เรื่องเด่นจาก GADGET/HOW IT WORKS
วิถีชีวิตไฮเทค 2050
ยินดีต้อนรับสู่โลกยุคหน้า เดินทางด้วยความเร็วระดับไฮเพอร์โซนิค การรักษาแบบฝังในสมอง ภาพเสมือนที่สมจริงมากที่สุด การปฏิวัติหุ่นยนต์ รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติสมบูรณ์แบบอวัยวะเทียมจากเครื่องพิมพ์ 3 มิติรู้หรือไม่ ? ตามกฎของ MOORE การทำงานของคอมพิวเตอร์ในปี 2050 จะทรงพลังกว่าปัจจุบันถึง 65,536 เท่า การแผ่ขยายของเมืองขนาดใหญ่ที่ปรับตัวให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั่วทั้งโลกมีจำนวนประชากรโลก 9.8 พันล้านคน และการสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ที่ผสานชีววิทยาเข้ากับเทคโนโลยีด้วยแนวคิด นวัตกรรม และจินตนาการ ทำให้เราสามารถคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำว่าโลกจะเป็นอย่างไรในอีก 30 ปีข้างหน้า หากมองถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีกหลายสิบปีด้วยตา อาจจะยังไม่เห็นเป็นรูปเป็นร่าง แต่จากการค้นคว้าในปัจจุบันทำให้เราพบจุดกำเนิดของเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน ในปี 1950 โครงการของ อลัน ทูริง (ALAN TURING) ถูกมองว่าเป็น GHOST IN THE MACHINE ซึ่งการท้าทายเครื่องจักรกลครั้งนี้ ทำขึ้นเพื่อพิจารณาว่าจะสามารถสร้างปัญญาประดิษฐ์ที่มีความรู้สึกได้จริงหรือไม่ ? ในขณะนี้เรามีทั้งโครงข่ายประสาทเทียม และปัญญาประดิษฐ์ หมายถึง เราเข้าใกล้ไอเดียที่คิดค้นขึ้นเมื่อ 60 ปีก่อนแล้ว ซึ่งเราใกล้จะตระหนักถึงวิสัยทัศน์ของ ทูริง ได้อย่างถ่องแท้ ด้วยรูปแบบแนวคิดนี้จะทำให้เราค้นพบไอเดียต่างๆ เหมือนที่ ทูริง เคยทำ เพื่อพัฒนาเทคโนโลยี และหยุดยั้งไม่ให้โลกพังทลายในปี 2050
สร้างความก้าวหน้า
เนื่องจากเรายังคงคิดถึงไอเดียใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นการค้นคว้าจะขยายสาขาในวงกว้าง และแตกต่างกันออกไป การผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีจะมีบทบาทสำคัญในปีต่อๆ ไป ตัวอย่างเช่น กระบวนการทางกฎหมายจะสามารถเข้าถึงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นประโยชน์ได้มากขึ้น นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ได้ค้นพบความแตกต่างทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับลักษณะจำเพาะบนใบหน้าเป็นครั้งแรก ความเชื่อมโยงระหว่างรหัสพันธุกรรมแต่ละบุคคลกับลักษณะของใบหน้า ก็จะถูกเปิดเผย ในข้อมูลของคดีความผิดทางอาญา จะมีการเปิดเผยข้อมูล DNA ของแต่ละบุคคลมากกว่าแค่การจับคู่แบบพื้นฐาน ซึ่งเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นมาก ที่ตำรวจในปี 2050 อาจจะสามารถสร้างแบบจำลองใบหน้าคนร้ายเสมือนจริงโดยใช้เพียงน้ำลาย 1 หยด หรือเส้นผมเพียง 1 เส้น และด้วยความช่วยเหลือจากระบบคอมพิวเตอร์ พวกเขาจะสามารถตรวจสอบพื้นที่ด้วย ดโรน และจับกุมผู้กระทำความผิดได้ 1. เมือง ในอนาคตจะมีทั้ง ฟาร์ม พืช สวน และอาคารใหม่อยู่ร่วมกันมากขึ้น 2. สมอง และคอมพิวเตอร์ที่อินเตอร์เฟศจะทำให้เราสามารถควบคุมเทคโนโลยีในอนาคตด้วยความคิดได้ 3. บริการส่งของด้วย ดโรน รวดเร็ว และมีราคาถูกกว่าการขนส่งปัจจุบัน ศูนย์กลางของเทคโนโลยีข้ามสาขาที่น่าประหลาดใจ อย่างไรก็ตาม ได้แก่ การเชื่อมโยงระบบสมองกับคอมพิวเตอร์ คล้ายกับ NEURALINK ที่ เอลอน มัสค์ กำลังพัฒนาอยู่ บริษัทนี้กำลังพยายามสร้างตาข่ายเส้นประสาทที่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับ CLOUD ได้เป็นอย่างดี และสร้างความเชื่อมโยงระหว่างความคิดของเรากับอีเลคทรอนิคส์รอบตัวเรา เอลอน มัสค์ ชี้ชัดว่าเราพึ่งพาสมาร์ทโฟน และจะอยู่โดยไม่มีมันได้อย่างไร จากหลักฐานที่เห็นชัดว่า เรามีความผูกพันกับเทคโนโลยีมากแค่ไหน แต่ในปี 2050 การเชื่อมโยงนี้จะล้ำลึกขึ้น เราจะสามารถฝังเทคโนโลยีบางอย่างเพื่อสร้างเครือข่ายประสาททำให้สมองสามารถเชื่อมต่อกับสิ่งที่อยู่ด้านนอกได้ ผู้ที่ถูกติดตั้งเทคโนโลยีชนิดนี้แล้วได้รับข้อมูลจากเวบไซท์ที่จะส่งตรงไปยังสมองตามเวลาที่ตั้งค่าไว้ อุปกรณ์อีเลคทรอนิคส์นี้ จะถูกควบคุมโดยความคิดเรา และผู้คนจะสนุกไปกับเทคโนโลยีที่เรียกว่า CONSENSUAL TELEPATHY ที่ฟังดูเหมือนการร่ายเวทมนตร์ แต่ในปี 2050 เมื่อเทคโนโลยีมีความสมบูรณ์แบบมากกว่าทุกวันนี้ ระบบอินเตอร์เฟศที่ทำงานร่วมกันกับความสร้างสรรค์ได้ง่ายขึ้น สิ่งเหล่านี้จะสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ การนำเทคโนโลยีนี้มาประยุกต์ใช้ในทางการแพทย์ก็เช่นกัน เมื่อสมอง และระบบประสาทส่วนกลางได้รับบาดเจ็บก็สามารถใช้เทคโนโลยีนี้ได้เพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บขั้นรุนแรง โดยการเชื่อมต่อกับ CLOUD ผลที่ได้รับ คือ สมอง และก้านสมองจะถูกรักษาไว้ ผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตจะมีปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอกได้ง่ายขึ้น ในปี 2050 ที่อยู่อาศัยของเราก็จะเปลี่ยนไป สำหรับผู้ที่อยู่ในบริเวณชนบท พื้นที่จะมีความหลากหลายทางชีวภาพมากขึ้น และเนื่องด้วยจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้น พี้นที่เพื่อเกษตรกรรมจะมีความต้องการมากขึ้นแทนที่จะลดลง แต่การผลิตเนื้อสัตว์จะถูกผลิตขึ้นอย่างหลากหลายในห้องทดลอง และในแต่ละเมืองจะจัดการเพาะปลูกแนวตั้งเพื่อผลิตอาหาร ด้านการผลิตเนื้อสัตว์จะถูกทำขึ้นอย่างหลากหลายในห้องแลบการทำเหมืองนอกโลก
หลายประเทศทั่วโลก ตอนนี้มีความมุ่งมั่นจะลดปริมาณแกสเรือนกระจกในระยะเวลา 10 ปี ต่อจากนี้ ด้วยความหวังว่า ในปี 2050 จะสามารถลดปริมาณลงได้อย่างชัดเจน จุดสำคัญของการปฏิบัติภารกิจนี้รวมถึงการพึ่งพาแบทเตอรี และอุปกรณ์อีเลคทรอนิคส์มากขึ้น ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญของพลังหมุนเวียน และรถยนต์ระบบไฟฟ้าไร้มลพิษ แต่การทำเหมืองโลหะให้เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นก็เป็นอุปสรรคที่สำคัญ คำตอบที่ไม่พึงประสงค์ของปัญหานี้ คือ การทำเหมืองใต้ทะเลลึกบริเวณปล่องน้ำร้อนใต้ทะเลที่เป็นแหล่งสะสมของโลหะที่อุดมสมบูรณ์ และเป็นที่พึ่งพาของหลายชีวิตที่น่าทึ่ง (อาจจะเป็นจุดกำเนิดของชีวิตด้วยเช่นกัน) ดังนั้น เราควรจะมีวิธีอื่นที่ดีกว่า ความคิดในการทำเหมืองนอกโลกบนดาวเคราะห์และสหายของโลกจึงเกิดขึ้น นั่นคือ ดวงจันทร์ การทำเหมืองบนดวงจันทร์เป็นความหวังที่ยิ่งใหญ่ เพราะบนนั้นเต็มไปด้วยธาตุฮีเลียม-3 ซึ่งเป็นไอโซโทพที่ถูกปล่อยจากดวงอาทิตย์ ซึ่งจะถูกนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิวชัน ด้วยการใช้หุ่นยนต์และเครื่องพิมพ์ 3 มิติขนาดใหญ่ เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน การทำเหมืองแร่นอกโลกจะทำให้เรามีทรัพยากรที่มีค่า และจำเป็นอย่างมากใช้ได้อย่างต่อเนื่อง การทำเหมืองแร่โลหะนอกโลกนั้นจำเป็นต่อการผลิตวงจรอีเลคทรอนิคส์ในอนาคต รู้หรือไม่ นักพัฒนาชาวจีน และอเมริกัน มีเป้าหมายจะสร้างเครื่องบินไฮเพอร์โซนิคที่สามารถแล่นด้วยความเร็ว 6,150 กม./ชม.วิถีแห่งอนาคต
ชีวิตของพลเมืองในปี 2050
9:00 น.
งานแรงงาน และงานจัดการส่วนใหญ่จะเสร็จสมบูรณ์โดยอัตโนมัติ หมายความว่า ประชากรกลุ่มผู้ใหญ่จะได้รับ UNIVERSAL INCOME และจะได้สนุกไปกับเวลาอิสระอย่างเต็มที่9:30 น.
ความก้าวหน้าของปัญญาประดิษฐ์ และการคำนวณควอนตัม จะทำให้เราสามารถสร้างสมองเทียมทรงพลังที่จะเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะเสมือนจริง10:00 น.
รถยนต์อัตโนมัติ ที่ใช้พลังงานจากแบทเตอรีจะมีราคาที่สามารถเป็นเจ้าของได้ มีความปลอดภัย และจะมีแทกซีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมค่อยบริการตลอดเวลา11:45 น.
การค้าระดับโลกที่เพิ่มขึ้น จะนำไปสู่ความสามารถในการเข้าถึงสกุลเงินที่ถูกเข้ารหัส ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทอลสามารถใช้จ่ายเมื่อใดก็ได้12:00 น.
การเดินทางไปประชุมกลายเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น ด้วยชุดหูฟังความคมชัดสูงเสมือนจริงที่ทำให้เราสามารถตอบโต้กันได้ในพื้นที่ 3 มิติ14:30 น.
UNIVERSAL INCOME จะทำให้คุณมีโอกาสมากมายในการจองวันหยุด ปรับตั๋วเครื่องบินเป็นไฟล์ไฮเพอร์โซนิค และเดินทางไปทั่วโลกภายในระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมง15:00 น.
การโฆษณาจะตอบโต้กับคุณผ่านชุดหูฟังที่จะสร้างภาพโฮโลกแรมแบบ 3 มิติ แสดงสินค้าที่คัดเลือกมาอย่างดี17:00 น.
ยานพาหนะไฮเพอร์ลูพที่อยู่ในท่ออุโมงค์ใต้ดิน และเหนือศีรษะของเราสามารถเดินทางด้วยความเร็ว 1,000 กม./ชม. เพื่อพาคุณกลับบ้าน17:30 น.
ชุดหูฟังเสมือนจริง และชุดที่ให้สัมผัสเสมือนจริง จะเชื่อมต่อกันด้วยความเร็วสูง หมายความว่า คุณสามารถสนุก และเต็มอิ่มไปกับการเล่นเกมส์ในโลกดิจิทอลได้19:30 น.
เพื่อลดการปลดปล่อยมลพิษ การทำการเกษตร และการผลิตเนื้อสัตว์ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในระบบปิดมากกว่าการผลิตแบบดั้งเดิม วิธีนี้จะช่วยลดปริมาณของเสียจำนวนมหาศาล พร้อมทั้งลดความต้องการในการใช้ทุ่งเลี้ยงสัตว์ขนาดใหญ่อีกด้วย การทำเกษตรแนวตั้ง เป็นการปลูกพืชเรียงกันเป็นชั้นในแนวตั้ง ซึ่งสามารถปลูกได้ในที่อยู่อาศัยที่เป็นตึกสูงในอนาคต โดยสามารถปลูกพืชที่มีประโยชน์ทางโภชนาการ เช่น มะเขือเทศ ผักกาดและผักใบเขียวต่างๆ และยังช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับเมืองอีกด้วย เกษตรแนวตั้งขนาดย่อมในตึกเก่า สามารถช่วยเพิ่มอากาศบริสุทธิ์ และเป็นแหล่งอาหารได้อีกทาง จากการคาดคะเน การทำเกษตรแนวตั้งขนาดใหญ่ที่สุดจะสามารถผลิตอาหารให้ประชากรได้ถึง 50,000 คน ปัญหาอาหารเน่าเสียจากการขนส่ง และจัดเก็บจะหมดไป ความต้องการในการใช้ยาฆ่าแมลงจะลดลง ต้องขอบคุณสภาพแวดล้อมที่แยกพืชออกจากกัน ดังนั้นพืชจะสามารถเติบโตได้ตลอดปี ข้อดีอีกอย่าง คือการทำเกษตรแนวตั้ง จะเป็นระบบปิด และมีแหล่งน้ำที่สามารถจะรีไซเคิลน้ำด้วยตัวเอง ทำให้ขบวนการปลูกพืชลักษณะนี้ประหยัดมากขึ้น โดยภาพรวมแล้ว เมืองใหญ่ในปี 2050 ที่เราจะได้เห็นนั้นมีการติดตั้งสิ่งที่ดีกว่า และมีความพอเพียงมากกว่าปัจจุบัน จุลินทรีย์ที่เกิดจากการค้นคว้าทางวิศวกรรมชีวเวชจะช่วยทำให้น้ำสะอาด ซึ่งจะลดค่าใช้จ่ายในการบำบัดน้ำ และเราจะสามารถลดพลังงานลงได้เนื่องจากแสงไฟบนถนนจะถูกแทนที่ด้วยต้นไม้เรืองแสง สิ่งเหล่านี้เป็นผลิตภัณฑ์ด้านเทคโนโลยีที่จะถูกสร้างเมื่อนักวิทยาศาสตร์ของ MIT ประสบความสำเร็จแล้ว ซึ่งในปลายปี 2560 บรรดานักวิทยาศาสตร์ประสบความสำเร็จในการใช้อนุภาคนาโนที่สว่างเจิดจ้าด้วยตัวเอง ซึ่งจะให้ทั้งความสว่าง และความสวยงามกับเมือง ต้นไม้เรืองแสงจะช่วยเปลี่ยนจากป่าคอนกรีทเป็นเมืองที่ดูน่าตื่นเต้นอีกด้วยระบบอัตโนมัติเติบโตอย่างต่อเนื่อง
แนวคิดทั้งหมดที่มีมาจนถึงตอนนี้บางอย่างดูเหมือนจะเป็นจริงได้แล้ว บางไอเดียยังต้องการทฤษฎีสนับสนุนอีก และก็ยังมีไอเดียอื่นๆ ที่ยังห่างไกล แต่สิ่งหนึ่งที่บริษัทกำลังดำเนินการอยู่ คือ ระบบอัตโนมัติ โลกที่ถูกครอบงำโดยเครื่องจักรอัตโนมัติดูเหมือนจะมาถึงในไม่ช้า เนื่องจากในทุกๆ ปี เราจะค้นพบความเป็นไปได้หลายๆ อย่าง และบรรลุเป้าหมายสำคัญ รวมถึงความสำเร็จที่มาถึงก่อนเวลาที่คาดการณ์ไว้เป็น 10 ปีพลังงานเพื่อคนรุ่นใหม่
เทคโนโลยีหมุนเวียนที่จะนำพลังงานที่ถูกมองข้ามมาใช้ เพื่อรักษาชั้นบรรยากาศ
พลังงานแสงอาทิตย์จากยานอวกาศ
แผ่นกระจก จะโคจรนอกชั้นบรรยากาศ เพื่อรับพลังแสงอาทิตย์ และส่งไปยังภาคพื้นโลกโดยผ่านคลื่นวิทยุพลังงานแสงอาทิตย์บนโลก
บ้านส่วนใหญ่จะใช้พลังงานจากแผงโซลาร์บนหลังคาท้องฟ้าสดใส
เมื่อไม่มีการปนเปื้อนจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล คาร์บอนไดออกไซด์ และไอเสียก็จะลดลงความร้อนใต้พิภพ
น้ำในบ่อเก็บน้ำลึกจะถูกทำให้ร้อน ด้วยพลังงานความร้อนจากแมกมาใต้เปลือกโลก เครื่องกำเนิดไฟฟ้าจะตั้งอยู่ในทำเลที่เหมาะสม ใกล้กับช่องระบายอากาศ และจุดที่น้ำร้อนจะพ่นมาได้พลังงานคลื่น
คลื่นทะเลสามารถผลิตพลังไฟฟ้าได้ จากการซัดเข้าและออก พร้อมอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าอย่างรวดเร็ว ทำให้แรงดันอากาศเปลี่ยน และส่งผลให้กังหันหมุนพลังงานน้ำขึ้น/น้ำลง
เมื่อคลื่นยักษ์กระแทกกับอุปกรณ์จัดเก็บพลังงาน กระแสน้ำที่เคลื่อนที่เข้าและออก จะทำให้ใบพัดที่อยู่ด้านใต้หมุน และก่อให้เกิดพลังงาน สิ่งที่เราจะได้เห็นในปี 2050 คือ การติดตั้งสิ่งที่ดีกว่าและมีความพอเพียงมากกว่าปัจจุบัน รู้หรือไม่ ชาวโรมันใช้ประโยชน์จากพลังงานความร้อนใต้พิภพในการต้มน้ำในอ่างเมื่อ 2,000 ปีก่อนพลังงานไฟฟ้าจากน้ำ
เขื่อนสามารถทำประโยชน์ได้ 2 อย่าง คือ ป้องกันน้ำท่วม และให้พลังงาน เมื่อน้ำไหลผ่านอุปกรณ์ ทำให้กังหันหมุน และเกิดเป็นพลังงานประโยชน์จากพลังงานธรรมชาติ
ทุกๆ วัน พระอาทิตย์จะปลดปล่อยรังสี โลกหมุนไปเรื่อยๆ และของเหลวในแกนโลกก็หมุนด้วยเช่นกัน เทคโนโลยีใหม่จะจัดเก็บพลังงานทั้งหมดที่เกิดจากปรากฏการณ์เหล่านี้กังหันลม
กังหันลมทั้งที่ตั้งอยู่นอกชายฝั่ง และบนพื้นดินจะเปลี่ยนพลังงานจลน์ จากลมให้กลายเป็นพลังงานไฟฟ้า 1. เราหวังว่ารถขับเคลื่อนอัตโนมัติ จะช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ 2. คาดการณ์กันว่า ในปี 2030 แรงงานมนุษย์จะถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์กว่า 800 ล้านตำแหน่ง2050 ปีแห่งการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ยินดีต้อนรับสู่อนาคตที่สร้างขึ้นจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนและยั่งยืน139
คือ จำนวนประเทศที่สามารถใช้พลังงานหมุนเวียนทั้งประเทศ24 ล้าน
คือ กำไรสุทธิจากการใช้งานพลังงานทดแทนทำงานเพียงอย่างเดียว2040
คือ ปีที่ประเทศอังกฤษวางแผนว่า จะประกาศห้ามจำหน่ายรถยนต์เชื้อเพลิงฟอสซิล42.5 %
คือ เปอร์เซนต์ความต้องการใช้พลังงานที่คาดว่าจะลดลง หลังจากเปลี่ยนไปใช้พลังงานทดแทนที่มีประสิทธิภาพมากกว่า1.1 ล้านตัน
คือ ปริมาณของธาตุฮีเลียม-3 ที่คาดว่าจะค้นพบบนดวงจันทร์48 %
คือ เปอร์เซนต์คาดการณ์ของการผลิตเทคโนโลยีที่ใช้แสงอาทิตย์ เป็นพื้นฐานในการผลิตพลังงาน โชคดีที่บรรดาหุ่นยนต์ และปัญญาประดิษฐ์ จะไม่นำไปสู่การปฏิวัติโลก แต่จะผสมผสานระบบอัตโนมัติเข้ากับการใช้ชีวิตของเราในทุกๆ ด้าน โดยหุ่นยนต์จะกลายเป็นแรงงานที่ไม่มีวันเหนื่อย เช่น ดโรน ที่เก็บรวบรวม และจัดระเบียบข้อมูลของเรา ทำความสะอาดออฟฟิศ ส่งพัสดุ และอื่นๆ อีกมากมาย หากมองไปรอบๆ เราจะรู้ว่าความเปลี่ยนแปลงนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว บโรเคอร์หุ้นพึ่งพาระบบคอมพิวเตอร์เพื่อคาดการณ์ความผันผวนในตลาดหุ้น พโรแกรมเฟศบุคเจาะทะลุข้อมูล เพื่อเรียนรู้สิทธิ์ในการเผยแพร่โฆษณาเพื่อเข้าถึงตัวเรา และพนักงานทำเบอร์เกอร์ในร้านฟาสต์ฟูดก็ถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ เหตุผลที่น่าประทับใจของการเปลี่ยนแปลงด้านวัฒนธรรมนี้ คือ อัลกอริธึม และหุ่นยนต์จะทำให้บริษัทต่างๆ มีต้นทุนที่ถูกลง มีผลผลิตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และจัดการกับข้อมูลต่างๆ ได้ดีกว่ามนุษย์ แต่ก็ยังมีอีกหนึ่งอุปสรรคใหญ่ที่ต้องเอาชนะ คือ การสอนให้หุ่นยนต์ทำงานได้อย่างเหมาะสม และเมื่อพวกเราเรียนรู้ในจุดนั้นแล้ว มั่นใจได้เลยว่าพวกเขาจะมีความสามารถที่เหนือกว่ารุ่นก่อนๆ แน่นอน หุ่นยนต์จะทำงานอะไรได้บ้าง ? ในหลายๆ ด้านหุ่นยนต์จะทำให้การทำงานง่ายขึ้น แน่นอนว่าผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ก็คือพวกบริษัทใหญ่ๆ ด้านการแพทย์ ผู้ป่วยจะได้รับการช่วยเหลือจากความสามารถของปัญญาประดิษฐ์ เนื่องจากในปัจจุบัน การวินิจฉัยโรคหลายอย่าง ยังใช้วิธีประเมินอาการด้วยสายตาเท่านั้น วิธีที่ล้าสมัยแบบนี้จะมีองค์ประกอบเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งมีแนวโน้มที่จะวินิจฉัยผิดพลาด แต่เครื่องจักรที่ถูกฝึกอบรมด้วยภาพนับหมื่นจะสามารถช่วยเหลือช่วยผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์ให้วินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้อง ในอีกหลายๆ อาชีพ หุ่นยนต์จะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับมนุษย์ จากผลงานการศึกษาชิ้นหนึ่งคาดการณ์ว่า บางสายงานจะส่งมอบงานถึง 50% ให้แก่หุ่นยนต์ และระบบปัญญาประดิษฐ์ภายในปี 2030 มั่นใจได้เลยว่าในอีก 20 ปี เราจะได้เห็นการเจริญเติบโตของหุ่นยนต์ที่เพิ่มขึ้น มีความสามารถมากขึ้น และจะเข้าควบคุมงานหลายๆ ด้าน ส่วนงานที่ต้องอาศัยความเอาใจใส่ และความคิดสร้างสรรค์อาจจะได้รับการยกเว้น เนื่องจากหุ่นยนต์ยังไม่สามารถจะทำแทนได้ แต่เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า ความสามารถของหุ่นยนต์จะไม่ล้ำหน้ากว่าความสามารถของมนุษย์ในปี 2050? สำหรับผู้ที่ต้องต่อสู้เพื่อหางานทำ ซึ่งประกอบไปด้วย พนักงานรักษาความปลอดภัย รัฐบาล ครู อาจารย์ นักค้นคว้า และที่ปรึกษาจะพบกับการแข่งขันที่ดุเดือด โดยอย่างยิ่งเมื่อจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นเป็นเกือบหมื่นล้านคนภายในปี 2050 ผลลัพธ์ คือ เราอาจจะต้องอยู่ในยุคที่มีรายรับเป็น UNIVERSAL INCOME เมื่อรัฐบาลจะจ่ายรายได้ให้ประชากรผู้ใหญ่โดยไม่ต้องทำงาน วิธีนี้เศรษฐกิจจะยังคงหมุนไป ประชากรจะได้ใช้เวลากับสิ่งที่พวกเขาสนใจ เป็นอิสระจากความกดดันในการสร้างรายได้ มันอาจจะแสดงถึงความเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจำวันของเราที่มีมากว่าร้อยปี และเป็นการปูทางให้มนุษย์พัฒนาเทคโนโลยีให้ก้าวหน้ายิ่งกว่าช่วง 50 ปีที่ผ่านมา 1. อุโมงค์ระบบเกือบสูญญากาศสำหรับยานโดยสารความเร็วสูงกว่า 1,000 กม./ชม. ซึ่งรู้จักกันในนาม ไฮเพอร์ลูป 2. หุ่นยนต์จะให้อิสระแก่มนุษย์ที่ใช้แรงงาน รวมถึงบรรดาเกษตรกรด้วยยืดอายุขัย
คนในรุ่นถัดไปอาจจะต้องกังวลกับประชากรสูงอายุ เนื่องจากความกดดันทางด้านเศรษฐกิจที่จะต้องดูแลพลเมืองเหล่านี้ แต่ผู้สูงอายุไม่ได้หมายความว่าเป็นผู้อ่อนแอ ถ้าเราสามารถป้องกันสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่ออายุมากขึ้นได้ ให้ประชากรมีแข็งแรงขึ้น สุขภาพดีขึ้นและอยู่ได้นานขึ้น ในปี 2050 สิ่งนี้อาจจะเกิดขึ้นจริง ด้วยความช่วยเหลือของเทคโนโลยีปฏิวัติอายุขัยที่ชื่อว่า TELOMERE EXTENSION TELOMERE คือ ที่อยู่ส่วนปลายสุดของโครโมโซม ทำหน้าที่หุ้ม ยึดเหนี่ยวเส้นสายโครโมโซมไว้ ซึ่งจะสั้นลงทุกครั้งที่มีการแบ่งเซลล์ เมื่อ TELOMERE หมดไปจะไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ TELOMERE เป็นตัวชี้วัดอายุขัยตามธรรมชาติ จากการค้นคว้าพบว่าหากเราสามารถยืด TELOMERE ได้โดยได้รับความช่วยเหลือจากโปรตีน จะทำให้เราสามารถรักษาการแบ่งตัวของเซลล์และทำให้มีอายุยืนขึ้นได้ สำหรับผู้ที่เกิดในปี 2050 ปัญหาผมร่วง ไขกระดูกเสื่อม และการมีภูมิคุ้มกันต่ำที่เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งจะหมดไป เอนไซม์จะช่วยรักษา TELOMERE และลดการเกิดโรคสำหรับผู้สูงอายุ รู้หรือไม่ ? ผู้หญิงที่เกิดในประเทศเกาหลีใต้ในปี 2030 คาดว่าจะมีอายุยืนเกือบๆ 91 ปีเรื่องสำคัญของวงการแพทย์ในอนาคต
นวัตกรรมใหม่ที่จะเปลี่ยนแปลงการรักษาสุขภาพ
การเฝ้าดูสุขภาพตัวเอง ตลอดเวลา
ผ่านอุปกรณ์ที่สวมใส่ได้ ขนาดเล็ก ซึ่งจะบ่งชี้ข้อมูลสุขภาพที่สำคัญ เช่น ความดันเลือด อัตราการเต้นของหัวใจ ระดับคอเลสเตอรอล และระดับน้ำตาลในเลือด ข้อมูลเหล่านี้จะถูกบันทึกและถ่ายทอดอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาเครื่องพิมพ์อวัยวะ 3 มิติ
ด้วยส่วนประกอบพื้นฐานทางชีววิทยาในการสร้างวัตถุ เครื่องพิมพ์อวัยวะจะช่วยสร้างอวัยวะขึ้นใหม่จากเซลล์พื้นฐานของผู้ป่วยเอง เช่น ผิวหนัง และระบบที่มีความซับซ้อนมากขึ้น เช่น ตับ ม้าม ซึ่งจะช่วยเหลือผู้ป่วยที่นอนรอการบริจาคอวัยวะได้อย่างมากแพทย์ปัญญาประดิษฐ์
หลังจากการฝึกฝนอัลกอริธึมอัจฉริยะกว่าทศวรรษเพื่อจดจำรูปแบบ และลักษณะอาการของโรค ในปี 2050 คอมพิวเตอร์ที่ปรึกษา จะมีความน่าเชื่อถือ และวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้องเกือบทุกรูปแบบ และจะแนะนำหนทางที่ดีที่สุดในการรักษาอวัยวะอีเลคทรอนิคส์
อนาคตของโครงกระดูก และแขนขาเทียม ขึ้นอยู่กับการพัฒนาหุ่นยนต์เพื่อสร้างแขนขาเทียมให้มีความฉลาดมากขึ้น รวมถึงสมองอีเลคทรอนิคส์ที่จะส่งสัญญาณไปยังอวัยวะเทียมแบบไร้สาย หมายความว่าอวัยวะเทียมสามารถเคลื่อนที่โดยการสั่งการทางความคิดได้เซลล์เม็ดเลือดสังเคราะห์
อนุภาคอัจฉริยะพลาสติค ที่สามารถเสริมสร้างการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน ด้วยการยึดตัวติดกับเซลล์ที่บุกรุกเข้ามา โดยมีเม็ดเลือดแดงนาโนคาร์บอน (RESPIROCYTE) ที่มีออกซิเจน มากกว่าเซลล์เม็ดเลือดแดงปกติกว่า 100 เท่า หมายความว่าในอนาคตจะสามารถป้องกันโรคได้อีกระดับ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง ผู้ที่เกิดในปี 2050 ปัญหา ผมร่วง ไขกระดูกเสื่อม และการมีภูมิคุ้มกันต่ำที่เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งจะหมดไปABOUT THE AUTHOR
H
HOWIT WORKS MAGAZINE
ภาพโดย : HOWIT WORKS MAGAZINEนิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2561
คอลัมน์ Online : เรื่องเด่นจาก GADGET/HOW IT WORKS