หากท่านเป็นแฟนทีวี แบบหนีละครน้ำเน่า ย่ำอยู่กับการตบตีหาผัวหาเมีย ส่วนหนึ่งต้องดูการตัดสินคดีที่ศาลไคฟงของ "ท่านเปาบุ้นจิ้น" งานหนักสำหรับตุลาการชื่อกระฉ่อนโลก ในความเด็ดขาดเที่ยงตรง ไม่ใช่สั่งเปิดมีดหัวสุนัข...หรือหัวอื่นๆ เพื่อตัดคอจำเลย ณ บัดนั้นแต่หนักเรื่อง "จับโกหก" แทบทุกคดี ต้องมีคนตอแหล ท่านเปาก็มีมุกเด็ด ไล่ต้อนจนพวกนี้จำนน ยอมให้ประหารโดยไม่อิดเอื้อนก็มี ศาลไทยได้ชื่อว่าเป็น "ศาลาโกหก" เช่นกัน ในเมื่อคู่กรณี ซึ่งเป็นคนทุกระดับ ไม่ว่าชาวบ้าน ไฮโซ นักการเมือง (ยิ่งหนัก) พูดไปคนละแคว ตุลาการท่านไหนเชื่อคำโกหก ก็ตัดสินผิดพลาด ให้คนพวกนี้หัวเราะเยาะ "ตูว่าแล้ว ไล่ตูไม่จนหรอก เห็นมั้ย เสร็จตูจนได้..." ยกคดีที่เป็นของจริงมาให้เห็นกันเลย ว่าลงเอยยังไง สำหรับการโกหกบนศาล อ้อ บอกไว้นิดหนึ่ง คนที่รู้แน่ๆ ว่าใครโกหก คือ คู่ความ ซึ่งได้รับความเจ็บปวดความเสียหาย และมักออกแรงฟ้องเอง เจ้าหน้าที่รัฐไม่ค่อยจัดการให้สักเท่าไร งานนี้ "นายหาน" เป็นนายทหารนั่นแหละ มีที่ดินอยู่ใน กทม. เยอะพอสมควร ได้ "นายวางใจ" ซึ่งรับราชการเป็นลูกน้องคนสนิทมากว่า 20 ปี ทำหน้าที่ด้านเอกสารและดูแลผลประโยชน์เกี่ยวกับที่ทาง ความละโมบไม่เข้าใครออกใคร เมื่อ นายหาน โดนเวนคืนที่ดิน เพื่อทำถนนวงแหวนไป 10 กว่าไร่ ได้เงินมา 33 ล้านบาท ยังเหลือที่ดินติดทางซึ่งตัดใหม่อีก 10 กว่าไร่ นายวางใจ ทราบเรื่องดี จึงโดน "นางรวยเร็ว" น้องเมีย ชักชวนให้ทรยศต่อ นายหาน เมื่อ นายหาน มอบหน้าที่ให้ติดต่อเจ้าพนักงาน ทำการรังวัดสอบเขตที่ดินที่เหลือ เข้าทางพอดิบพอดี นายวางใจ และนางรวยเร็ว หาทางพบปะ นายหาน แล้วแง้มว่าจะติดต่อนักการเมืองที่สนใจ จะซื้อที่ของ นายหาน ให้ราคาตั้ง 80 ล้านบาท นางรวยเร็ว ขอเป็นนายหน้า เมื่อ นายหาน ตกลง นางรวยเร็ว และนายวางใจ หาทางผูกมัด โดยทำสัญญานายหน้า คิดร้อยละ 3 ระหว่างทำหนังสือนี่เอง ทั้งสองซิกแซก หลอกให้เซ็นหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน ซึ่งแยบยลไม่น้อย ผมขออุบไว้ ไม่นำมาเปิดเผยตรงนี้ ให้มิจฉาชีพเห็นหนทางคดโกง ในสัญญาเก๊ ระบุว่า นายหาน ตกลงขายที่ดินที่เหลือจากการเวนคืน 15 ล้านบาท รับเงินมัดจำจาก นางรวยเร็ว แล้ว 10 ล้านบาท ตกลงโอนกรรมสิทธิ์ให้ก่อน เงินค่าที่ดินที่เหลือ ผ่อนชำระภายใน 4 ปี นายหาน รู้ว่าคนที่ชื่อ วางใจ กับนางรวยเร็ว ตุ๋นเกือบเปื่อย เมื่อตอนโดนฟ้อง บังคับให้โอนที่ดินตามสัญญาเก๊ ยังดีที่สู้ความแล้วชนะขาด ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง คนทั้งสองไม่ฎีกา คงไม่มีเงินจ่ายค่าธรรมเนียมศาล ครั้งละเป็นแสนๆ และไม่เห็นทางชนะ ถึงคราว นายหาน เชคบิลล์บ้างละทีนี้ ให้ทนายฟ้อง นายวางใจ และนางรวยเร็ว เป็นคดีอาญา ฐานเบิกความเท็จที่ศาล ในคดีที่คนทั้งสองฟ้องเป็นคดีแพ่ง จะเอาที่ดินไปฟรีๆ จำเลย คือ นายวางใจ และนางรวยเร็จ หน้าเหลือง ดิ้นรนจ้างทนายสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่า นายหาน ลงชื่อในหนังสือจะซื้อจะขายจริง ตามที่มีการตรวจพิสูจน์ของทางการ จึงตัดสินยกฟ้อง ให้จำเลยพากันเฮเล็กๆ ในเมื่อคดียังมีอีกหลายยก ศาลอุทธรณ์ ด่านที่ 2 พิจารณาความตามที่ นายหาน โอดโอยว่าศาลชั้นต้นยกฟ้องได้ไง แล้วพิพากษากลับ ตัดสินลงโทษ จำคุก นางรวยเร็ว 3 ปี จำคุก นายวางใจ 2 กระทง รวมเป็น 6 ปี จำเลยพากันดิ้นเฮือกสุดท้ายด้วยการฎีกา ขอให้ยกฟ้อง อย่างที่ศาลชั้นต้นว่าไว้เถิด ไม่อยากเป็นคนคุก ศาลฎีกากัดฟันคว้าสำนวนที่มาจ่อ อ่านตลอดแล้วชี้ขาดออกมาในแง่จับเท็จคนโกหก ซึ่งผมจะยกมาเป็นข้อๆ ดังนี้ - ที่ดินส่วนที่โดนเวนคืนได้เงินทดแทนจากรัฐ 33 ล้านบาท เหลือที่ดินเท่าๆ กัน ราคาย่อมไม่หนีกัน แล้วทะลึ่งตกลงขายให้จำเลยทั้งสองแค่ 15 ล้าน มันเป็นไปได้เหรอ จะบ้าเหรอ - นางรวยเร็ว ซึ่งอ้างว่ากำเงินสด วางมัดจำแก่ นายหาน 10 ล้านบาท โดยไม่มีหลักฐานการเบิกเงินจากแบงค์ไหนมายัน แต่อ้างว่าเก็บเงินสดที่หามาได้ไว้ที่หัวเตียงภายในบ้าน แล้วนำเงินนี่แหละไปวางมัดจำ นี่ก็จะบ้าเหรอ ผมว่าเอง - บ้านที่ นางรวยเร็ว อยู่อาศัยและเก็บเงิน ปรากฏว่าซอมซ่อ หลังกระจ้อยร่อย รั้วสังกะสี ทางเข้ากว้างแค่ 1 เมตร ศาลฎีกาฟันธง ไม่เชื่อว่ามีฐานะ มีเงินเก็บขนาดนั้น - นายวางใจ จำเลยที่ 2 คนสนิทของ นายหาน ซึ่งตอแหลว่า นายหาน อยากได้เงินสด เพื่อซื้อพระเครื่อง ก็ไม่มีใครมาเป็นพยานว่า จะซื้อจากไอ้คนไหน พระอะไร ทั้งๆ ที่ตัวเองอยู่ในวงการ ถือว่าตอแหลเต็มๆ - นายหาน ผู้เป็นโจทก์ แสดงหลักฐานการเงินชัดเจน มีนับ 10 ล้านบาท ได้เงินปันผลทุก 3 เดือนอีกต่างหาก จึงไม่เดือดร้อนขายที่ดินราคาต่ำติดดิน อย่างที่จำเลยตอแหล - นางรวยเร็ว หาทางมัดคอ นายหาน ด้วยการไปแจ้งความโรงพักว่า นายหาน ผิดสัญญาจะขายที่ดิน ได้กำเงินสด 1 ล้าน แคชเชียร์เชคอีกต่างหาก เพื่อจ่ายให้ นายหาน สอบพยานแล้วปรากฏว่า ไม่ได้แสดงเงินสดกับตำรวจตามที่อ้าง ส่วนแคชเชียร์เชค นางรวยเร็ว ใช้วิธีไปเปิดบัญชีแบงค์ แล้วเก็บแคชเชียร์เชคไว้เพื่ออ้าง แต่พบปิดบัญชี ไม่มีเงินในบัญชีแล้ว สรุป คือ กลโกง ตอแหลอีกนั่นแหละ ผลสุดท้ายศาลฎีกาเอาผิดจำเลยทั้งคู่ แม้ นายหาน จะลงชื่อในสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน (เก๊) ก็ตาม แต่เมตตาต่อ นายวางใจ พิพากษาแก้ว่า ทำผิดกระทงเดียว ในการทำเอกสารเท็จ และร่วมกันพูดจาโกหกในศาล ถือว่ากรรมเดียว โดยมีเจตนาตอแหลเพื่อหลอกลวงเอาที่ดินฟรีๆ จึงลงโทษกระทงเดียว จำคุก 3 ปี เท่ากับ นางรวยเร็ว มนุษย์ยังไม่มีเครื่องมือจับโกหกแบบ 100 % จึงเป็นความยุ่งยากของศาลทั่วโลก ในการตัดสินคดีนั่นแล จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7878/2557