รู้ลึกเรื่องรถ
รถแดดเดียว กินไม่ได้ แต่ใช้ดี
ช่วงหลังมานี่ เราแทบจะไม่ได้เห็นพัฒนาการของเครื่องยนต์สันดาปภายในกันอีกแล้ว เพราะเกือบทุกสำนักมองตรงกันว่า อนาคต คือ โลกของพลังงานไฟฟ้า อย่างไรก็ตามเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงนี้ จะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งในเชิงกายภาพ และความเป็นอยู่ของผู้คนในหลายด้าน สิ่งที่ยังชะลอการมาถึงของรถไฟฟ้าจึงมีอยู่หลายมิติตัวอย่างที่ชัดเจน คือ แม้การเปลี่ยนมาใช้พลังงานไฟฟ้าขับเคลื่อนยานพาหนะจะช่วยลดมลภาวะทางอากาศและเสียง แต่ก็มีคนแย้งว่า พลังงานไฟฟ้าส่วนหนึ่งได้มาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง เราสามารถจำแนกโรงงานผลิตไฟฟ้าได้ 4 แบบ 1. โรงไฟฟ้าชีวมวล เป็นการนำสารอินทรีย์ที่เหลือใช้ในการเกษตร เช่น ชานอ้อย แกลบ กากปาล์ม หรือเศษไม้ มาใช้ผลิตไฟฟ้า ข้อดี คือ ผลิตกระแสไฟได้อย่างต่อเนื่อง และได้ประโยชน์จากของเหลือใช้ แต่ข้อเสีย คือ ลงทุนสูง และสารอินทรีย์ที่ใช้เป็นวัตถุดิบมีโอกาสขาดแคลน 2. โรงไฟฟ้าจากขยะ เป็นการนำขยะมาแปรรูปเพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้า ขยะสามารถรับมาจากทั้งภาคครัวเรือน และอุตสาหกรรม ข้อดี คือ ช่วยลดปริมาณขยะที่จะต้องนำไปฝังกลบ แต่ข้อจำกัด คือ ต้องลงทุนสูง 3. โรงไฟฟ้าถ่านหิน เป็นการนำถ่านหินมาผลิตไฟฟ้า ปัจจุบันเทคโนโลยีถ่านหินได้พัฒนาจนมีความสะอาดมากขึ้น ข้อดี คือ เงินลงทุนต่ำแต่ได้กระแสไฟฟ้าจำนวนมาก กระแสไฟฟ้ามีความสม่ำเสมอ และมีเสถียรภาพ ส่วนข้อเสีย คือ โรงไฟฟ้าถ่านหินที่ไม่ทันสมัย สามารถก่อให้เกิดมลพิษ 4. โรงไฟฟ้าจากแกสธรรมชาติ เป็นพลัง งานที่ต้นทุนไม่สูงมากนัก และการเผาไหม้มีความสะอาดมากกว่าการใช้ถ่านหิน ข้อจำกัด คือ แกสไม่มีสี กลิ่น และจุดติดไฟได้ง่าย จำเป็นต้องมีกระบวนการขนส่ง และจัดเก็บแกสธรรมชาติที่ปลอดภัย จะเห็นได้ว่า หากทำอย่างถูกต้อง มลภาวะทางอากาศ และการปล่อยแกสคาร์บอนได ออกไซด์ที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงเพื่อนำมาเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าสามารถควบคุมได้ง่ายกว่า การเผาไหม้ “น้ำมัน” ในรถยนต์อย่างแน่นอน และจะยิ่งมีมลภาวะต่ำลงไปอีก ถ้าเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานธรรมชาติอย่าง น้ำ ลม หรือแสงอาทิตย์ โรงไฟฟ้าทั้ง 3 แบบ มีข้อดี ข้อเสียแตกต่างกันไป โรงไฟฟ้าพลังน้ำจะส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมเป็นอย่างมาก เพราะจะต้องสร้างเขื่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก และส่งผลต่อระบบนิเวศเป็นอย่างมาก ส่วนพลังลม ก็มีข้อจำกัดด้านสถานที่ และยังมีความไม่สม่ำเสมอในกำลังการผลิต ขณะที่พลังงานแสงอาทิตย์มาแรงเป็นอันดับต้นๆ ในยุคนี้ เพราะสะอาด และไม่มีต้นทุนพลังงาน จึงมีการลงทุนในธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์มากขึ้นทุกปี แต่ข้อจำกัดของมัน คือ ใช้พื้นที่มากและต้องลงทุนสูงกับแผงโซลาร์เซลล์ อีกทั้งยังมีข้อจำกัดด้านเวลา เนื่องจากจะผลิตไฟฟ้าได้เต็มที่เพียง 4-5 ชั่วโมง/วันเท่านั้น ยังมีโรงไฟฟ้าอีกประเภท คือ โรงไฟฟ้าพลังความร้อนใต้พิภพ ซึ่งใช้ความร้อนจาก น้ำพุร้อน หรือ “แมกมา” (MAGMA) จากแกนโลก มาต้มน้ำให้เป็นไอน้ำ เพื่อนำไปปั่นเป็นกระแสไฟฟ้า เป็นอีกหนึ่งรูปแบบที่ให้พลังงานสะอาด แต่มีข้อจำกัดเรื่องทำเลที่ตั้ง เนื่องจากต้องตั้งอยู่เฉพาะพื้นที่ที่มีสภาพเอื้ออำนวยเท่านั้น สำหรับพลังงานนิวเคลียร์ แม้จะมีประสิทธิภาพสูงและมีต้นทุนพลังงานที่ต่ำมาก แต่ก็เปราะบางและอ่อนไหวต่อความผิดพลาด ซึ่งจะก่อความเสียหายในวงกว้าง เช่นที่ เชอร์โนบิล ในสหภาพโซเวียต (ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่ของประเทศยูเครน) และฟุกุชิมะ ในประเทศญี่ปุ่น แม้กำลังการผลิตไฟฟ้าจะมีส่วนจำกัดการเติบโตของรถไฟฟ้า แต่ก็มี “เอกชนผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก” (และรายเล็กมาก) เกิดอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ผลิตไฟฟ้าเหล่านี้ มีทั้งขายไฟฟ้าให้กับ EGAT (การไฟฟ้าฝ่ายผลิต) และขายตรงให้ลูกค้าอุตสาหกรรมในพื้นที่ใกล้เคียง กลุ่มผู้ผลิตรายเล็กมากมักจะมีกำลังผลิตต่ำกว่า 10 เมกะวัตต์ (MW) ส่วนใหญ่จะเป็นการผลิตไฟฟ้าจากวัสดุเหลือใช้ในโรงงานแปรรูปการเกษตร และขายให้ MEA (กฟน. หรือ การไฟฟ้านครหลวง) และ PEA (กฟภ. หรือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) ข้อจำกัดอันดับต่อไป ได้แก่ พฤติกรรมการใช้รถยนต์ที่ต้องปรับเปลี่ยน จากเดิมที่เราจะขับรถไปเรื่อยๆ จนน้ำมันใกล้หมด จึงจะเข้าปั๊ม แต่สำหรับผู้ใช้รถไฟฟ้า วิธีคิดและรูปแบบการใช้ชีวิตจะแตกต่างออกไป เพราะต้องกำหนดตารางเวลาชีวิตสำหรับภารกิจชาร์จไฟที่แน่นอน เช่น ชาร์จทุกวันเมื่อกลับถึงบ้าน เรื่องนี้คงจะไม่สร้างปัญหาอะไรหากคุณอยู่อาศัยในบ้านเดี่ยว แต่ถ้าคุณพักในอาคารชุดร่วมกันกับผู้อื่น เช่น ที่มีการใช้ที่จอดรถหมุนเวียนกัน รับรองว่าเป็นเรื่องแน่นอน นอกจากอาคารชุดนั้นจะตระเตรียมจุด หรือสถานีสำหรับชาร์จไฟไว้ทั่วทุกช่องจอด ซึ่งอาจจะเป็นไปได้สำหรับอาคารในยุคต่อไป แต่อาคารที่สร้างไปแล้ว การติดตั้งจุดจ่ายไฟเพิ่มทุกช่องจอดเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาคารที่พักระดับหรูที่ใช้ “ลิฟท์จอดรถ” ซึ่งสามารถส่งรถไปจอดในหลุมจอดได้โดยอัตโนมัติ แม้จะดูไฮเทค แต่ไม่เข้ากับยุครถพลังไฟฟ้าที่ต้องเสียบปลั๊กเลย แต่ขณะนี้อาคารที่พักอาศัยรุ่นใหม่ๆ ตื่นตัวติดตั้งจุดจ่ายไฟให้แก่บรรดาเจ้าของร่วม และผู้พักอาศัยกันมากขึ้น เช่น คอนโดที่ผู้เขียนพักอยู่เริ่มติดตั้งตู้ไฟสำหรับระบบรถไฟฟ้าให้เจ้าของร่วม ที่ใช้รถประเภท พลัก-อิน ไฮบริด และโชคดีว่า หลุมจอดของรถแต่คันนั้นลอคตำแหน่งตามกรรมสิทธิ์ของเจ้าของร่วม จึงไม่มีปัญหาแย่งจุดชาร์จไฟกัน แต่ข้อจำกัด คือ ไม่สามารถติดตั้งระบบชาร์จด่วนได้เหมือนกับบ้านเดี่ยว เลยได้แค่เพียง 230 โวลท์ ทำให้ใช้เวลาชาร์จนานมาก เราจะเห็นได้ว่า การผลิตพลังงาน และการเข้าถึงแหล่งพลังงานในที่สาธารณะ คือ สิ่งที่สังคมยังไม่พร้อมสำหรับกลับเข้าสู่ยุคของรถไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ แต่ปัจจุบันมีแนวความคิดใหม่เกิดขึ้นในยุโรป ซึ่งได้แก่ รถยนต์พลังไฟฟ้าที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้เอง โดยไม่ก่อให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์ หรือเรียกว่า CARBON NEUTRAL โดยผลิตกระแสไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ที่ติดตั้งบนตัวรถ
![67220100_965353120478046_1465710477987282944_o](https://www.autoinfo.co.th/uploads/2019/12/67220100_965353120478046_1465710477987282944_o-1024x682.jpg)
![Sono-Motors-Sion-1050410](https://www.autoinfo.co.th/uploads/2019/12/Sono-Motors-Sion-1050410-1024x682.jpg)
![2d8a6a0c5fd13c2b66e0988c0398c673](https://www.autoinfo.co.th/uploads/2019/12/2d8a6a0c5fd13c2b66e0988c0398c673-1024x682.jpg)
ABOUT THE AUTHOR
ภ
ภัทรกิติ์ โกมลกิติ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2563
คอลัมน์ Online : รู้ลึกเรื่องรถ