ประสาใจ
ตัณหาอันชั่วร้าย
ขณะเขียนเรื่องนี้ สังคมไทยกำลังสะเทือนใจอย่างสุดๆ กับข่าวเด็กหญิงคนหนึ่งวัย 13 ขวบ เคราะห์ร้ายตกเป็นเหยื่อความหื่นกระหายของชายโหดเหี้ยมอำมหิต ถูกข่มขืนระหว่างเดินทางโดยรถไฟในเวลากลางดึกแล้วถูกฆ่าโดยโยนทิ้งจากหน้าต่างรถไฟขณะขบวนรถกำลังวิ่งด้วยความเร็วจากนครศรีธรรมราชถึงกรุงเทพ ฯ
ไม่น่าเชื่อว่า เรื่องนี้จะเกิดขึ้นกับสังคมไทยเหี้ยมเกรียมเกินกว่าวิถีชีวิตความเป็นคนไทยแต่โบราณกาลถึงปัจจุบันจะรับฟัง
ไม่น่าเชื่ออีกเหมือนกันว่า การหื่นตัณหาในกามของผู้ชายจะบ้าคลั่ง ผสมผสานทั้งเหล้าเบียร์และยา ลงมือทำร้ายฆ่าเด็กผู้บริสุทธิ์
อันกิเลสร้ายแห่งมวลมนุษย์นั้น ผมขอนำชาดกแห่งคัมภีร์พุทธศาสนาเรื่องหนึ่งมาเล่าสู่กันฟัง เป็นการเรียบเรียงเพื่อพอเหมาะพอสมกับเนื้อที่ ดังต่อไปนี้
...กาลครั้งนั้น มี 2 กุมารเป็นสหายรัก กุมารหนึ่งมีนามว่า พรหมทัตกุมาร พระราชโอรสสมเด็จพระราชาธิบดี ส่วนกุมารอีกคนหนึ่ง นามว่า กัสสปกุมาร บุตรแห่งปุโรหิตในพระนครนั้น
เมื่อพรหมทัตรัชทายาท ขึ้นครองราชย์แทนพระราชบิดาที่สวรรคต กัสสปกุมาร กราบลาบิดาและมารดาเข้าป่าไปบวชเป็นพระฤาษี ตั้งใจเจริญสมถกรรมฐานกสิณภาวนา ในสำนักของอาจารย์ผู้มีอาศรมอยู่ในป่าใหญ่
เมื่อสำเร็จเป็นอภิญญาบุคคล กัสสปฤาษี กราบลาพระอาจารย์ไปอาศัยอยู่ในป่าลึกเข้าไปอีก มีความสุขอยู่ด้วยญาณสมาบัติ จนมีตบะเดชะแรงกล้าเป็นที่นับถือของเทวดาทั้งหลายทั่วไป
กษณะนั้น ท้าวสักกะเทวราช แห่งสวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์ ทรงเห็นเหล่าเทวดามาเคารพนับถือ กัสสปฤาษี ที่เป็นมนุษย์ มากกว่าพระองค์ผู้เป็นใหญ่ จึงริษยา เสด็จลงจากดาวดึงส์ เทวโลกมาพบ พระเจ้าพรหมทัตราชาธิบดี
ทรงแจ้งพระราชาถึงวิธีที่จะได้เป็นจอมกษัตริย์ในสกลปฐพี มีทางเดียว ต้องไปนำตัว กัสสปฤาษี ออกมาจากป่าลึก ให้กระทำปสุฆาตยัญญบูชา คือ การบูชายัญด้วยการฆ่าปสุสัตว์
พระเจ้าพรหมทัต รับสั่งให้เสยหะอำมาตย์ ซึ่งเป็นอำมาตย์ชั้นผู้ใหญ่ นำบริวารเดินทางไปหาตัว กัสสปฤาษี เมื่อพบแล้วก็ให้อ้อนวอนนำตัวเข้ามาในพระราชวัง
คณะเสยหะอำมาตย์ได้พรานไพรผู้หนึ่งอ้างว่า รู้จักที่อยู่ของท่านฤาษี เดินทางหลายราตรีจนถึงอาศรม กัสสปฤาษี แจ้งพระราชประสงค์แห่งพระราชาให้ทราบ กัสสปฤาษี ซึ่งชราภาพแล้ว ปฏิเสธแข็งกล้า
"จงกลับไปกราบบังคมทูลพระราชา เราจะทำการฆ่าสัตว์บูชายัญตามคำขอนี้ไม่ได้"
แม้เสยหะอำมาตย์จะเจรจาอ้อนวอนอย่างไรก็ไม่เป็นผล จำต้องกลับพระนครกราบทูลเรื่องราว พระเจ้าพรหมทัต โดยสดับแล้วก็เสียพระทัย ครั้นได้รับคำขู่จาก ท้าวผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ มีเทวโองการว่า เมื่อรับประกาศิตแล้วกลับทำตามประกาศิตนั้นมิได้ ก็ต้องถึงแก่ความตายสถานเดียว ก็ยิ่งมีพระทัยกลัดกลุ้ม
ทรงประชุมเหล่าปุโรหิตตาจารย์ ซึ่งล้วนเป็นผู้มีความคิดความอ่านแยบคาย ปรึกษาหาทางนำตัวสหายรักเข้าวัง หนึ่งในจำนวนนักปรัชญาเสนอความคิดว่า
"ธรรมดาแห่งบุรุษทั้งหลาย ย่อมยินดีพอใจในมาตุคามเป็นประจำสันดาน อัน กัสสปฤาษี ผู้นี้จากบ้านไปอยู่ป่าตั้งแต่ครั้งเป็นกุมาร มิได้มีความสัมพันธ์กับสตรีเพศจึงสามารถระงับกิเลสร้ายแห่งตนได้ บัดนี้ท่านฤาษีแก่เฒ่าถ้าได้มีเพศสัมพันธ์กับสตรีซึ่งมีรูปงาม อยู่ในวัยกำดัด กิเลสร้ายที่สงบมานานย่อมฟุ้งขึ้นเป็นแน่"
ที่ประชุมในที่รโหฐาน ลงมติเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ พระเจ้าพรหมทัต จึงรับสั่งให้ จันทวดี ผู้เลอโฉม พระราชธิดาของพระองค์ รับหน้าที่ปฏิบัติภารกิจ "มิชชัน อิมพอสสิเบิล"
จันทวดี ก็รับคำแห่งพระราชบิดา เดินทางเข้าป่าพร้อมด้วยคณะของเสยหะอำมาตย์ แต่ถูกแรงต้านจากท่านฤาษีเหมือนครั้งแรก ยิ่งได้เห็น จันทวดี พระราชธิดา ผู้งามประหนึ่งเทพอัปสร แทนที่จะกดไลค์ ก็ตะคอกใส่ว่า
"นี่เอามาตุคามมาล่อ นึกว่าข้าไม่รู้ทันกระนั้นรึ ? ไป...กลับไปทั้งหมด...ไปให้พ้นจากที่นี่"
เสยหะอำมาตย์ ถอยกรูดออกมาตั้งค่ายใกล้กับอาศรมท่านฤาษี เช้าขึ้นมา จันทวดี ราชกุมารี รับหน้าที่จัดแจงอาหารเข้าไปถวายท่านฤาษี แม้ท่านฤาษีดุว่าตวาดด้วยความไม่พอใจก็หาสนใจไม่
การณ์เป็นดังนี้หลายเพลา จนราชกุมารีสังเกตว่า ท่านฤาษีเริ่มมีใจขึ้นแล้ว ได้โอกาสดีก็ตัดสินใจแสดงอิตถีมายา ประหนึ่งว่าเกิดขึ้นจากความเผลอไผล และขณะนั้นเองท่านฤาษีผู้เคราะห์ร้ายมิได้สำรวมอินทรีย์ เห็นอิตถีนิมิตแห่งนางแล้วขาดสติสัมปชัญญะ เกิดอารมณ์ปฏิพัทธ์กำหนัดยินดี ใคร่ได้นางเป็นภรรยา
ความเปลี่ยนไปของท่านฤาษีอยู่ในสายตาอันคมกริบของราชกุมารี แจ้งให้เสยหะอำมาตย์ดำเนินการตามแผนขั้นที่ 2 ทันที อำมาตย์ผู้ใหญ่ก็เข้าไปกราบเรียนท่านฤาษีว่า
"กระผมมาคราวนี้ เพราะพระราชาทรงมีพระทัยกรุณาสงสารท่านฤาษี ต้องการให้กลับไปอยู่มาตุคาม พร้อมจะยก พระราชธิดาจันทวดี ให้เป็นคู่ครอง ซึ่งราชกุมารีขอร้องพระราชบิดา ขอมาพบตัวท่านฤาษีก่อนค่อยตกลงใจ บัดนี้ นางได้พบท่านแล้วและตกลงใจจะเป็นคู่ครอง สุดแต่ท่านฤาษีจะพิจารณาเถิด"
กัสสปฤาษี ครุ่นคิดไม่นาน กล่าวว่า "เมื่อเป็นความประสงค์ของพระราชา ผู้ใดเล่าจะขัดพระราชประสงค์นั้นได้"
ไม่ช้า กัสสปฤาษี ก็มาถึงพระราชวัง ทุกอย่างเป็นไปตามที่ พระเจ้าพรหมทัต มีพระราชประสงค์ พิธีการบูชายัญเริ่มขึ้นท่างกลางประชาชนเฝ้าดูเป็นจำนวนมาก
กัสสปบุรุษเฒ่า ผมสีดอกเลา ทั้งที่อยู่ในเครื่องแบบผู้บำเพ็ญตบะ มีดาบกระสันมั่นอยู่ในมือ พร้อมจะทำการฆ่าสัตว์เพื่อการบูชายัญครั้งยิ่งใหญ่ วิ่งตรงเข้าไปหา ช้างม้าโคกระบือในพิธี
ช้างม้าโคกระบือต่างตระหนกตกใจ ร้องเอ็ดอึงด้วยความรักตัวกลัวตาย เสียงร้องคร่ำครวญดังสะท้านถึงในใจของประชาชนที่เฝ้าดู ต่างเกิดความเวทนา พูดกันว่า เหตุใดฤาษีจึงกล้าที่จะฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเยี่ยงเพชฌฆาตใจโหด และเมื่อรู้ว่า เป็นเพราะไม่เจียมสังขาร เป็นเฒ่าลามกมากด้วยกามตัณหาหวังได้ราชธิดาเป็นคู่ครอง
รู้เช่นนั้นแล้ว ประชาชนก็ตระเตรียมอาวุธจะรุมลงประชาทัณฑ์ ทำให้ กัสสปฤาษี ได้สติสัมปชัญญะ ตั้งสัตยาธิษฐานขึ้นบัดนั้น
"ชะกระไรหรือ ตัวกูผู้เรืองฤทธิ์เป็นพระฤาษี ไฉนเบาปัญญายอมตัวลงเป็นทาสเทวี บ้าตัณหา ทำตัวให้หมู่คนทั้งหลายด่าประจานและดูหมิ่นเช่นนี้..."
"...เราขอตั้งสัตยาธิษฐานเสี่ยงวาสนาบารมีเจริญญาณ แม้นได้ญาณที่เสื่อมไปกลับคืนมา ขอให้เราหนีไปได้ไกลแสนไกล แม้นไม่ได้ก็จงตายไปด้วยประชาทัณฑ์ ในกาลนี้เถิด"
สิ้นคำ ขว้างดาบทิ้งแล้วนั่งลงเจริญสมาธิภาวนา ไม่ช้าคนทั้งหลายต่างก็เห็นปรากฏการณ์อันมหัศจรรย์ กัสสปฤาษี ค่อยๆ ลอยตัวจากพื้นปฐพีขึ้นไปบนอากาศ เหาะเหินเดินอากาศอยู่รอบบริเวณนั้นครู่เดียว ก็ล่องลอยละลิ่วลับสายตา
กลับไปถึงมหาวันป่าใหญ่อันไกลโพ้น ยากที่มนุษย์รูปใดจะเข้าถึง...
นิทานชาดกเรื่องนี้ ผมได้มาจากหนังสือ "วิมุตติรัตนมาลี" โดย "พระศรีวิสุทธิโสภณ" (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ. 9) เป็นหนังสือเรียบเรียงที่ได้รับรางวัลจากธนาคารกรุงเทพ เมื่อปีพุทธศักราช 2517
เป็นเรื่องในโลมกัสสปชาดก นวกนิบาต แห่งคัมภีร์ชาดกอรรถกถา เป็นนิทัศนอุทธาหรณ์ ว่าด้วยการข่มกิเลสร้ายให้หมดไป
ผู้คนในสังคมไทยสมัยนี้ เปลี่ยนไปมาก ธรรมทั้งหลายทั้งปวงดูจะห่างไกลออกไปมากขึ้นทุกวัน แต่ก็ไม่ถึงกับสิ้นหวัง หากได้เห็นประชาชนยังพากันเข้าวัดประกอบบุญกุศล เห็นคุณค่าความสำคัญของวันสำคัญทางพระศาสนา มิได้ขาดสาย
ขอให้เรื่องร้ายแห่งคดีสะเทือนขวัญนี้ จงเป็นเรื่องราวสุดท้าย สิ้นเวรและอย่ากลับมาหลอนหลอกสังคมไทย...ประเด็นสำคัญอย่างที่สุดนี้ คือ ภัยที่ใกล้ตัวที่จะกำราบได้ก็ด้วยความร่วมมืออันจริงจังระหว่าง รัฐกับสังคม เท่านั้น...!!
เรื่องโดย : ข้าวเปลือก
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน กันยายน ปี 2557
คอลัมน์ Online : ประสาใจ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/16863