สารคดี(formula)
ลัดเลาะเลียบโขง จากสะดือโขง สู่ประตูอินโดจีน
ปัจจุบันภาคอีสานตอนเหนือ ได้กลายเป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวสายบุญไปแล้ว จากตำนานความเชื่อ ที่ผูกโยง กับสถานที่ในแถบนี้ ได้อย่างลงตัว “ฟอร์มูลา” จึงรวบรวมสถานที่ท่องเที่ยวสายบุญ ตั้งแต่สะดือแม่น้ำโขงที่ จ. บึงกาฬ จนถึงประตูอินโดจีนที่ จ. มุกดาหาร มาฝาก
แก่งอาฮง สะดือแม่น้ำโขง
จุดหมายแรก คือ “แก่งอาฮง” อยู่บริเวณวัดอาฮงศิลาวาส ที่ประดิษฐานของ พระพุทธคุวานันท์ศาสดา ที่เคารพสักการะของชาว จ. บึงกาฬ เชื่อกันว่า ตรงนี้เป็นจุดที่ลึกสุดของแม่น้ำโขง ชาวบ้านเรียก “สะดือแม่น้ำโขง” ความลึกของระดับน้ำบริเวณนี้เกือบ 200 ม. ฝั่งตรงข้ามเป็นประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีโขดหินขนาดใหญ่ และถ้ำใต้โขดหินเป็นที่อยู่ของปลาบึกยักษ์ ว่ากันว่าใครที่ไปทำสิ่งไม่ดี หรือลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มักจะเสียชีวิตในแม่น้ำโขง และศพจะลอยมากองอยู่ที่บริเวณนี้เกือบทุกปีควบ ซีอาร์-วี ตะลุยอีสานเหนือ
เราออกเดินทางด้วยรถ ฮอนดา ซีอาร์-วี จากกรุงเทพฯ ตามทางหลวงหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ) มุ่งหน้าไปยัง จ. นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี หนองคาย และบึงกาฬ ระยะทางเกือบ 750 กม. ใช้เวลาประมาณ 9 ชม. ซึ่งเร็วกว่าที่คิด เพราะเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.4 ลิตร 173 แรงม้า ที่ทำงานผสานกับเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT อย่างราบรื่น ผมใช้ความเร็วประมาณ 120 กม./ชม. ด้วยรอบประมาณ 2,000 รตน. วัดอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยได้ประมาณ 12 กม./ลิตร ถือว่าประหยัดใช้ได้ยามเดินทางไกลพิสูจน์หินสามวาฬ ที่ภูสิงห์
ภูสิงห์ เปรียบเสมือนประติมากรรมทางธรรมชาติที่น่าอัศจรรย์ เนื่องจากมีลักษณะทางธรณีวิทยาที่แปลกตา โดยเฉพาะหินสามวาฬ ประกอบด้วยหินทรายแดงขนาดใหญ่ 3 ลูก ที่ตั้งตระหง่านอยู่ริมหน้าผา และมีส่วนยื่นออกมาให้เสียวเล่น ลักษณะคล้ายลำตัวปลาวาฬ 3 ตัว วางเรียงกัน เป็น 1 ใน 10 จุดชมวิวของ ภูสิงห์ ที่โดดเด่นที่สุด สามารถมองเห็นแม่น้ำโขง และภูมิประเทศฝั่งลาวได้อย่างชัดเจน แต่การเดินเข้าไปนั้นต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ ควรใส่รองเท้าหุ้มส้น เพราะเป็นหน้าผาสูงชัน และจะลื่นมากถ้าฝนตกภูทอก วิมานเทวดา
ตามตำนานเล่าว่า ภูทอก เปรียบเสมือนวิมานของเทวดาแห่งป่าหิมพานต์ ใครที่ได้ขึ้นไปปฏิบัติธรรมบนยอดเขาชั้น 7 จะถือว่ามีบุญบารมี ผมอยากมีบุญกับเขาบ้าง จึงมุ่งมั่นตั้งใจเดินขึ้นไปถึงชั้น 7 จนได้ ไฮไลท์ของที่นี่ คือ การเดินเท้าชมธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ด้วยทางเดินสะพานไม้ที่วนเวียนไต่ระดับขึ้นสู่ยอดภู ที่สร้างขึ้นจากแรงศรัทธาของ พระ เณร และชาวบ้านในพื้นที่ โดยเริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี 2512 ใช้เวลาสร้างนานถึง 5 ปี แบ่งออกเป็น 7 ชั้น ชั้นที่ 1-2-3 เป็นสะพานไม้วนรอบเขา มีเส้นทางลัดขึ้นสู่ชั้น 5 แต่สภาพเส้นทางชันมาก ถ้าร่างกายไม่พร้อม ยอมเสียเวลาเดินวนดีกว่าเยือนป่าคำชะโนด ที่อุดรธานี
เชื่อกันว่า ป่าคำชะโนดมีอายุกว่า 1,000 ปี มีพญาศรีสุทโธนาคราชเป็นผู้ปกครอง ทุกๆ เดือน พญาศรีสุทโธนาคราช จะกลายร่างเป็นมนุษย์ 15 วัน (ข้างขึ้น) โดยใช้บริเวณบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์กลางป่าคำชะโนดเป็นทางขึ้น/ลงระหว่างโลกมนุษย์ กับเมืองบาดาล ทันทีที่ไปถึง อากาศที่ร้อนอบอ้าว กลับเย็นขึ้นอย่างเหลือเชื่อ เมื่อเดินไปถึงศาลพ่อปู่ศรีสุทโธนาคราช และแม่ย่าศรีปทุมมา ก็พบผู้คนมากมายกำลังสักการะ ด้านหลังมีต้นมะเดื่อใหญ่อายุกว่า 100 ปี ซึ่งมีรากค้ำสวยงาม มีป้ายเตือนว่า ห้ามขูด หรือโรยแป้ง แต่ไม่สามารถต้านแรงศรัทธาได้ ต่างคนต่างเพ่งมอง และตีเป็นตัวเลขได้ตรงกัน จนผมตกใจ อีกฝั่งหนึ่งเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ด้านหน้าจะมีบ่อเล็กๆ ให้ผู้มาเยือนสามารถตักน้ำกลับบ้านได้ ใกล้ๆ กันมีฆ้องขนาดใหญ่แขวนอยู่ ว่ากันว่าใครที่ลูบฆ้องแล้วมีเสียงดังก้องกังวาน จะมีโชคลาภและสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตสักการะพญาศรีสัตตนาคราช ที่นครพนม
จากป่าคำชะโนด เราขับรถยาวๆ กว่า 200 กม. มายัง จ. นครพนม ดินแดนที่ได้ชื่อว่า มีความสุขที่สุดในประเทศไทย เมื่อมาถึงเราแวะสักการะ “พญาศรีสัตตนาคราช” ที่ประดิษฐานอยู่ริมแม่น้ำโขง พญาศรีสัตตนาคราช มี 7 เศียร ลำตัวเดียว ประดิษฐานบนแท่นฐาน 8 เหลี่ยม กว้าง 6 ม. สูง 15 ม. เป็นตระกูลพญานาคที่สืบสายมาจากครั้งพุทธกาล ใครที่มาขอพรจะสัมฤทธิ์ผลแวะหอนาฬิกา ที่ระลึกแห่งไมตรีจิต
หอนาฬิกาเวียดนามอนุสรณ์ เป็นแลนมาร์คที่เก่าแก่ของจังหวัด ตั้งอยู่ถนนสุนทรวิจิตร เลียบแม่น้ำโขง ตัวอาคารทาสีชมพูอ่อนสะดุดตา สูงประมาณ 50 ม. สร้างโดยชาวเวียดนามที่ลี้ภัยมาอาศัยอยู่ใน จ. นครพนม เมื่อปี 2503 เพื่อเป็นที่ระลึกถึงไมตรีจิตของคนไทยก่อนกลับประเทศเวียดนาม ตามท่านโฮจิมินห์ หลังจากชนะฝรั่งเศสในสงครามเดียนเบียนฟูบ้านลุงโฮ สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์
บ้านท่านโฮจิมินห์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ บ้านลุงโฮ เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่อดีตประธานาธิบดีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ได้เคยเข้ามาพักอาศัยพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เพื่อกอบกู้เอกราชของเวียดนาม ในช่วงปฏิวัติฝรั่งเศส ปี 2467-2474 ปัจจุบัน บ้านหลังนี้จัดแสดงประวัติของลุงโฮ รวมถึงการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย รายล้อมไปด้วยต้นไม้ที่ลุงโฮปลูกไว้ เช่น ต้นมะพร้าว หมาก พลู กล้วย เป็นต้นพระธาตุพนม สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ระดับประเทศ
พระธาตุพนม สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองนครพนม เป็นพระธาตุประจำปีวอก และผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ จากหลักฐานทางโบราณคดีคาดว่า พระธาตุพนม ถูกสร้างขึ้นประมาณ ปี 1200-1400 ภายในบรรจุพระอุรังคธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมคล้ายกับปราสาทขอม พระธาตุพนมเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวไทย และชาวลาว ใครได้มานมัสการพระธาตุครบ 7 ครั้ง ถือเป็น “ลูกพระธาตุ” จะมีความเจริญรุ่งเรือง เป็นสิริมงคลแก่ชีวิตชมพญานาค ที่แก่งกะเบา
จากพระธาตุพนม เลยไปอีกไม่ไกลก็เข้าเขต จ. มุกดาหาร ซึ่งเปรียบเสมือน “ประตูสู่อินโดจีน” สถานที่แรกที่เราแวะ คือ แก่งกะเบา เป็นแก่งหินขนาดใหญ่ที่ขวางกั้นลำแม่น้ำโขงไว้ ยามสายน้ำโขงไหลมากระทบจะเกิดรูปร่างต่างๆ ที่สวยงาม หากมาในฤดูแล้ง น้ำจะลดจนเห็นเกาะแก่งกลางน้ำ เกิดเป็นทะเลน้อยๆ กลางลำแม่น้ำโขง ปัจจุบันมีการสร้างพญานาคสีขาวสวยงาม เพื่อให้นักท่องเที่ยวสายบุญได้สักการะ โดยจะมีวิธีสักการะเป็นขั้นตอนอย่างชัดเจน รอบๆ แก่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ทั้งที่พัก ร้านค้า ร้านอาหาร และอาหารที่ขึ้นชื่อของที่นี่ก็คือ หมูหัน สูตรเด็ดชมวัดสองคอน คริสต์ศาสนสถานใหญ่ที่สุดในไทย
วัดสองคอน เป็นคริสต์ศาสนสถานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยสร้างขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติบุญราศี มรณสักขีทั้ง 7 ท่าน ที่ได้พลีชีพเพื่อยืนยันความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อครั้งเกิดกรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ติดแม่น้ำโขง ตัวอาคารมีความสวยงามแปลกตา จนได้รับรางวัลสถาปัตยกรรมดีเด่น จากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ปี 2539 ตัวอาคารเป็นคอนกรีทเสริมเหล็กโถง 4 เหลี่ยมชั้นเดียว ผนังของวัดเป็นกระจกใส งดงาม และมีมนต์ขลังชมวิวยามเย็น ที่วัดภูมโนรมย์
ถ้าใครมาถึง จ. มุกดาหาร แล้วมองไปทางขวาของลำน้ำโขง จะเห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่สีขาวตั้งเด่นตระหง่านอยู่บนยอดเขา ภายในวัดพระธาตุภูมโนรมย์ การขึ้นไปบนนั้น ต้องนั่งรถ 2 แถว ด้านบนนอกจากจะมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่แล้ว ยังมีองค์พญาศรีมุกดามหามุนี นีลปาลนาคราช หรือรูปปั้นพญานาคสีเขียวอมฟ้าขนาดใหญ่ นอนขดตัวไปมา และชูลำคอสูงสง่าสะท้อนแสงสวยงามให้สักการะด้วย และสิ่งที่ห้ามพลาดเด็ดขาด คือ จุดวิวยามเย็นที่สามารถมองเห็นตัวเมืองมุกดาหารได้ทั้งเมือง รวมถึงแขวงสะหวันนะเขต ประเทศลาวด้วย เป็นการจบทริพที่สวยงามจุดชมวิวสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2 จ. มุกดาหาร
สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2 จ. มุกดาหาร เป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว และคนในจังหวัดเป็นอย่างมาก เนื่องจากมี ภูมิทัศน์ที่สวยงาม เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจได้อย่างดี แถมยังมีเส้นทางปั่นจักรยาน ที่นั่งชมวิว และร้านอาหารอีกด้วย ในช่วงเช้า และช่วงเย็น จะมีผู้คนมาออกกำลังกาย และรับประทานอาหารกันมากมาย โดยตอนกลางคืน ทางจังหวัดได้เปิดไฟบนสะพาน ทำให้เมื่อมองจากจุดนี้ จะเห็นสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ที่สวยงามเป็นพิเศษขอขอบคุณ
บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ที่สนับสนุนรถ ฮอนดา ซีอาร์-วี เพื่อใช้เป็นพาหนะในการเดินทางABOUT THE AUTHOR
วิธวินท์ ไตรพิศ
ภาพโดย : เกรียงศักดิ์ ปันสมนิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2562
คอลัมน์ Online : สารคดี(formula)