ขณะที่ส่วนหน้าของตัวรถถูกออกแบบใหม่ (ภาพด้านล่าง)