ธุรกิจ
ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์
Toyota เผยสถิติยอดขายเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้น 5.4 %
ตลาดรถยนต์เดือนสิงหาคม ยอดขายรวม 47,622 คัน เพิ่มขึ้น 5.4 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์นั่งมีปริมาณการขาย 18,168 คัน ลดลง 0.7 % ในขณะที่รถยนต์เพื่อการพาณิชย์มีปริมาณการขาย 29,454 คัน เพิ่มขึ้น 12.3 % และรถกระบะขนาด 1 ตัน ยอดขายทั้งหมด 14,599 คัน ลดลง 2.5 % Toyota (โตโยตา) ยังครองแชมพ์ยอดขายอันดับ 1 ด้วยส่วนแบ่งตลาด 8 เดือนแรกที่ 37.3 %
ศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เผยว่า ตลาดรถยนต์เดือนสิงหาคม 2568 มียอดขาย 47,622 คัน เพิ่มขึ้น 5.4 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว กลุ่มตลาดรถยนต์นั่ง ยอดขาย 18,168 คัน ลดลง 0.7 % จากปีที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ ปรับตัวดีขึ้น ด้วยยอดขาย 29,454 คัน เพิ่มขึ้น 12.3 % และตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน ยอดขาย 14,599 คัน ลดลง 2.5 % รถยนต์ในกลุ่ม HEV มียอดขาย 11,230 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 26 % และมียอดขายสะสม 8 เดือนแรกถึง 89,598 คัน คิดเป็นส่วนแบ่ง 50.6 % ของตลาด XEV ทั้งหมด
Toyota ยังครองแชมพ์
สำหรับ Toyota ยังคงครองอันดับ 1 ตลาดรถยนต์ ด้วยยอดขายสะสม 8 เดือนแรกถึง 149,328 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดที่ 37.3 % นำโดย Yaris Ativ (ยารีส เอทีฟ) 35,017 คัน และ Hilux Revo (ไฮลักซ์ รีโว) 25,182 คัน สำหรับผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ ที่ได้มีการแนะนำ ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า โดย New Yaris Ativ HEV (ยารีส เอทีฟ เอชอีวี) น้องใหม่ล่าสุดสายไฮบริด ทำยอดจองสะสมหลังจากการเปิดตัวในช่วงปลายเดือนสิงหาคม จนถึงวันที่ 24 กันยายนที่ผ่านมา มากกว่า 3,700 คัน ในขณะที่รถยนต์ไฟฟ้า BEV อเนกประสงค์ รุ่น New BZ4X (บีเซด 4 เอกซ์) ใหม่ ที่เปิดรับจองสิทธิ์ผ่านช่องทางออนไลน์ มีผู้สนใจลงทะเบียนที่ 1,890 คัน (ข้อมูล ณ วันที่ 26 กันยายน 2568)
ส่วนตลาดรถยนต์เดือนกันยายน มีแนวโน้มทรงตัว เนื่องจากผู้บริโภครอความชัดเจนของนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ อาจส่งผลให้ชะลอการซื้อ ขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันที่ผันผวน และอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของสถาบันการเงิน ยังคงอยู่ในระดับสูง ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการใช้จ่าย
ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ เดือนสิงหาคม 2568
1. ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 47,622 คัน เพิ่มขึ้น 5.4 %
อันดับที่ 1 Toyota 17,279 คัน ลดลง 3.2 % ส่วนแบ่งตลาด 36.3 %
อันดับที่ 2 Isuzu 5,581 คัน ลดลง 9.2 % ส่วนแบ่งตลาด 11.7 %
อันดับที่ 3 Honda 5,557 คัน เพิ่มขึ้น 11 % ส่วนแบ่งตลาด 11.7 %
2. ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 18,168 คัน ลดลง 0.7 %
อันดับที่ 1 Toyota 5,892 คัน เพิ่มขึ้น 6.1 % ส่วนแบ่งตลาด 32.4 %
อันดับที่ 2 Honda 3,056 คัน ลดลง 7.5 % ส่วนแบ่งตลาด 16.8 %
อันดับที่ 3 BYD 1,379 คัน ลดลง 36.5 % ส่วนแบ่งตลาด 7.6 %
3. ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 29,454 คัน เพิ่มขึ้น 12.3 %
อันดับที่ 1 Toyota 11,387 คัน ลดลง 7.3 % ส่วนแบ่งตลาด 38.7 %
อันดับที่ 2 Isuzu 5,485 คัน ลดลง 9.2 % ส่วนแบ่งตลาด 18.9 %
อันดับที่ 3 Honda 2,501 คัน เพิ่มขึ้น 46.9 % ส่วนแบ่งตลาด 8.5 %
4. ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pick up และรถกระบะดัดแปลง PPV*)
ปริมาณการขาย 14,599 คัน ลดลง 2.5 %
อันดับที่ 1 Toyota 6,619 คัน ลดลง 6.6 % ส่วนแบ่งตลาด 45.3 %
อันดับที่ 2 Isuzu 4,736 คัน ลดลง 10.2 % ส่วนแบ่งตลาด 32.4 %
อันดับที่ 3 Ford 1,500 คัน ลดลง 0.1 % ส่วนแบ่งตลาด 10.3 %
*ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง (ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน) 3,576 คัน
Toyota 1,162 คัน-GWM 973 คัน-Isuzu 796 คัน-Ford 540 คัน-Mitsubishi 101 คัน-Nissan 4 คัน
5. ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 11,023 คัน ลดลง 10.4 %
อันดับที่ 1 Toyota 5,457 คัน ลดลง 12.9 % ส่วนแบ่งตลาด 49.5 %
อันดับที่ 2 Isuzu 3,940 คัน ลดลง 4.3 % ส่วนแบ่งตลาด 35.7 %
อันดับที่ 3 Ford 960 คัน เพิ่มขึ้น 0.1 % ส่วนแบ่งตลาด 8.7 %
สถิติการจำหน่ายรถยนต์ เดือนมกราคม-สิงหาคม 2568
1. ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 399,945 คัน เพิ่มขึ้น 0.1 %
อันดับที่ 1 Toyota 149,328 คัน ลดลง 1.7 % ส่วนแบ่งตลาด 37.3 %
อันดับที่ 2 Isuzu 48,572 คัน ลดลง 17.9 % ส่วนแบ่งตลาด 12.1 %
อันดับที่ 3 Honda 45,917 คัน ลดลง 14.9 % ส่วนแบ่งตลาด 11.5 %
2. ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 154,766 คัน เพิ่มขึ้น 0.4 %
อันดับที่ 1 Toyota 51,931 คัน เพิ่มขึ้น 17.7 % ส่วนแบ่งตลาด 33.6 %
อันดับที่ 2 Honda 25,622 คัน ลดลง 16.1 % ส่วนแบ่งตลาด 16.6 %
อันดับที่ 3 BYD 13,837 คัน ลดลง 7.3 % ส่วนแบ่งตลาด 8.9 %
3. ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 245,179 คัน เพิ่มขึ้น 0.2 %
อันดับที่ 1 Toyota 97,397 คัน ลดลง 9.6 % ส่วนแบ่งตลาด 39.7 %
อันดับที่ 2 Isuzu 48,572 คัน ลดลง 17.9 % ส่วนแบ่งตลาด 19.8 %
อันดับที่ 3 Honda 20,295 คัน ลดลง 13.2 % ส่วนแบ่งตลาด 8.3 %
4. ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pick up และรถกระบะดัดแปลง PPV*)
ปริมาณการขาย 124,156 คัน ลดลง 11 %
อันดับที่ 1 Toyota 55,822 คัน ลดลง 13 % ส่วนแบ่งตลาด 45 %
อันดับที่ 2 Isuzu 42,055 คัน ลดลง 18.7 % ส่วนแบ่งตลาด 33.9 %
อันดับที่ 3 Ford 12,431 คัน ลดลง 15.6 % ส่วนแบ่งตลาด 10 %
*ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง (ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน) 28,110 คัน
Toyota 9,562 คัน-Isuzu 7,883 คัน-Ford 4,812 คัน-GWM 4,446 คัน-Mitsubishi 1,113 คัน-Nissan 294 คัน
5. ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 96,046 คัน ลดลง 16.5 %
อันดับที่ 1 Toyota 46,260 คัน ลดลง 16.5 % ส่วนแบ่งตลาด 48.2 %
อันดับที่ 2 Isuzu 34,172 คัน ลดลง 21.4 % ส่วนแบ่งตลาด 35.6 %
อันดับที่ 3 Ford 7,619 คัน ลดลง 16.9 % ส่วนแบ่งตลาด 7.9 %
..........................................................................................................................................................................................
Chery เปิดตัวในไทยอย่างเป็นทางการ
Chery (เชอรี) ก้าวสู่การเดินทางอย่างเป็นทางการในประเทศไทย เปิดตัว “Chery Thailand Grand Premiere Launch” ภายใต้คอนเซพท์ “From Global Presence to a Lifelong Journey with Thailand” พร้อมประกาศราคา V23 รถยนต์ไฟฟ้า EV ดีไซจ์นสำหรับคนเมือง และเปิดตัว Tiggo 8 CSH พรีเมียมเอสยูวี 7 ที่นั่งสำหรับครอบครัวยุคใหม่
ชุย จวิ้นหยวน ประธาน Chery (ประเทศไทย) กล่าวว่า ประเทศไทย คือ หัวใจสำคัญของภูมิภาคอาเซียน สำหรับ Chery การเปิดตัวในวันนี้ไม่ใช่เป็นเพียงการนำรถยนต์เข้ามาจำหน่าย แต่คือ การแสดงความมุ่งมั่น และคำมั่นสัญญาของเราที่จะนำเทคโนโลยีระดับโลกที่ได้รับการพิสูจน์แล้วมาสู่ผู้บริโภคชาวไทย เราเชื่อมั่นในศักยภาพของตลาด และพร้อมที่จะเติบโตเคียงข้างไปกับสังคมไทยอย่างยั่งยืน
จิม ลี ผู้อำนวยการบริหารแบรนด์ Chery ประเทศไทย กล่าวว่า Chery พร้อมแล้วในการเปิดตัวยนตรกรรมที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรม V23 และ Tiggo 8 CSH ซึ่งมั่นใจว่าทั้ง 2 รุ่นจะสร้างมาตรฐานใหม่ และมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า
V23 มาพร้อม 3 รุ่นย่อย
V23: เอสยูวีพลังงานไฟฟ้า 100 % โดดเด่นด้วยดีไซจ์นทรงกล่องสไตล์เรทโร (Boxy Design) ที่สะท้อนตัวตนของคนเมืองยุคใหม่ พร้อมพื้นที่ใช้สอยที่ปรับเปลี่ยนได้หลากหลาย และเทคโนโลยีเพื่อการขับขี่ที่สนุกสนาน โดย Chery V23 มีให้เลือก 3 รุ่นได้แก่
Chery V23 2WD Play และ Chery V23 2WD Plus ติดตั้งแบทเตอรีขนาด 59.93 กิโลวัตต์ ให้กำลังสูงสุด 136 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 180 นิวทันเมตร ระยะการขับสูงสุด 360 กม./ชาร์จ (มาตรฐาน NEDC) ให้อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 11 วินาที และให้ความเร็วสูงสุด 140 กม./ชม.
ราคา V23 2WD Play: 689,900 บาท/V23 2 WD Plus: 749,900 บาท Chery V23 4WD Peak ติดตั้งแบทเตอรีขนาด 81.76 กิโลวัตต์ ให้กำลังสูงสุด 211 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 292 นิวทันเมตร ระยะการขับสูงสุด 430 กม./ชาร์จ (มาตรฐาน NEDC) ให้อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. เพียง 7.5 วินาที และให้ความเร็วสูงสุด 140 กม./ชม. ราคา V23 4WD Peak: 879,900 บาท
Tiggo 8 CSH ราคาเริ่มต้นที่ 9XX,XXX บาท พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษ
Tiggo 8 CSH: พรีเมียมเอสยูวี 7 ที่นั่งสำหรับครอบครัวยุคใหม่ ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง CSH (Chery Super Hybrid) แบบ Plug-in Hybrid Electric Vehicle (PHEV) ที่ทรงพลัง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมห้องโดยสารกว้างขวาง และเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะครบครัน Chery Tiggo 8 CSH มีให้เลือก 2 รุ่น ได้แก่
- Chery Tiggo 8 CSH PHEV 2WD Esteem ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 310 นิวทันเมตร ระยะการขับทั้งระบบสูงสุด 1,200 กม. ให้อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใน 8.5 วินาที และให้ความเร็วสูงสุด 180 กม./ชม.
- Chery Tiggo 8 CSH PHEV 4WD Elite ให้กำลังสูงสุด 358 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 520 นิวทันเมตร ระยะการขับทั้งระบบสูงสุด 1,200 กม. ให้อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. เพียง 6.8 วินาที และให้ความเร็วสูงสุด 180 กม./ชม.
เพื่อขอบคุณลูกค้าที่ให้ความสนใจ Chery Tiggo 8 CSH ขยายระยะเวลาแคมเปญจองสิทธิ์ล่วงหน้า พร้อมมอบส่วนลดมูลค่า 10,000 บาท* และพิเศษยิ่งขึ้นด้วยของขวัญมูลค่า 5,000 บาท* สำหรับลูกค้าที่จองสิทธิ์ ตั้งแต่วันนี้-31 ตุลาคม 2568
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด
..........................................................................................................................................................................................
BMW เปิดตัว 2 รุ่น ตระกูล M
BMW ประเทศไทย เปิดตัวสุดยอดยานยนต์สมรรถนะสูงถึง 2 รุ่นในตระกูล BMW M (บีเอมดับเบิลยู เอม) สู่ตลาดประเทศไทย กับ BMW M2 CS (บีเอมดับเบิลยู เอม 2 ซีเอส) ใหม่ และ BMW M3 CS Touring (บีเอมดับเบิลยู เอม 3 ซีเอส ทัวริง) ครั้งแรกอย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นการเปิดตัวครั้งสำคัญของตระกูล M3 Touring ด้วยรุ่นลิมิเทด เอดิชัน ตอกย้ำความมุ่งมั่นของ BMW M ในการส่งมอบพละกำลัง ความแม่นยำ และประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้น พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่ทั้งนักสะสม และผู้ที่หลงใหลในสมรรถนะขั้นสูง ทั้ง 2 รุ่น เปิดรับจองตั้งแต่วันนี้ 25 กันยายน 2568 เป็นต้นไป
เรเน แกร์ฮาร์ด ประธาน และซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า BMW ขอแนะนำนำ 2 รุ่นใหม่จากตระกูล M ได้แก่ BMW M2 CS และ BMW M3 CS Touring มาสร้างปรากฏการณ์ใหม่สู่ลูกค้าคนสำคัญของเราในประเทศไทย รถยนต์ทั้ง 2 รุ่นนี้นับเป็นบทพิสูจน์ถึงความเป็นเลิศทางวิศวกรรมของ BMW M ผสมผสานอย่างไร้ที่ติระหว่างสมรรถนะระดับสนามแข่ง และความสามารถในการใช้งานในชีวิตประจำวันที่เหนือระดับ ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของเราในการนำเสนอประสบการณ์การขับขี่ที่พิเศษ และเร้าใจที่สุดสู่ตลาดไทย เพื่อตอบสนองผู้ที่ชื่นชมศิลปะแห่งการขับขี่สมรรถนะสูงอย่างแท้จริง
BMW M2 CS ใหม่ สุดยอดผลงานชิ้นเอกในขนาดคอมแพคท์ เพื่อประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจ
BMW M2 CS คือ ที่สุดแห่งความทรงพลังพร้อมด้วยสมรรถนะเพื่อสนามแข่งอย่างแท้จริง โดยได้รับการรังสรรค์อย่างพิถีพิถันสำหรับผู้ที่หลงใหลในความสมบูรณ์แบบของการขับขี่ นับเป็นที่สุดของกลุ่มรถสปอร์ตสมรรถนะสูงขนาดคอมแพคท์อย่างแท้จริง
ภายใต้ฝากระโปรงหน้าของ BMW M2 CS คือ เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบแถวเรียง ขนาด 3.0 ลิตร พร้อมเทคโนโลยี M Twin Power Turbo ที่ได้รับการปรับแต่งเป็นพิเศษ ปลดปล่อยพละกำลังมหาศาลถึง 530 แรงม้า และแรงบิด 650 นิวทันเมตร ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 50 แรงม้าจาก M2 รุ่นมาตรฐาน พลังทั้งหมดถูกส่งตรงไปยังล้อหลังผ่านเกียร์ M Steptronic 8 จังหวะ พร้อมแท่นยึดเครื่องยนต์เฉพาะรุ่น CS เพื่อการตอบสนองที่ฉับไว BMW M2 CS สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 3.4-3.8 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 302 กม./ชม. โดยหากวัดตามมาตรฐานการคำนวณแบบ "1-Foot Rollout" (ไม่รวมระยะออกตัว 1 ฟุต) อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. อยู่ที่ 3.5 วินาที
นอกเหนือจากพละกำลังอันน่าเกรงขาม BMW M2 CS ยังมีน้ำหนักลดลงถึง 30 กก. เมื่อเทียบกับ M2 รุ่นมาตรฐาน ด้วยการใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ในหลายองค์ประกอบ ภายนอกโดดเด่นด้วยกระจังหน้าเฉพาะรุ่น CS และชิ้นส่วนคาร์บอนไฟเบอร์มากมาย รวมถึงฝากระโปรงท้ายคาร์บอนไฟเบอร์พร้อมสปอยเลอร์แบบ Ducktail ในตัวฝาครอบกระจกมองข้างคาร์บอนไฟเบอร์ และหลังคาคาร์บอนไฟเบอร์ ระบบช่วงล่างได้รับการปรับแต่งอย่างละเอียด โดยลดระดับลง 8 มม. เมื่อเทียบกับ M2 รุ่นมาตรฐาน เพื่อให้การควบคุมที่เหนือชั้น และคล่องตัว ล้ออัลลอย M แบบฟอร์จ น้ำหนักเบาที่ติดตั้งมาเป็นมาตรฐาน ยังช่วยเสริมสมรรถนะให้โดดเด่นยิ่งขึ้น
ภายในห้องโดยสารสะท้อนถึงดีเอนเอของมอเตอร์สปอร์ท ด้วยคอนโซลกลางคาร์บอนไฟเบอร์พร้อมตราสัญลักษณ์ CS ที่โดดเด่น เบาะนั่งแบบ Bucket Seat คาร์บอนไฟเบอร์พร้อมตราสัญลักษณ์ CS เรืองแสง และพวงมาลัย Alcantara พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์คาร์บอนไฟเบอร์ และเครื่องหมาย 12 นาฬิกาสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ ตราสัญลักษณ์ CS เฉพาะรุ่น ตอกย้ำสถานะพิเศษของรถยนต์คันนี้ ระบบ Active Sound Design Next พร้อมการปรับแต่งเฉพาะรุ่น CS ช่วยเพิ่มความเร้าใจในการขับขี่
สำหรับลูกค้าที่ต้องการความโดดเด่นเป็นพิเศษ สามารถเลือกปรับแต่งด้วยอุปกรณ์เสริมที่หลากหลาย อาทิ ระบบเบรคคาร์บอนเซรามิค M การตกแต่งภายในด้วยสี Red High-Gloss รวมถึงตัวเลือกสีที่หลากหลายทั้งภายนอก และภายในห้องโดยสาร
BMW M2 CS ใหม่ ราคา 7,999,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และแพคเกจ BSI Standard)
BMW M2 CS (พร้อมระบบเบรคคาร์บอนเซรามิค M การตกแต่งภายในด้วยสี Red High-Gloss) ราคา 8,699,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และแพคเกจ BSI Standard)
BMW M2 CS (สี Individual Velvet Blue Metallic พร้อมระบบเบรคคาร์บอนเซรามิค M ราคา 8,999,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และแพคเกจ BSI Standard)
BMW M3 CS Touring: รถแวกอนที่เร็วที่สุดบนสนาม Nurburgring พร้อมแล้วในประเทศไทย
BMW M3 CS Touring รุ่นพิเศษใหม่ล่าสุด เปิดตัวเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของตระกูล M3 Touring ยกระดับทั้งสมรรถนะ และความอเนกประสงค์ พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่รถสปอร์ทพลังแรงที่ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน โดย M3 CS Touring ได้จารึกความสำเร็จไว้บนสนาม Nurburgring-Nordschleife ด้วยเวลาเพียง 7:29.490 นาที ขึ้นแท่นเป็นรถยนต์ Touring ที่เร็วที่สุดตลอดกาล สะท้อนถึงสมดุลอันลงตัวระหว่างดีเอนเอแห่งสนามแข่ง และความสะดวกสบายในทุกการเดินทาง
หัวใจสำคัญของ BMW M3 CS Touring คือ เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบแถวเรียง ขนาด 3.0 ลิตร พร้อมเทคโนโลยี M Twin Power Turbo ที่ได้รับการปรับแต่งเฉพาะรุ่น ให้พละกำลังสูงสุด 405 กิโลวัตต์/551 แรงม้า เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายในเพียง 3.5 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 300 กม./ชม. ทั้งนี้ หากวัดตามมาตรฐานการคำนวณแบบ "1-Foot Rollout" (ไม่รวมระยะออกตัว 1 ฟุต) อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. อยู่ที่ 3.2 วินาที เสริมด้วยโครงสร้าง M Front Strut Brace ที่เพิ่มความแข็งแรงของตัวถัง ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ M Steptronic พร้อม Drivelogic และระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัจฉริยะ M XDrive ที่ทำงานร่วมกับระบบ Active M Differential เพื่อมอบการยึดเกาะถนน และการควบคุมรถที่เฉียบคมในทุกรูปแบบการขับขี่
ระบบช่วงล่างของ BMW M3 CS Touring ได้รับการพัฒนา และปรับแต่งมาเป็นพิเศษ ให้เหมาะสมทั้งการใช้งานบนถนน และสนามแข่ง ควบคู่กับระบบรักษาเสถียรภาพการขับขี่แบบไดนามิค (DSC) และโหมด M Dynamic ที่ตอบสนองต่อการขับขี่สมรรถนะสูงได้อย่างสมบูรณ์แบบ ระบบเบรค M Compound ติดตั้งมาเป็นมาตรฐาน และยังสามารถเลือกอัพเกรดเป็นระบบเบรค M คาร์บอนเซรามิค เพื่อการหยุดรถที่ทรงพลังยิ่งขึ้น
ดีไซจ์นภายนอกสะท้อนความพิเศษเฉพาะตัวด้วยไฟหน้า Adaptive LED พร้อมสัญลักษณ์สีเหลืองเรืองแสง และล้ออัลลอย M4 CS Design ที่มีให้เลือกเสริม เพิ่มเอกลักษณ์แห่งความสปอร์ทในทุกมุมมอง ห้องโดยสารเน้นความโฉบเฉี่ยวสไตล์มอเตอร์สปอร์ทเต็มขั้น มาพร้อมพวงมาลัย M ดีไซจ์นใหม่ เบาะหุ้มหนัง Merino สี Black/Red พร้อมสัญลักษณ์ CS Design ที่สะท้อนเอกลักษณ์ของรุ่นพิเศษนี้
BMW M3 CS Touring ใหม่ ผสานความแรงอันเร้าใจเข้ากับประโยชน์ใช้สอยได้อย่างครบถ้วน ด้วยพื้นที่เก็บสัมภาระขนาด 500-1,510 ลิตร ใต้ประตูท้ายที่เปิดได้สูง รองรับทั้งการขับขี่ในชีวิตประจำวัน และการโลดแล่นบนสนามแข่งในคันเดียว รถยนต์รุ่นนี้จะผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 1 ปีเท่านั้น เปิดโอกาสสุดเอกซ์คลูซีฟให้ลูกค้าชาวไทยได้ครอบครองหนึ่งในตำนานแห่งประวัติศาสตร์ของ BMW M
BMW M3 CS Touring จะวางจำหน่ายในราคา 15,499,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และ BSI Standard)
..........................................................................................................................................................................................
Royal Enfield เปิดตัว Classic 650
Royal Enfield (รอยัล เอนฟีลด์) เปิดตัว Royal Enfield Classic 650 (รอยัล เอนฟีลด์ คลาสสิค 650) อย่างเป็นทางการในประเทศไทย มอเตอร์ไซค์เอกลักษณ์ตระกูล Classic ขุมพลังเครื่องยนต์ Royal Enfield 650 Twin ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ราคาเริ่มต้นที่ 249,900 บาท
มาโนช กาจาร์ลาวาร์ หัวหน้าธุรกิจภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค Royal Enfield กล่าวว่า Royal Enfield รุ่น Classic คือ มอเตอร์ไซค์ที่ครองใจนักขับขี่มาโดยตลอด ไม่เพียงสร้างรากฐานให้แบรนด์ แต่ยังปลูกฝังปรัชญา Pure Motorcycling ให้หยั่งรากลึกในสังคมนักขี่ Classic คือ สัญลักษณ์ที่ทำให้ยืนหยัดบน DNA ความเป็น Royal Enfield อย่างไม่เปลี่ยนแปลง
การเปิดตัว Classic 650 คือ การสานต่อจิตวิญญาณให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิมบนพแลทฟอร์ม 650 Twin ระดับโลก เรารักษาทุกอย่างที่เป็นตัวตนของ Classic ตั้งแต่สไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ งานดีไซจ์นที่เหนือกาลเวลา ไปจนถึงความสง่างามบนท้องถนน ผสานกับงานประกอบที่ประณีต และเครื่องยนต์ที่พัฒนาขึ้นอย่างลงตัว เรามั่นใจว่ามอเตอร์ไซค์รุ่นนี้จะเข้าถึงหัวใจนักขับขี่ชาวไทย และยิ่งเติมเต็มความผูกพันที่มีต่อแบรนด์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
เสน่ห์ที่เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า (Double the charm)
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา Classic คือ รากฐานสำคัญของหลายโมเดลจาก Royal Enfield โดยถ่ายทอดทั้งมรดก และแรงบันดาลใจ ที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์การออกแบบของแบรนด์ไว้ครบถ้วน Classic 650 สานต่อ DNA อย่างชัดเจน ด้วยโครงสร้างเฟรมอันเป็นเอกลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับรุ่นในอดีต ตั้งแต่ OG Classic (โอจี คลาสสิค), Thunderbird (ธันเดอร์เบิร์ด) ไปจนถึง Super Meteor (ซูเพอร์ เมทีเออร์) และ Shotgun (ชอทกัน) รุ่นล่าสุด ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เพราะ Classic 650 ก้าวไปไกลกว่านั้นด้วยเสน่ห์ และคาแรคเตอร์ที่เหนือชั้นกว่าเดิม
สมรรถนะที่ยกระดับขึ้นอีกขั้น (Double the capability)
หัวใจสำคัญของ Classic 650 คือ เครื่องยนต์ 648 ซีซี Parallel Twin ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก ปรับแต่งใหม่เพื่อการตอบสนองที่ดียิ่งขึ้น ให้แรงบิดจัดตั้งแต่รอบต่ำ คันเร่งตอบสนองไว และยังคงสไตล์การขี่ที่สง่างาม และเป็นเอกลักษณ์แบบ Classic ระบบเกียร์ที่ปรับแต่งมาอย่างประณีต เปลี่ยนเกียร์ได้ลื่น ไม่มีสะดุด แชสซีส์บาลานศ์ลงตัว ช่วยให้มั่นใจแม้บนเส้นทางที่ไม่เรียบ เครื่องยนต์ 650 Twin ที่ขึ้นชื่อเรื่องแรงบิดรอบต่ำ ทำให้การเร่งแซงทำได้มั่นใจ เติมพลังต่อเนื่องแบบไม่ต้องเค้นหนัก แต่ยังให้ความเร้าใจทุกครั้งที่บิด
คาแรคเตอร์ที่เข้มข้นกว่าเดิม (Double the character)
แม้ Classic 650 จะสืบทอดสายเลือดเดียวกับตระกูล Classic แต่ตัวรถถูกออกแบบใหม่ให้มีความทันสมัย และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ รุ่นนี้ใช้เส้นสาย และสัดส่วนตัวรถที่ออกแบบให้รับกับเครื่องยนต์ Twin ที่วางทำมุมเฉียงไปข้างหน้า ทำให้ได้บุคลิกทรงพลัง และมีท่าทางที่ดูดุดันขึ้น มาพร้อมบังโคลนสั้นทรงคลาสสิค ยางหน้า-หลังขนาดใหญ่ขึ้น ช่วยเสริมสมรรถนะ รวมถึงสัดส่วนตัวรถที่บึกบึนกว่าเดิม สอดรับกับเครื่องยนต์ความจุ 650 ซีซี ได้อย่างลงตัว
Classic 650 ใหม่ ใช้เฟรมหลักร่วมกับ Super Meteor และ Shotgun 650 มาพร้อมเบาะคู่แบบ Dual Seat ที่สามารถถอดเบาะซ้อนท้าย และแรคออกได้ เพื่อเพิ่มรูปลักษณ์ที่โดดเด่นมากยิ่งขึ้น งานดีไซจ์นยังคงกลิ่นอายสไตล์อังกฤษยุคหลังสงคราม ด้วยรายละเอียดโครเมียม และอลูมิเนียมขัดเงาบริเวณโคมไฟหน้า และชุดไฟเลี้ยวด้านหน้าตัวรถเน้นเส้นสายที่ไหลลื่นตั้งแต่หัวจรดท้าย มาพร้อมถังน้ำมันทรงหยดน้ำอันเป็นเอกลักษณ์ และชุดไฟแบบ Nacelle ที่ติดตั้งไฟหน้า LED ใหม่ ควบคู่กับไฟ Tiger Lamps หรือไฟหรี่คู่ ที่ถือเป็นเอกลักษณ์ของ Royal Enfield มาตั้งแต่ปี 1954
ท่านั่งในการขับขี่ที่ถูกออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ แฮนด์บาร์วางตำแหน่งได้พอดีจับถนัด และเบาะกว้าง นุ่มสบาย ช่วยให้ผู้ขับขี่ผ่อนคลายตลอดการเดินทางไกล ช่วงล่างหน้า-หลังจาก Showa ถูกปรับเซทมาอย่างละเอียด ซับแรงสะเทือนบนถนนได้อย่างนุ่มนวล พร้อมมอบความมั่นใจทั้งในเมืองที่ต้องการความคล่องตัว และบนทางไกลที่ต้องการความมั่นคง
แผงหน้าปัดออกแบบเรียบง่ายไม่รกสายตา มาพร้อมหน้าจอ LCD ดิจิทอล แสดงข้อมูลครบทั้งมาตรวัดระยะทาง ทริพมิเตอร์ ระดับน้ำมัน เตือนการเข้ารับบริการ ตำแหน่งเกียร์ และนาฬิกา ช่วยให้ผู้ขี่โฟคัส และเพลิดเพลินกับการเดินทางได้เต็มที่
นอกจากนี้ ยังมีชุดอุปกรณ์ตกแต่งแท้ (Genuine Motorcycle Accessories) ให้เลือกทั้งสไตล์ Classic และ Classic Tourer เพื่อการปรับแต่งรถให้ตรงกับสไตล์ของผู้ขี่มากยิ่งขึ้น Classic 650 คือ การผสมผสานเสน่ห์เหนือกาลเวลาของมอเตอร์ไซค์เข้ากับความแม่นยำ และความสะดวกสบายของเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว
สีสันคลาสสิคกับเส้นสายเหนือกาลเวลา (Classic colours for classic contours)
Royal Enfield Classic 650 มาพร้อมเฉดสีที่หวนรำลึกถึง Classic 500 อันเป็นที่รักของชาวคลาสสิค เลิฟเวอร์ พร้อมเพิ่มสีใหม่ได้แก่ Bruntingthorpe Blue, Vallam Red และ Black Chrome ซึ่งแต่ละสีช่วยขับเส้นสายตัวถังที่โค้งสวยสง่างามให้โดดเด่นยิ่งขึ้น ราคาจำหน่ายเริ่มต้น Bruntingthorpe Blue และ Vallam Red อยู่ที่ 249,900 บาทส่วน Black Chrome อยู่ที่ 259,900 บาท มาพร้อมการรับประกัน 3 ปีแบบไม่จำกัดระยะทาง
..........................................................................................................................................................................................
Hankook เปิดตัวยางรถยนต์รุ่นใหม่
ฮันกุก ไทร์ (ประเทศไทย)ฯ เปิดตัว 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้กลุ่มผลิตภัณฑ์ Dynapro สำหรับรถยนต์อเนกประสงค์ (SUV) ได้แก่ ยางรุ่น Dynapro HP3 และ Dynapro HT2 ที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับความสบาย ความปลอดภัย และสมรรถนะในการขับขี่ทั้งให้แก่รถยนต์ SUV และรถกระบะโดยเฉพาะ หลังจากเปิดตัวในประเทศเกาหลีใต้เมื่อช่วงต้นปี 2568 ที่ผ่านมา ยางทั้ง 2 รุ่นนี้จะเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยตั้งแต่เดือนตุลาคม 2568 เป็นต้นไป
กาฮูน คิม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮันกุก ไทร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า Hankook Tire มีความมุ่งมั่นที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ และความต้องการด้านยานยนต์ของคนไทย ที่ยังคงนิยมรถยนต์ SUV และรถกระบะกันมากขึ้นเรื่อยๆ โดยการเปิดตัวยางรุ่น Dynapro HP3 และ Dynapro HT2 สะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับนวัตกรรมยางรถยนต์ ความปลอดภัย และความสบายในการขับขี่ เพื่อให้ผู้ขับขี่ในประเทศไทยได้ใช้ยางรถยนต์ที่ดีที่สุดให้แก่รถของทุกคน
"ความนิยมรถยนต์ SUV และรถกระบะในประเทศไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง Hankook Tire จึงเร่งพัฒนากลยุทธ์ผ่านผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบให้เหมาะกับการขับขี่ และไลฟ์สไตล์ของผู้ขับขี่ในแต่ละประเทศ การขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ Dynapro เป็นการเน้นย้ำ Hankook Tire ในฐานะผู้นำของตลาดยางสำหรับรถยนต์ SUV อีกด้วย"
Dynapro HP3
ยางรุ่น Dynapro HP3 คือ ยางสำหรับรถยนต์ SUV ที่โดดเด่นทั้งสมรรถนะบนถนนเรียบ และการใช้งานในทุกฤดูกาล มอบความนุ่มนวล และเงียบสงบในทุกการเดินทาง พร้อมความทนทานที่มากขึ้นเพื่ออายุการใช้งานที่ยาวนาน
• การออกแบบบลอคไหล่ยางที่เหมาะสม ช่วยให้หน้ายางสัมผัสกับพื้นถนนได้สม่ำเสมอ ลดการสึกหรอแม้บรรทุกน้ำหนักจำนวนมาก
• อายุการใช้งานของยางเพิ่มขึ้น 5 % เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม
• ร่องดอกยางด้านข้างที่กว้าง และหนาแน่นขึ้น ช่วยให้ยึดเกาะถนนแห้งได้มากขึ้นถึง 4 % รวมถึงลายดอกยางที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเบรคในทุกสภาพถนน
• เทคโนโลยีลดเสียงรบกวน E-Knurling ที่เป็นสิทธิบัตรเฉพาะของ Hankook Tire ช่วยลดเสียงจากร่องดอกยางได้สูงสุด 2.5 เดซิเบล และดีไซจ์นที่ช่วยดูดซับแรงกระแทก ทำให้เสียงรบกวนจากถนนลดลง และเพิ่มประสบการณ์ขับที่ลื่นไหลมากขึ้น
Dynapro HT2
ยางรุ่น Dynapro HT2 ยางที่พัฒนาต่อจากยางรุ่น Dynapro HT เพื่อรถยนต์ SUV และรถกระบะ มอบสมรรถนะ และการใช้งานในทุกฤดูกาล
• ลายดอกยาง และเทคโนโลยีล้ำสมัย ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของบลอคดอกยาง และกระจายแรงกดได้อย่างสมดุล ทำให้ยางสึกหรอสม่ำเสมอขึ้น
• การออกแบบร่องดอกยางสำหรับการระบายน้ำประสิทธิภาพสูง ช่วยป้องกันการเหินน้ำ รวมถึง Compound ยางที่ล้ำสมัย เพิ่มการควบคุมบนถนนเปียกขึ้น 7 % และเพิ่มประสิทธิภาพการเบรคได้ถึง 6 %
• ร่องดอกยางด้านข้างที่แคบลง และการจัดเรียงดอกยางแบบสลับ (Multi-Pitch) ช่วยลดเสียงรบกวนจากถนนได้สูงสุด 2 เดซิเบล มอบบรรยากาศการขับขี่ที่เงียบสงบยิ่งขึ้น
ยางรุ่น Dynapro HP3 และ Dynapro HT2 ช่วยเติมเต็มกลุ่มผลิตภัณฑ์ยางสำหรับรถยนต์ SUV และรถกระบะขนาดเล็กของ Hankook Tire ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงยางรุ่นอื่น ได้แก่ Dynapro HP2, Dynapro HPX, Dynapro AT2, Dynapro AT2 Xtreme, Dynapro HT และ Dynapro MT2 ด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมนี้ Hankook Tire จึงให้ความสำคัญกับกลุ่มผลิตภัณฑ์ Dynapro ในฐานะผู้นำของแบรนด์ยางรถสำหรับรถยนต์ SUV และรถกระบะในประเทศไทยเป็นอย่างมาก
ยางรุ่น Dynapro HP3 และ Dynapro HT2 จะเปิดจำหน่ายในหลากหลายขนาด สำหรับรถยนต์ SUV และรถกระบะรุ่นยอดนิยมในประเทศไทย อาทิ Toyota Hilux (โตโยตา ไฮลักซ์), Toyota Fortuner (โตโยตา ฟอร์ทูเนอร์), Honda CR-V (ฮอนดา ซีอาร์-วี), Ford Everest (ฟอร์ด เอเวอเรสต์), Ford Ranger (ฟอร์ด เรนเจอร์) และอีกมากมาย
..........................................................................................................................................................................................
กำหนดรถยนต์ รถ EV มอเตอร์ไซค์ เป็นสินค้าควบคุมฉลาก
รถทุกเครื่องยนต์ไม่ว่าจะเป็นรถสันดาป หรือรถไฟฟ้า ถูกกำหนดเป็นสินค้าควบคุมฉลากเพื่อสร้างความโปร่งใส
คุมฉลากขายรถยนต์ มอเตอร์ไซค์
คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. ได้ออกประกาศให้รถยนต์ รถยนต์ไฟฟ้า รถจักรยานยนต์ รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า และรถจักรยานไฟฟ้า เป็นสินค้าที่ควบคุมฉลาก ซึ่งการกำหนดดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคสร้างมาตรฐานในการซื้อขาย และเพิ่มความโปร่งใสในตลาดรถยนต์ และรถจักรยานยนต์
ทั้งนี้ ผู้ประกอบธุรกิจต้องจัดทำฉลากที่ชัดเจน ครอบคลุมข้อมูลสำคัญ เช่น รุ่น เดือน และปีที่ผลิต รวมถึงเงื่อนไขการรับประกัน ประเภทของแบทเตอรี เป็นต้น เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ และมีข้อมูลครบถ้วน
เพื่อสร้างความโปร่งใส
ปัจจุบันการซื้อ-ขายรถยนต์ รถยนต์ไฟฟ้า รถจักรยานยนต์ รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า และรถจักรยานไฟฟ้า มีความซับซ้อน และอาจก่อให้เกิดข้อโต้แย้ง หากไม่มีการเปิดเผยข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน การประกาศให้สินค้าเหล่านี้อยู่ภายใต้การควบคุมฉลาก จึงเป็นการสร้างหลักประกันด้านความโปร่งใส และความเป็นธรรมทั้งต่อผู้ซื้อ และผู้ขาย
สำหรับมาตรการใหม่นี้ นอกจากจะช่วยยกระดับความเชื่อมั่นของตลาดรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ยังเป็นการสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างเป็นธรรม และก้าวสู่การบริโภคที่ปลอดภัย และยั่งยืนในอนาคต
..........................................................................................................................................................................................
รวมพลคนรักรถโบราณ คาราวานชานกรุง 2025
เตรียมพบรถโบราณกว่า 30 คัน “คาราวานชานกรุง 2025”
คาราวานชานกรุง 2025
กลับมาอีกครั้งกับขบวนรถโบราณสุดตระการตา ใน “คาราวานชานกรุง 2025” โดยสมาคมรถโบราณแห่งประเทศ ร่วมกับเซนทรัลพัฒนา (CPN) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ที่ปีนี้มาในคอนเซพท์ “ชมศิลป์แผ่นดิน...เยือนถิ่นพระราม” ในวันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม 2568 เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว และประชาสัมพันธ์พื้นที่ท่องเที่ยวในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งจะมีขบวนรถโบราณ และรถคลาสสิค ที่หาชมยากเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 30 คัน เส้นทางจากกรุงเทพฯ-พระนครศรีอยุธยา
ติดตามกิจกรรมของสมาคมรถโบราณฯ ได้ที่ www.vintagecarclub.or.th และ www.facebook.com/vintagecarclub
