รู้ลึกเรื่องรถ
9 นวัตกรรมยานยนต์ที่ใกล้เป็นจริง
เทคโนโลยียานยนต์ก้าวไปเร็วชนิดที่ว่า หากไม่ติดตามข่าวสาร หรือได้สัมผัสรถยนต์รุ่นใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เราอาจจะพบความท้าทายใหม่ๆ อย่างคาดไม่ถึง เช่น การหาทางสตาร์ทเครื่องยนต์ ทั้งที่มันออกแบบมาให้ง่ายกว่าเดิมมาก โดยใช้ระบบกุญแจอัจฉริยะ และปุ่มกดสตาร์ท ใครที่คุ้นเคยกับการเสียบกุญแจที่คอพวงมาลัย ก็อาจจะงงเป็นไก่ตาแตก เพราะนักออกแบบต่างสรรหาตำแหน่งปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ในรถแต่ละคันได้หลากหลายดีเหลือเกินหากถ้าเรายังจำความได้ (ถ้าอายุอานามถึง) การซื้อรถยนต์ในอดีตนั้น แค่บอกว่า “อวทม.” ครบ ซึ่งหมายถึง มี แอร์ วิทยุ เทป และล้อแมก ก็ถือว่าหล่อแล้ว แต่การอธิบายสรรพคุณของรถยนต์ในทุกวันนี้ อาจจะต้องใช้พื้นที่เกิน 2 บรรทัด แต่ถึงกระนั้นวิศวกรรถยนต์ต่างก็ไม่หยุดยั้งที่จะนำเสนอนวัตกรรมใหม่มาทำให้พวกเราต้องทึ่ง ดังนั้นจึงขอนำเสนอเรื่องราวของ 9 นวัตกรรมที่จะปรากฏโฉมให้เราทดลองใช้ภายใน 5 ปีนี้อย่างแน่นอน
1. เทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับ (AUTONOMOUS VEHICLE)
เราเคยได้อ่านเรื่องราวของเทคโนโลยีที่จะช่วยให้เราละมือจับพวงมาลัยมาหลายครั้งแล้ว แม้จะยังไม่ได้เป็นระบบที่วิ่งได้ด้วยตัวเอง 100 % ก็ตาม แต่ก็ได้เห็นรถยนต์รุ่นใหม่หลายต่อหลายรุ่น นำเสนอระบบที่จะช่วยให้เราปลอดภัยขึ้นในการเดินทาง อาทิ การช่วยรักษาเส้นทางไม่ให้นำรถยนต์หลุดจากช่องทางของเรา หรือระบบช่วยนำรถเข้าจอดได้โดยที่ไม่ต้องควบคุมพวงมาลัย และเชื่อเถอะว่าเวลาของรถยนต์ที่จะวิ่งได้ด้วยตัวเองอย่างเต็มรูปแบบนั้น ใกล้เข้ามาทุกขณะ จะเห็นได้จากการเปิดตัวรถแข่งไร้คนขับ “โรโบเรศ” (ROBORACE) ในช่วงกลางปี 2017 นี้ แม้จะยังแสดงศักยภาพได้ไม่เต็มที่ แต่เราก็ได้เห็นแล้วว่า ตัวรถทดลองที่ชื่อ “เดฟบอท” (DEVBOT) นั้นสามารถวิ่งรอบสนามแข่งได้ด้วยตัวเอง และในขณะทดสอบยังเกิดเหตุมีสุนัขจรจัดวิ่งลงไปในสนามแข่ง เดฟบอท สามารถหลบหลีกไปได้อย่างปลอดภัย (ไม่รู้ว่าเป็นการจัดฉากให้หวาดเสียวหรือเปล่า) เป็นนิมิตหมายที่ดีว่า ระบบคอมพิวเตอร์สามารถวิเคราะห์จัดการกับปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และคาดว่า ในขั้นแรกระบบขับอัตโนมัตินี้น่าจะสามารถใช้งานได้ในการขับทางไกล2. ระบบแทรกแซงผู้ขับ (DRIVER OVERRIDE SYSTEMS)
ดูคล้ายกับระบบยานยนต์ไร้คนขับ แต่เทคโนโลยีนี้สามารถทำงานได้แม้ว่าคุณจะกำลังควบคุมรถอยู่ก็ตาม และด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเซนเซอร์และระบบประมวลผลที่รวดเร็ว รถยนต์อาจทำงานสวนทางกับสิ่งที่คุณสั่งอีกด้วย อาทิ รถยนต์จะเลี่ยงสิ่งที่จะก่อให้เกิดอุบัติเหตุด้วยการจัดการเบรคอัตโนมัติ แม้ว่าคุณจะขยี้คันเร่งให้มันพุ่งเข้าชนอะไรสักอย่างก็ตาม ซึ่งหมายความว่า เหตุขับรถพุ่งเข้าชนฝูงชนอย่างบ้าคลั่งที่ย่านไทม์สแควร์ของมหานครนิวยอร์ค จะเกิดขึ้นได้ยาก3. ระบบเทคโนโลยีชีวมาตร หรือระบบไบโอเมทริค (BIOMETRIC)
ระบบที่ดึงเอาข้อมูลเชิงชีวภาพที่วัดค่าได้ของผู้ขับมาใช้ในการประเมินและวิเคราะห์ แนวคิด คือ บทต่อไปของความสะดวกสบายในการใช้รถยนต์ จากครั้งในอดีตเราต้องไขกุญแจเพื่อเข้าไปในรถยนต์ และสตาร์ทเครื่อง แต่ในปัจจุบันเรามีกุญแจอัจฉริยะ หรือระบบคีย์เลสส์ เอนทรี (KEYLESS-ENTRY) เพียงพกกุญแจติดตัวไว้ เราก็สามารถเปิดประตู และสั่งงานให้รถยนต์ติดเครื่องได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส แต่ในอนาคตรถยนต์จะต้องการเพียงลายนิ้วมือของคุณในการสั่งงาน ซึ่งไม่ต่างไปจากการปลดลอคสมาร์ทโฟนของคุณนั่นเอง และหากรถยนต์คันนั้นมีผู้ใช้งานหลายคน ลายมือของแต่ละคนจะเป็นตัวระบุให้การปรับค่าต่างๆ ของรถเป็นไปตามขนาดร่างกาย บุคลิกภาพและรสนิยม ของผู้ขับขี่แต่ละคนได้โดยอัตโนมัติ เสมือนเป็นรถของคุณคนเดียว อาทิ รถยนต์เช่าสาธารณะ หรือ คาร์แชริง (CAR SHARING) ในอนาคตที่ เมื่อคุณได้ลงทะเบียนใช้งานระบบไบโอเมทริคแล้ว ต่อไปไม่ว่าคุณจะเปิดประตูเข้าไปในรถคันใด คุณก็จะพบว่าเก้าอี้ของรถคันนั้นได้รับการปรับให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะกับตัวคุณเรียบร้อย และสถานีวิทยุก็เป็นช่องที่คุณโปรดปรานเสมอ4. ระบบติดตามรถยนต์สมบูรณ์แบบ (COMPREHENSIVE VEHICLE TRACKING)
ในต่างประเทศได้เริ่มมีแนวคิดที่จะเก็บค่าประกันภัยรถยนต์ โดยพิจารณาจากข้อมูลการขับขี่ของผู้ขับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องระยะทาง ความเร็วที่ใช้ สถานที่ที่จอดประจำ โดยทำการส่งสัญญาณข้อมูลกลับเข้ามาเพื่อประเมินผลโดยอัตโนมัติ คล้ายกับระบบที่มีอยู่ในรถบรรทุก หรือรถสาธารณะในทุกวันนี้ เพื่อใช้ในการประเมินความเสี่ยง แต่ผู้ขับขี่จำต้องยินยอมที่จะมอบข้อมูลส่วนตัวเหล่านี้ให้ เพื่อแลกกับส่วนลดค่าเบี้ยประกัน ในตอนนี้ยังเป็นระบบที่ขึ้นอยู่กับความยินยอมของผู้ทำประกัน แต่ไม่แน่ว่าในอนาคตมันอาจจะเป็นภาคบังคับ ซึ่งคงไม่ถูกใจบรรดาพ่อบ้านนักเที่ยวสักเท่าไร5. ระบบกระจกหน้าแบบแอคทีฟ (ACTIVE WINDOW DISPLAY)
จะว่าไปมันคือ บทต่อไปของเทคโนโลยี เอชยูดี หรือ เฮด-อัพ ดิสพเลย์ (HUD: HEAD-UP DISPLAY) นั่นเอง จากเดิมที่เป็นเพียงการแสดงผลสีเขียวจางๆ ฉายเพียงข้อมูลความเร็ว หรือลูกศรนำทาง ขนาดเล็กบนกระจกบังลมหน้ารถ ปัจจุบันเริ่มมีสีสันสดใส หลากสีมากขึ้น และคาดการณ์ว่าในยุคต่อไป การมองภาพผ่านกระจกบังลมหน้ารถ จะเป็นภาพซ้อนที่ราวกับเล่นเกม “โปเกมอน โก” ที่เป็นเกมแนว ภาพซ้อนเสมือน (AUGMENTED REALITY) ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงที่ผ่านมา เราจะสามารถเห็นภาพของระบบนำทาง หรือข้อมูลที่น่าสนใจบนกระจกหน้ารถในแบบ 3 มิติเต็มรูปแบบ เพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่มากขึ้น6. ระบบตัดการทำงานจากระยะไกล (REMOTE VEHICLE SHUT DOWN)
ดูแล้วเหมือนเป็นเทคโนโลยีในภาพยนตร์ฮอลลีวูด แต่ผู้ใช้รถส่วนมากไม่รู้ว่าการสั่งให้ดับเครื่องรถยนต์จากระยะไกลเป็นเรื่องจริงมาสักพักแล้ว โดยมีอยู่ในระบบ ออนสตาร์ (ONSTAR) ของรถยนต์ในเครือ จีเอม ที่ทำงานผ่านโครงข่ายข้อมูลไร้สายแบบ 4 จี ร่วมกับดาวเทียมจีพีเอสในปัจจุบัน โดยระบบออนสตาร์จะติดตามข้อมูลของรถยนต์ในเครือข่ายอยู่ตลอดเวลา หากพบว่ารถยนต์เกิดอุบัติเหตุ อาทิ ถุงลมนิรภัยเกิดการปะทุ ก็จะจัดส่งทีมช่วยเหลือไปในทันที นอกจากนั้นยังช่วยในการระบุตำแหน่งของรถหากเกิดการโจรกรรม และหากมีการแจ้งเหตุจากเจ้าหน้าที่ ก็สามารถสั่งการดับเครื่องรถยนต์ที่หลบหนีได้ทันที ช่วยลดอุบัติเหตุจากการไล่ล่าด้วยความเร็วสูงได้ เชื่อกันว่าระบบดังกล่าวนี้จะได้รับการผลักดันให้เป็นมาตรฐานของรถยนต์ในยุคต่อไปอย่างแน่นอน (สิ่งที่คุณเห็นในภาพยนตร์ฮอลลีวูดอย่างการไฮแจครถอาจกลายเป็นเรื่องจริงก็เป็นได้)7. ระบบตรวจวัดสุขภาพของผู้ขับ (ACTIVE HEALTH MONITORING)
แนวคิดนี้ได้รับแรงบันดาลใจ จากกระแสอุปกรณ์ตรวจจับการทำงานของร่างกาย อาทิ สมาร์ทวอทช์รุ่นใหม่ ริเริ่มโดยบริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ คัมพานี โดยการติดตั้งเซนเซอร์ตรวจจับการทำงานของหัวใจเข้าที่สายเข็มขัดนิรภัย ที่พวงมาลัย หรือบนเบาะนั่งเพื่อตรวจจับสัญญาณชีพของผู้ขับ และส่งข้อมูลกลับไปยังศูนย์ข้อมูลผ่านสัญญาณ 4 จี ซึ่งหากพบว่าผู้ขับมีอาการเหนื่อยรุนแรงหรือหัวใจวาย ระบบควบคุมอัตโนมัติก็จะเข้ามาแทรกแซง และนำรถเข้าสู่ที่จอดอย่างปลอดภัย พร้อมกับส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไปยังโรงพยาบาล เชื่อกันว่าจะสามารถรักษาชีวิตและลดอุบัติเหตุจากผู้ขับที่มีอาการหัวใจล้มเหลวได้ไม่น้อย8. เทคโนโลยีเครื่องยนต์ 4 สูบ สำหรับซูเพอร์คาร์ (FOUR-CYLINDER SUPERCAR)
กระแสลดขนาดเครื่องยนต์เป็นเรื่องที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ เราได้เห็น ฟอร์ด และ ฮอนดา นำเสนอเครื่องยนต์แบบ วี 6 สูบ ในรถยนต์รุ่น จีที และ เอนเอสเอกซ์ ของพวกเขา ซึ่งแม้จะมีขนาดเล็กแต่เมื่อทำงานร่วมกับเทอร์โบและมอเตอร์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่มีประสิทธภาพสูง จะมีสมรรถนะล้ำกว่ารถยนต์เครื่องใหญ่หลายคัน ก่อนที่จะเปลี่ยนถ่ายไปสู่ยุคไฟฟ้าเต็มรูปแบบ เชื่อว่าเราจะได้เห็นซูเพอร์คาร์เครื่องยนต์ 4 สูบ ความจุต่ำกว่า 2.0 ลิตร ที่สามารถทำความเร็วระดับ 300 กม./ชม. แน่นอน9. เมื่อนักการตลาดบุกเข้ามาในรถของคุณ (PERSONALIZED IN-CAR MARKETING)
เชื่อว่าหลายท่านคงจะคุ้นเคยกับการเห็นโฆษณาที่แสดงอยู่ในหน้าสื่อโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็นเฟศบุค หรือยูทูบ แต่ท่านรู้หรือไม่ว่า โฆษณาเหล่านั้นมีการคัดสรรแล้วให้เหมาะกับบุคลิก เพศ และวัยของท่านผ่านทางการวิเคราะห์ของซอฟท์แวร์ ดังนั้น สิ่งที่ท่านเห็น ก็จะต่างไปจากของเพื่อนบ้าน หรือแม้แต่คนในครอบครัวของท่าน แล้วมันจะเกี่ยวข้องกับรถยนต์ของเราได้อย่างไร เรื่องนี้เกี่ยวแน่นอน เพราะเมื่อเรา “ลอคอิน” เข้าระบบอินเทอร์เนท ผ่านรถของเราทางระบบไบโอเมตริก (ย้อนกลับไปดูในข้อที่ 3) และตลอดเส้นทางที่เราขับไป หากมีเหตุการณ์ หรือเรื่องราวที่เราสนใจ อาทิ มีงานเซลล์ (น่าจะถูกใจสาวๆ) ระบบก็จะนำเสนอข้อมูลเหล่านั้นให้เราได้ทราบในทันที ผ่านทางจอภาพ แอคทีฟ (ดูในข้อ 5) เราลองมาติดตามดูว่า 9 นวัตกรรม นี้จะเป็นจริงช้าเร็วเพียงใด แต่เชื่อว่าอีกไม่นานเกินรอแน่นอน !ABOUT THE AUTHOR
ภ
ภัทรกิติ์ โกมลกิติ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2560
คอลัมน์ Online : รู้ลึกเรื่องรถ