รู้ลึกเรื่องรถ
NURBURGRING NORDSCHLEIFE ตำนานนรกสีเขียว !
โลกของการขับรถนั้น มีถนนมากมายหลายสายที่เหล่านักขับใฝ่ฝันอยากไปขับสักครั้ง ไม่ว่าจะเป็นถนนที่มีทิวทัศน์สวยงาม อย่าง THE GREAT OCEAN ROAD (เธอะ กเรท โอเชียน โรด) ที่วิ่งเลียบมหาสมุทร ในรัฐวิคตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย เส้นทาง SUSTEN PASS (ซัสเตน พาสส์) ที่ลัดเลาะผ่านภูเขาสูงในประเทศสวิทเซอร์แลนด์ หรือทางหลวงสาย A93 ในประเทศสกอทแลนด์ ที่มีวิวธรรมชาติกว้างใหญ่ ส่วนถ้าใฝ่ฝันอยากจะลองกดมิดไมล์ก็ต้องทางหลวง AUTOBAHN (เอาโทบาห์น) อันลือลั่นของเยอรมนี
แต่ถ้าชอบเส้นทางสุดโหดท้าทายทักษะการควบคุมรถความเร็วสูง ขอแนะนำ “นรกสีเขียว” (GREEN HELL ในภาษาอังกฤษ หรือ GRUNE HOLLE ในภาษาเยอรมัน) หรือชื่ออย่างเป็นทางการ คือ NURBURGRING (นือร์บวร์กริง) ในเยอรมนี ที่ได้ชื่อมาจาก NURBURG CASTLE (ปราสาทนือร์บวร์ก) ที่สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 อยู่ในพื้นที่สนามแข่งด้านทิศเหนือ
คำว่า NURBURGRING จริงๆ แล้วมีความหมายครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่มาก มันตั้งอยู่บริเวณพื้นที่เทือกเขาที่มีชื่อ EIFEL ทางตะวันตกของประเทศเยอรมนี ใกล้กับพรมแดนระหว่างเยอรมนี-เบลเยียม-ลักเซมเบิร์ก จุดกำเนิดของสนามแข่งรถแห่งนี้เริ่มขึ้นในปี 1925 หรือหลังสงครามโลก ครั้งที่ 1 ไม่นานนัก ตามโครงการสร้างงานให้คนตกงาน โดยมีจุดขาย คือ เป็นสนามแข่ง และสนามทดสอบบนภูเขาแห่งแรก การก่อสร้างใช้เวลา 2 ปี และเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 1927 โดยในยุคแรกเริ่มสนามมีความยาวถึง 28.265 กิโลเมตร แบ่งเส้นทางเป็น 4 รูปแบบ ได้แก่
รูปแบบแรก เป็นจุดที่มีชื่อเสียงที่สุด นั่นคือ เส้นทางวงรอบด้านเหนือ (NORTH LOOP) ที่รู้จักกันในชื่อ NORDSCHLEIFE (โนร์ดชไลเฟอ) เป็นเส้นทางวนรอบภูเขาที่มีความยาวถึง 22.835 กิโลเมตร ซึ่งเป็นจุดที่มันได้รับฉายาว่า “นรกสีเขียว”
รูปแบบที่ 2 คือ สนามวงรอบฝั่งใต้ (SOUTH LOOP) รู้จักกันในชื่อ SUDSCHLEIFE (ซุดชไลเฟอ) ความยาว 7.747 กิโลเมตร ปิดตัวไปในปี 1982
รูปแบบที่ 3 คือ ส่วนที่เชื่อมต่อระหว่างสนามวงรอบฝั่งเหนือกับฝั่งใต้ อันที่ใช้เป็นจุดเริ่มสตาร์ท และเส้นชัยของการแข่งขัน รวมถึงเป็นส่วนของพิท สนามเป็นเส้นทางตรง วิ่งวนสวนทางกัน โดยด้านปลายสนามทั้งสอง มีโค้งแฮร์พิน ความยาวโดยรวมของส่วนนี้ 2.281 กิโลเมตร สนามส่วนนี้มีชื่อว่า สนามเส้นชัย (FINISH LOOP) หรือ ZIELSCHLEIFE (ซีลชไลเฟอ) ในภาษาเยอรมัน
รูปแบบที่ 4 คือ สนามเต็มรูปแบบ นั่นคือ การเชื่อมต่อสนามฝั่งเหนือกับสนามฝั่งใต้เข้าด้วยกัน โดยจุดเชื่อมต่อ คือ สนามเส้นชัย ทำให้สนามมีความยาวรวม 28.265 กิโลเมตร
ในปัจจุบัน สนามส่วนที่เป็นเส้นตรงขนานกัน หรือ ZIELSCHLEIFE ได้ถูกรื้อ และปรับเปลี่ยนรูปแบบสนามใหม่ ให้ใช้ชื่อว่า GP-STRECKE ใช้สำหรับการแข่งขันรถสูตรหนึ่ง ปี 1984 มีความยาว 4.556 กิโลเมตร และสร้างขึ้นซ้อนทับไปกับสนามฝั่งใต้ ต่อมาในปี 2002 รูปแบบของสนามได้ถูกปรับอีกครั้ง เพื่อให้เพิ่มโอกาสในการแซง ปัจจุบันสนามนี้มีความยาว 5.148 กิโลเมตร ถูกใช้เป็นสนามแข่งในรายการสำคัญต่างๆ อาทิ การแข่งรถสูตรหนึ่งมาจนถึงปี 2020 ในชื่อรายการ EIFEL GP ตามชื่อเทือกเขาที่สนามตั้งอยู่ จากเดิมที่เคยใช้ชื่อ GERMAN GP, EUROPEAN GP และ LUXEMBOURG GP ช่วงปี 1997-1998 เนื่องจากสนามอยู่ใกล้กับพรมแดนเยอรมนี-ลักเซมเบิร์ก เพียง 80 กิโลเมตรเท่านั้น
สำหรับนักขับรถอย่างเราๆ ท่านๆ มักไม่สนใจ NURBURGRING ในพื้นที่ส่วนที่ใช้ทำการแข่งขัน แต่ให้ความสนใจกับส่วน NORDSCHLEIFE เพราะเป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้นักขับสามารถนำรถของตัวเอง ลงไปพิสูจน์สมรรถนะตัวรถ และสมรรถภาพของผู้ขับขี่ ในชื่อ TOURISTENFAHRTEN (ทูริสเตนฟาร์เทน) ด้วยค่าใช้จ่ายราว 25 ยูโร/รอบ ในวันธรรมดา และ 30 ยูโร/รอบ ในช่วงสุดสัปดาห์
ในอดีตนั้น ส่วน NORDSCHLEIFE ที่มีความยาว 22.8 กิโลเมตร เคยถูกใช้เป็นสนามแข่งขันรถสูตรหนึ่งมาก่อน โดยความโหดหินของสนาม คือ มันมีเส้นทางหักเลี้ยวมากถึง 154 โค้ง และการที่มันเป็นสนามภูเขา ทำให้จุดสูงสุด กับจุดต่ำสุดของสนามมีความต่างกันมากถึง 300 เมตร ! มันจึงเป็นสนามที่ท้าทาย และอันตรายที่สุดในตารางการแข่งขัน และความร้ายกาจส่วนหนึ่งของมัน คือ การจำลองสภาพถนนสาธารณะของเยอรมนีมาใช้เป็นสนามทดสอบรถยนต์ไปด้วยในเวลาเดียวกัน
การแข่งขันรถสูตรหนึ่งบนเส้นทาง NORDSCHLEIFE เริ่มต้นขึ้นในปี 1951 โดยนักแข่งคนแรกที่คว้าชัยชนะได้ คือ ALBERTO ASCARI (อัลเบร์โต อัสการี) สังกัดทีม FERRARI (แฟร์รารี) โดย “นรกสีเขียว” นั้นเป็นชื่อที่นักแข่งในตำนานอย่าง JACKIE STEWART (แจคคี สจวร์ท) นักแข่งชาวสกอทแลนด์ตั้งไว้ หลังจากที่เขาได้รับชัยชนะในปี 1968 ที่นอกจากจะต้องต่อกรกับฝน และหมอกที่แสนอันตราย ยังต้องเผชิญกับความเจ็บปวดทรมานจากข้อมือที่บาดเจ็บ ทำให้ทุกวินาทีที่อยู่ในสนามเหมือนกับตกนรก แต่เขาก็ยังคว้าชัยชนะเหนือคู่แข่งเป็นเวลาถึง 4.32 นาที
ชื่อเสียงด้านความน่าสะพรึงกลัวของมัน ทำให้ในปี 1976 การแข่งขันรถสูตรหนึ่งจำต้องย้ายออกจากสนามภูเขาแห่งนี้ แต่ในปี 1984 เหล่านักแข่งสูตรหนึ่งก็กลับมาเยือน NURBURGRING อีกครั้ง แต่วงรอบด้านเหนือก็ไม่ได้ถูกใช้เป็นสนามแข่งขัน เพราะรถแข่งสูตรหนึ่งต้องไปขับในสนามสร้างใหม่ หรือ GP-STRECKE
น่าเสียดายว่า ไม่มีการจัดการแข่งขันรถสูตรหนึ่งในเยอรมนีมาหลายฤดูกาลแล้ว แม้จะมีทีมใหญ่จากเยอรมนีอย่างทีม MERCEDES (เมร์เซเดส) เป็นเจ้าบ้านก็ตาม ครั้งสุดท้ายที่มันถูกจัดขึ้นที่สนาม NURBURGRING คือ ปี 2020 และว่ากันว่าส่วนหนึ่งของการที่ไม่มีการจัดการแข่งขันรถสูตรหนึ่งในเยอรมนีสักพัก เพราะนับตั้งแต่สิ้นสุดยุคของ MICHAEL SCHUMACHER (มิคาเอล ชูมาเคร์) ที่เคยดึงดูดผู้ชมนับแสนคนเข้าไปชมการแข่งขัน ก็ไม่มีนักแข่งชาวเยอรมันที่ยิ่งใหญ่ และเป็นศูนย์รวมจิตใจของแฟนคลับความเร็วชาวเยอรมันอีกเลย แม้แต่นักแข่งเยอรมันที่เก่งกาจอย่าง SEBASTINE VETTEL (เซบัสเตียน เวทเทล) ที่คว้าตำแหน่งแชมพ์โลกได้ถึง 4 สมัย ก็ยังไม่สามารถสร้างแรงบันดาลใจได้มากเท่ากับที่ MICHAEL SCHUMACHER เคยสร้างไว้ได้ เห็นได้จากแฟนคลับรถสูตรหนึ่งที่เดินทางไปดูในสนามหายไปเกินครึ่ง
อย่างไรก็ตาม ถึงจะไม่มีการแข่งระดับพรีเมียร์ อย่างรถสูตรหนึ่ง แต่สนามวงรอบเหนือ หรือ NORDSCHLEIFE ก็ยังคงถูกใช้ในการแข่งขันรายการสำคัญอย่าง 24 HOURS NURBURGRING ที่มักจัดช่วงกลางเดือนพฤษภาคมของทุกปี โดยเป็นการแข่งขันที่มีรถแข่งหลายพิกัด ตั้งแต่ระดับ 100 แรงม้า ไปจนถึง 700 แรงม้า ร่วมวิ่งไปพร้อมๆ กัน
แน่นอนว่าสำหรับเราๆ ท่านๆ คงจะสนใจในส่วนที่เปิดให้คนทั่วไปทดลองวิ่ง หรือ TOURISTENFAHRTEN เพราะทางสนามอนุญาตให้รถแทบทุกรูปแบบสามารถเข้าไปใช้บริการได้ ไม่ว่าจะเป็นรถเก๋ง รถจักรยานยนต์ ไปจนถึงรถทัวร์ รถบ้าน (MOTORHOME) หรือแม้กระทั่งรถลาก (TRAILER) โดยช่วงเวลาที่เปิดให้ใช้สนาม คือ ช่วงกลางเดือนมีนาคม ถึงกลางเดือนพฤศจิกายน และจะงดให้บริการในช่วงที่มีรายการแข่งขัน
สิ่งที่พิเศษแตกต่างไปจากสนามแข่งอื่น คือ แม้ว่ามันจะเป็นถนนที่คุณไม่ต้องกังวลว่าจะมีรถวิ่งสวนทาง หรือมีทางร่วม ทางแยก แต่มันยังมีความเป็นถนนสาธารณะที่ผู้ขับขี่ต้องเคารพกฎจราจร อาทิ ห้ามแซงขวา (ประเทศเยอรมนีขับรถชิดขวา) และสนามบางช่วงมีการจำกัดความเร็วด้วย และแน่นอนว่าอุบัติเหตุเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นการชนเข้ากับรั้วขอบสนาม หรือเครื่องพังจนต้องลากออกมา ทั้งหมดนี้ล้วนมีราคาที่ผู้ก่อความเสียหายต้องรับผิดชอบเหมือนกับถนนสาธารณะปกติ เพราะนี่คือสนามที่มีความเสี่ยงสูง ดังนั้น บริษัทรับประกันอุบัติเหตุจะไม่คุ้มครองรถของเรา และจะลดความคุ้มครองลง อย่างมากก็แค่คุ้มครองบุคคลที่ 3 เท่านั้น
ผู้ที่เป็นขาประจำของสนามวงรอบเหนือ หรือ NORDSCHLEIFE คือ เหล่าผู้ผลิตรถยนต์ รวมถึงสื่อมวลชนด้านยานยนต์ ที่มักจะใช้เวลาที่ทำได้บนวงรอบฝั่งเหนือนี้เป็นตัวอ้างอิงสมรรถนะของรถยนต์ โดยทุกปีค่ายรถยนต์กว่า 30 บแรนด์ จะลงขันกันเช่าสนามช่วงกลางวันเป็นเวลา 16-18 สัปดาห์ เรียกว่า INDUSTRY POOL เพื่อใช้ทดสอบรถยนต์ของพวกเขา
แม้สนามวงรอบเหนือ หรือ NORDSCHLEIFE จะได้รับการยอมรับในฐานะสนามสำหรับอ้างอิงสมรรถนะของรถ แต่นักทดสอบที่มีชื่อเสียงบางคนชี้ว่า มันไม่ได้สะท้อนภาพของรถยนต์ที่น่าใช้ในชีวิตประจำวัน เพราะรถที่ทำเวลาในสนามนี้ได้ดี มักจะมีช่วงล่างที่แข็งกระด้าง ขาดสุนทรียภาพการขับขี่ในชีวิตจริงไป มิหนำซ้ำรถทดสอบหลายๆ คันยังปรับแต่งช่วงล่างแตกต่างจากมาตรฐาน หรือถอดเบาะนั่งออกเพื่อลดน้ำหนัก แต่ยังเอาสถิติที่ได้มาเคลมตัวเลขว่าเป็นของพโรดัคชันคาร์
รูปแบบการขับของสนามวงรอบเหนือ หรือ NORDSCHLEIFE นี้วิ่งแบบตามเข็มนาฬิกา (CLOCKWISE) และเต็มไปด้วยพื้นที่ที่ลดระดับลงอย่างรวดเร็วหลายจุด ซึ่งจะทำให้รถของคุณลอยล้อไม่ติดพื้น โดยในตัวสนามเองที่มีโค้งนับร้อย แต่โค้งที่มีชื่อเสียงที่สุดเป็น โค้งชื่อ CARACCIOLA-KARUSSELL (คาแรคซีโอลา-คาร์อูสเซลล์) ตามชื่อของ RUDOLF CARACCIOLA (รูโดล์ฟ คาแรคซีโอลา) นักแข่งชาวเยอรมันในตำนาน หรือที่คนมักเรียกสั้นๆ ว่า CAROUSEL ตามรูปแบบของโค้งที่เป็นโค้งซ้าย 180 องศา ที่มีมุมมองจำกัด โดยด้านซ้ายล่างของโค้ง พื้นถนนเป็นคอนกรีท และด้านขวาเป็นถนนลาดยางที่เอียงขึ้นรับในโค้งด้านนอกที่เรียกว่า “BERM STYLE BANKING” และวิ่งวนเกือบเป็นวงกลม สมกับชื่อ CAROUSEL ที่แปลว่า “ม้าหมุน”
แม้มันจะไม่ได้เป็นโค้งที่ใช้ความเร็วสูงมากมาย แต่ชื่อเสียงของมันมาจากการที่ในยุคทศวรรษที่ 30 RUDOLF CARACCIOLA พิชิตโค้งนี้ด้วยเทคนิคที่แฟนการ์ตูนรถซิ่ง INITIAL D ต้องร้อง เฮ้ย ! เพราะเขาใช้ล้อแถบซ้ายรถแข่งของเขาวิ่งลงไปในร่องระบายน้ำด้านซ้ายของถนนเพื่อสร้างแรงเกาะ (มันมีคนใช้เทคนิคนี้จริงๆ ด้วยหรือนี่) เทคนิคการเข้าโค้งแบบนี้ คือ เลี้ยวเข้าโค้งลงมาจากด้านบนขวาเข้าไปหาโค้งด้านล่าง การเล่นกับมุมถนนที่ลาดเอียงเพื่อการเอาตัวรอดจากโค้งนี้ คุณจะต้องเจอกับแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลาง ที่จะเหวี่ยงคุณให้พุ่งทะยานออกจากโค้งไปราวกับลูกธนู
นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายโค้งที่ท้าทาย แต่คงไม่มีโค้งไหนที่มีเอกลักษณ์เท่ากับโค้งนี้แน่นอน และด้วยความพิเศษนี้ เชื่อว่าคนบ้ารถไม่ว่าคนไหนหากมีโอกาสก็น่าจะแวะไปเยี่ยมเยือนสนามแข่งที่เป็นตำนาน อายุเกือบ 100 ปีนี้สักครั้ง คุณอาจจะไม่ต้องขับเองก็ได้ เพราะสนามเขามีบริการ RING TAXI ที่คุณจะได้นั่งไปกับนักขับมืออาชีพที่มีความชำนาญสูงในสนามแห่งนี้ โดยรถที่ให้บริการมีทั้งแบบย่อมเยา HYUNDAI I30N (ฮันเด ไอ 30 เอน) ในราคา 119 ยูโร/รอบ ไปจนถึงระดับพรีเมียร์ลีก อาทิ BMW M5 CS (บีเอมดับเบิลยู เอม 5 ซีเอส), PORSCHE 911 GT3 RS (โพร์เช 911 จีที 3 อาร์เอส) ไปจนกระทั่ง MERCEDES-AMG BLACK SERIES (เมร์เซเดส-เอเอมจี บแลค ซีรีส์) ที่ราคาราว 500 ยูโร/รอบ
ว่าแล้วก็เก็บเงินหาเวลาไปเยือน “นรกสีเขียว” กันดีไหมครับ ?!