รอบรู้เรื่องรถ
สายพานยุคใหม่ ยิ่งทนทานก็ยิ่ง ”หวิว”
ผมตั้งใจไว้ว่าจะลงเรื่องนี้ให้ทันก่อนที่จะถึงเทศกาลฉลองปีใหม่ บังเอิญมีเหตุขัดข้องบางประการ จึงล่าไปหนึ่งเดือน แต่ไม่ได้มีอะไรสูญเสียเลยนะครับ เพราะเทศกาลสงกรานต์กำลังจ่อคิวรออยู่ ใครที่เกิดเป็นคนไทย และมีอาชีพที่รับเงินเดือนแลกกับการทำงาน ถือว่ามีความโชคดีกันถ้วนหน้าโดย “อัตโนมัติ” เพราะมีผู้บริหารประเทศที่ใจกว้างดั่งมหาสมุทร หาช่องทางแถมวันหยุดให้เปล่าๆ เสมอ ขอเพียงให้มีใครช่วยคิดหาข้ออ้างที่จะพอ “ถูไถ” ไปได้มาให้เท่านั้น เพราะเหตุผลที่เหมาะสม สมควรแก่การ “แถมวันหยุด” เช่นที่เราเห็นกันมาหลายปีแล้วนั้น มันมิได้มีอยู่เลยผมเอ่ยถึงเรื่องนี้ด้วยความรู้สึกที่เป็นกลางจริงๆ ผสมกับความรู้สึกที่เห็นแก่ประโยชน์ของชาติเป็นหลักครับ ซึ่งน่าจะพอเชื่อถือกันได้ เพราะผมไม่มีวาระซ่อนเร้นใดๆ อยู่ในใจเลย เคยทำงานมาเกือบครบทุกหมู่แล้ว เป็นทั้งลูกจ้าง นายจ้าง รวมทั้งทำงานให้กับกิจการรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าอยู่ในประเภทที่ได้เปรียบเสมอ คือใครจะได้วันหยุด ได้สวัสดิการ เงินตอบแทนในรูปแบบใด (อาจจะยกเว้นบำนาญ) จะต้องได้ร่วมกับเขาด้วยเสมอ และยังแถมด้วยสิทธิประโยชน์ที่ผู้สังกัดหน่วยงาน อื่นๆ ไม่ได้รับอีกด้วย แน่นอนอยู่แล้วครับที่จะต้องมีทั้งผู้ที่ชอบและไม่ชอบ การแถมวันหยุดพร่ำเพรื่อ หรือกล่าวให้ตรงจุดก็คือ ย่อมมีทั้งผู้ได้และผู้สูญเสีย ลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างแบบเหมาจ่ายเป็นรายเดือน หรือข้าราชการ ย่อมปลาบปลื้ม นักเรียนนักศึกษาส่วนใหญ่ ก็เช่นเดียวกัน ยังมีกลุ่มอื่นๆ อีก แต่ผมขอละเว้นไว้เพื่อไม่ให้เปลืองเนื้อที่ ส่วนฝ่ายผู้สูญเสียก็คือ เจ้าของโรงงานผลิต เจ้าของธุรกิจขนาดกลางถึงขนาดย่อม ส่วนรายใหญ่ที่รวยหนักนั้นไม่ต้องเอ่ยถึงครับ เพราะไม่ได้มีผลกระทบอะไรนัก ที่เอ่ยมาทั้งหมดนี้ผมไม่ได้ต่อต้าน หรือหาเรื่องจับผิดใครทั้งสิ้น เช่น กรณีเพิ่มวันหยุดช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ โดยประกาศเพิ่มวันอังคารที่ 30 ให้เป็นวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษนั้น ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะเป็นเทศกาลเฉลิมฉลองที่สำคัญของทุกคน และเพิ่มขึ้นมาเพียงวันเดียว ทำให้ได้วันหยุดต่อเนื่องจาก 3 เป็น 5 วัน เหมาะสมแล้วครับ แต่ถ้าเป็นโอกาสอื่น (อาจจะต้องยกเว้นเทศกาลสงกรานต์) ไม่ต้องพิจารณาเลยครับ เพราะหาเหตุผลที่ดีมารองรับไม่ได้ มันกลายเป็นความเคยตัวที่มาจากความขี้เกียจเป็นพื้นฐาน คนไทยยุคนี้จึงคอยดูปฏิทินกันล่วงหน้า ว่ามีช่วงวันหยุดพิเศษในเดือนไหนบ้าง ที่มีวันทำงานอยู่ตรงกลางไม่กี่วัน รู้จักกันในนาม ”ฟันหลอ” ก็จะหวังและหาวิธีส่งสัญญาณเรียกร้องถึงรัฐบาล เลิกวิธีตามใจแบบไร้เหตุผลได้แล้วครับ และถ้าไม่เข้าข่ายที่จะหวังได้ ก็จะเปลี่ยนเป็นการลาหยุดเองอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด ไม่ต้องคำนึงถึงความเสียหาย หรือความเดือดร้อนของนายจ้างใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งก็คือการลาแทรกตรงกลาง เช่น วันจันทร์ และอังคารเป็นวันหยุด ซึ่งรวมกับเสาร์และอาทิตย์ได้ 4 วันก็เพียงพอแล้ว แต่กลับลาหยุดวันพุธถึงศุกร์แทรกเพิ่มเข้าไปอีก ด้วยความรู้สึกว่าเป็นความคิดอันชาญฉลาด (ที่จริงพวกหมา ลิง และนกบางพันธุ์มันก็คิดได้) โดยไม่นึกถึงความเดือดร้อน หรือความสูญเสียของนายจ้างแต่อย่างใดทั้งสิ้น ประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหลาย เขามีกฎง่ายๆ เอาไว้ป้องกันลูกจ้างเห็นแก่ตัวเหล่านี้ครับ ถ้าลาแทรกกลางจนทำให้กลายเป็นวันหยุดต่อเนื่องกัน เขาจะนับรวมให้วันหยุดหัวและท้ายเป็นวันลาของผู้นั้นทั้งหมด เช่น จากตัวอย่างที่ผมยกมาข้างบนนี้ ใครฉวยโอกาสลาแทรกวันพุธถึงวันศุกร์ โดยไม่ใส่ใจว่าการหยุดทำงาน 9 วันอย่างต่อเนื่องของตนนั้น มันจะทำให้เกิดความสูญเสียของฝ่ายนายจ้างเพียงใด ก็จะถูกนับวันที่หยุดงานทั้ง 9 วัน เป็นวันลาของผู้นั้น ถ้ามีเหลืออยู่แค่ 7 วันในปีนั้น ส่วนต่างอีก 2 วันก็จะถูกนับเป็นวันที่ขาดงานของผู้นั้นไป แต่ถ้าลาเพิ่มเติมเฉพาะช่วงก่อน หรือหลังวันหยุดที่เป็นทางการอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่เป็นไร ไม่ถือว่าเอาเปรียบนายจ้างครับ กลับมาเข้าเรื่องเทคนิคกันต่อครับ สมัยที่ผมยังอยู่ในช่วงวัยรุ่น ซึ่งก็คือประมาณ 50 กว่าปีก่อน ภาพรถที่จอดเสียอยู่ข้างทางนั้น ถือกันว่าเป็นเรื่องปกติอย่างมาก มันเป็นเสมือนเหตุการณ์ที่ทุกคนที่ใช้รถใช้ถนนต้องประสบ ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ เท่าที่พอจำสาเหตุได้ก็ประมาณนี้ครับ น้ำมันหมด เพราะสมัยนั้นมาตรวัดยังไม่ค่อยมีความเที่ยงตรงพอ หรือน้ำหล่อเย็นเดือดเพราะลืมเติม ยุคนั้นยังไม่มีฝาหม้อน้ำแบบควบคุมความดัน น้ำจึงเดือดและระเหยได้ง่าย หรือท่อน้ำชำรุดฉีกขาด และน้ำเดือดเพราะเหลือปริมาณน้ำในเครื่องยนต์น้อยเกินไป หรือสายพานขาดกลางทาง เพราะยุคนั้นคุณภาพและอายุใช้งานของสายพานยังต่ำมาก ผสมกับวิธีบำรุงรักษารถกันแบบไม่มีแบบแผนตายตัว คือเป็นประเภทเสียเมื่อไรจึงจะซ่อม ไม่มีการนำรถเข้าตรวจสภาพตามกำหนดของผู้ผลิต สิ่งเหล่านี้กลายเป็นอดีตไปหมดแล้ว จากการพัฒนาชิ้นส่วนจนมีอายุใช้งานสูงกว่ายุคนั้นมาก บางอย่างเพิ่มขึ้นถึงกว่า 10 เท่า จำนวนรถที่เกิดปัญหากลางทางระดับที่ขับต่อไม่ได้ ก็เลยลดลงอย่างมากมาย แต่ไม่ได้หมายความว่าหมดปัญหาเหล่านี้ไปแล้ว ยังไม่ถึงขนาดนั้นครับ ท่อน้ำ หรือสายพานที่ถูกใช้งานแบบ ”ลากยาว” จนเกินอายุใช้งานที่ผู้ผลิตเขากำหนดไว้ไปมากมาย ก็ยังทำให้เราเดือดร้อนได้ไม่ต่างจากยุคก่อน ที่จริงแล้วอาจจะหนักหนากว่าเสียด้วย จากปริมาณรถอันมากมายบนถนน โดยเฉพาะในช่วงเช้าและเย็น ไม่มีคำว่าปราณีกันแล้วนะครับ ความเห็นใจของผู้ร่วมใช้ถนนเหมือนอย่างสมัยก่อนนั้น มันอันตรธานไปนานแล้ว นอกจากจะไม่ได้รับความเห็นใจ หรือการให้อภัยใดๆ แล้ว ยังอาจจะโดนก่นด่าเสียอีกด้วย สายพานที่ใช้กันในรถยนต์ของพวกเรา มีอยู่ 3 แบบครับ แบบแรก สายพานทรงตัววี หรือ V-BELTS ที่เราใช้กันมาราวๆ ร้อยปีจนคุ้นเคยกันดี แบบที่ 2 คือ สายพานทรงแบน ที่หลักการทำงานของมันเทียบเท่าการย่อส่วนสายพานทรงตัววีให้เล็กลงมาก แล้วเพิ่มจำนวนให้มันช่วยกันทำงาน ชื่อในภาษาอังกฤษมีหลายชื่อด้วยกันครับ เช่น MULTI-RIB BELTS, MULTIPLE V-RIBBED BELTS, POLY V-BELTS, POLY-V SERPENTINE BELTS ความแบนของมันช่วยให้เนื้อยางถูกอัด และถูกยืดตอนงอตัวน้อยกว่าสายพานทรงตัววี อายุใช้งานจึงสูงกว่าพอสมควร อย่างหยาบๆ โดยประะมาณก็ไม่ต่ำกว่า 2 เท่า ส่วนแบบที่ 3 คือ สายพานที่ใช้ขับเพลาลูกเบี้ยว ช่างไทยชอบเรียกแบบทับศัพท์เพราะสั้นกว่า ว่าสายพานไทมิง หรือ TIMING BELTS เป็นสายพานทรงแบน แต่มีฟันที่ ”ท้อง” ป้องกันการลื่นไถล เพราะต้องใช้ความแม่นยำสูง และคงตำแหน่งเดิมตลอดเวลาในการควบคุมการทำงานของวาล์วทั้งไอดี และไอเสีย สายพานทรงตัววี มีระดับความทนทานหลายระดับด้วยกันตามจุดประสงค์ของลูกค้า แต่แบบที่ถูกใช้งานในรถของพวกเรานั้น จัดอยู่ในประเภทที่รับภาระหนักได้ คือ ทนการถูกดัดงอที่ความถี่สูงได้ดี ทนความร้อนสูงได้ เอกลักษณ์ของสายพานแบบนี้ที่คุณภาพสูง คือ แถบข้างทั้ง 2 ข้างต้องเป็นเนื้อยางเปลือย มองเห็นเส้นใยของโครงสร้าง อยู่ใกล้หลังสายพาน ถ้าแถบข้างทั้ง 2 ด้านมีแผ่นผ้าปิดอยู่ แสดงว่าเจอของปลอมเข้าแล้ว รีบเปลี่ยนใหม่ทันทีก่อนที่มันจะขาดกลางทางให้เราเดือดร้อน ไม่รอดแน่นอนครับ เพราะอายุใช้งานของมันสั้นมาก อายุใช้งานของสายพานทรงวียุคนี้สูงขึ้นกว่าสมัยก่อนมาก ผู้อ่านที่ค่อนข้างสูงวัย และชินกับอายุใช้งานของสายพานยุคก่อน ที่เป็นหลักพัน หรือแค่หนึ่งหมื่นกิโลเมตรเศษ ควรทำความคุ้นเคยใหม่นะครับ ถ้าเป็นสายพานคุณภาพสูง อย่างน้อยที่สุดต้องใช้ได้ 4-5 หมื่นกิโลเมตรขึ้นไปครับ และจะไม่มีอาการหย่อนจากความสึกหรอให้เห็นด้วย ถ้าตั้งความตึงให้ถูกต้องตั้งแต่แรก มันจะ ”อยู่ยาว” ครับ โดยเฉพาะรุ่นคุณภาพสูงของบแรนด์ระดับโลก ทั้งจากประเทศสหรัฐอเมริกา เยอรมนี และญี่ปุ่น ถ้าจะซื้อเองผมแนะนำให้เจาะจงชนิดที่ใช้เนื้อยาง EPDM ซึ่งเป็นตัวย่อของ ETHYLENE PROPYLENE DIENE MONOMER เป็นยางสังเคราะห์ที่ทนทานต่อสภาวะใช้งานอันหนักหน่วงโหดร้าย โดยเฉพาะที่อุณหภูมิสูง หรือเรียกแบบง่ายๆ ว่า ร้อนจัด อย่างในห้องเครื่องของรถของพวกเรา ในยามบ่ายที่การจราจรติดขัดนี่แหละครับ สายพานเนื้อ EPDM จะไม่ออกอาการแตกร้าวให้เห็นนะครับ เพราะฉะนั้นเราต้องรู้กำหนดเวลา และเลขระยะทางที่เริ่มใช้มัน จะดูแต่สภาพทางกายภาพของมันแล้วเอามาตัดสินไม่ได้เลย เพราะถึงจะเก่ามาก มันก็ยังดูดีอยู่พอสมควร ปัญหา คือ เขาไม่ได้พิมพ์บอกไว้ที่ตัวสายพาน หรือฉลาก ว่าทำมาจากเนื้อยางแบบไหน ถ้าเราถามคนขายว่าเป็นรุ่นที่ทำจาก EPDM หรือเปล่า คงเดากันได้เองนะครับ ว่าจะได้คำตอบว่าอะไร นี่คือเหตุผลที่ผมมักแนะนำให้ใช้อะไหล่แท้จริงๆ ของศูนย์บริการอย่างเป็นทางการของบแรนด์ที่เราใช้ โดยเฉพาะรถคุณภาพสูง (และราคาสูง) ทั้งหลาย ไม่ต้องสอบถามให้เหนื่อย และเสียเวลา รับรองว่าสายพานที่มีชื่อบแรนด์ของรถอยู่บนตัวมันเลยนั้น จะต้องมีเนื้อที่เป็น EPDM อย่างแน่นอนครับ สายพานทรงตัววีค่อยๆ หมดความนิยม และห่างหายไปจากสายตาของพวกเรา โดยมีสายพานทรงแบนมาแทนที่ เพราะความได้เปรียบด้านอายุใช้งาน ถ้าเราดูอายุใช้งานอย่างเป็นทางการ ที่กำหนดโดยผู้ผลิตสายพาน และผู้ผลิตรถ จะเป็นระยะทางที่ใช้งานได้ประมาณ 120,000 ถึงกว่า 200,000 กม. เหตุที่ดูเหมือนมันทนทานอย่างไม่น่าเชื่อนี้ มาจากอุณหภูมิขณะสายพานทำงานครับ ค่านี้ได้มาจากการทดสอบสายพานในประเทศที่อากาศค่อนข้างเย็น และอายุใช้งานของเนื้อสายพานก็ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิโดยตรงเสียด้วย คือ ยิ่งเย็นยิ่งทน หรือยิ่งร้อนยิ่งอายุสั้น ผู้ผลิตย่อมอยากให้ตัวเลขนี้ดูดี จึงมักบอกอายุใช้งานที่เนื้อสายพานไม่ร้อนนัก เช่น 65-70 องศา เซลเซียส (ถ้าเอาความรู้สึกของมนุษย์ ร้อนขนาดนี้มือคนปกติอย่างพวกเราทนสัมผัสมันไม่ไหวแล้วนะครับ แต่ช่างซ่อมรถอาจจะบอกว่ายังสบาย) จากการทดสอบโดยโรงงานผลิตสายพานชั้นดี เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิของสายพาน กับอายุใช้งาน ได้ผล ออกมาว่า ถ้าให้อายุใช้งานที่ 65 องศาเซลเซียส เทียบเท่า 100 % เช่น 240,000 กม. พอเพิ่มอุณหภูมิมาอยู่ที่ 100 องศาเซลเซียส ซึ่งก็คือ ร้อนเท่าน้ำเดือดที่เราคุ้นเคยกันดี อายุใช้งานจะลดลงเหลือเพียง 25 % หรือ 1 ใน 4 เท่านั้น (หรือ 60,000 กม. ในตัวอย่าง) และค่านี้ก็ต่างจากความร้อนของสายพานในรถของพวกเราไม่มากเลย เช่น อาจจะร้อนถึงกว่า 80 องศาเซลเซียส ตอนรถติดในยามบ่ายที่แดดจัด อายุใช้งานก็อาจจะลดลงมาเหลือราวๆ 90,000 กม. หรือเกินกว่านี้ไปอีกหน่อย ถ้าไม่รู้ว่าคุณภาพของสายพานของรถเรามันสูงแค่ไหน ความตึงเหมาะสมหรือไม่ และยังมีฝุ่นหยาบ หรือทราย (ซึ่งเป็นตัวการบั่นทอนอายุใช้งาน) เสริมเข้าไปอีก กับการคำนึงถึงราคาของสายพาน ที่ไม่แพงเลยเมื่อเปรียบเทียบกับค่าเชื้อเพลิงที่พวกเราต้องจ่ายกันเป็นประจำ ผมว่าใช้มันแค่ 50,000 กม. แล้วเปลี่ยนใหม่โดยไม่ต้องตรวจดูสภาพของมัน ก็คุ้มแล้ว และยังได้ความอุ่นใจว่าจะไม่ไป ”เดี้ยง” กลางทาง แถมมาอีกด้วยครับ
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2563
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/309607