รู้ลึกเรื่องรถ
2 ล้อก็ดี 4 ล้อก็ได้
ในอดีตมีผู้ผลิตหลายรายผลิตทั้งรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ แม้ปัจจุบันส่วนใหญ่จะผลิตเพียงอย่างหนึ่งอย่างใด แต่ก็มีบางบริษัทที่ยังผลิตทั้ง 2 อย่างอยู่ ซึ่งเราขอพาท่านผู้อ่านไปพบบริษัทที่ยังคงผลิตทั้งรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ โดยจะขอนำเสนอเรียงตามอายุของบแรนด์
อันดับ 1 คือ BMW (บีเอมดับเบิลยู) หรือ BAYERISCHE MOTOREN WERKE AG (บริษัทผู้ผลิตเครื่องยนต์แห่งแคว้นบาวาเรีย, AG = บริษัทมหาชน) ถือกำเนิดขึ้นในปี 1917 โดยก่อนหน้านั้นใช้ชื่อว่า RAPP MOTORENWERKE GMBH (บริษัทผลิตเครื่องยนต์แรพพ์, GMBH = บริษัทจำกัด) เป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องยนต์สำหรับอากาศยานที่มีโลโกบริษัทเป็นรูปม้าหมากรุก การเปลี่ยนมาเป็น BMW ตอนแรกก็ยังคงผลิตเครื่องยนต์สำหรับอากาศยาน ซึ่งเป็นที่มาของโลโกรูปใบพัดสีฟ้าขาว (สีของธงแคว้นบาวาเรีย) ของบแรนด์มาจนถึงทุกวันนี้
แน่นอนว่า ในตอนแรกพวกเขาเน้นไปที่การผลิตเครื่องยนต์สำหรับอากาศยาน โดยลูกค้า คือ กองทัพอากาศของจักรวรรดิเยอรมัน โดยถูกนำไปใช้กับเครื่องบินรบในสงครามโลก ครั้งที่ 1 แต่ต่อมา หลังจากจักรวรรดิเยอรมันพ่ายแพ้ในปี 1919 และต้องลงนามในสนธิสัญญาแวร์ซาย ปลดอาวุธผู้แพ้สงคราม และกำหนดให้บริษัทที่เคยผลิตเครื่องยนต์ของเครื่องบิน สามารถผลิตได้เพียงเครื่องยนต์ขนาดเล็กเท่านั้น
ผลพวงของสนธิสัญญาดังกล่าว ทำให้ในปี 1920 BMW เริ่มผลิตเครื่องยนต์ขนาดเล็ก โดยเครื่องยนต์แรกที่ผลิตออกมา คือ BMW M2B15 เครื่องยนต์แบบ 2 สูบนอนยัน (FLAT TWIN) โดยในตอนแรกมันได้รับการออกแบบให้เป็นเพียงเครื่องจักรต้นกำลังสำหรับใช้งานอุตสาหกรรมเป็นหลัก แต่ได้ถูกนำไปดัดแปลงโดยผู้ผลิตรถจักรยานยนต์รายอื่นให้เป็นเครื่องยนต์ของรถจักรยานยนต์ของพวกเขา อาทิ VICTORIA KR1 (1920-23) และ BFW HELIOS (1920-23) จากบริษัท BFW หรือ BAYERISCHE FLUGZEUGWERKE AG (BAVARIAN AIRCRAFT WORK) ซึ่งก็เป็นอดีตบริษัทผู้ผลิตเครื่องยนต์อากาศยานอีกแห่งของแคว้นบาวาเรียในเวลานั้น และต่อมาทั้ง 2 บริษัทก็ได้รวมตัวกันในปี 1922 โดยใช้ชื่อว่า BMW และผลิตภัณฑ์แรกจากการรวมตัวกัน คือ รถจักรยานยนต์ BMW R 32 ปี 1923
รถจักรยานยนต์ R 32 ใช้เครื่องยนต์ 2 สูบนอนยัน ความจุ 486 ซีซี ให้กำลัง 8.5 แรงม้า แต่รูปแบบการวางเครื่องยนต์นั้นแตกต่างไปจาก BFW HELIOS (บีเอฟดับเบิลยู เฮลิโอส) ที่ออกมาก่อนหน้า โดย HELIOS จะวางเครื่องแนวเดียวกับโครงรถ (ลูกสูบวิ่งไปทางด้านหน้า และหลัง) ในขณะที่ BMW R 32 วางเครื่องแนวตรงกันข้าม (ลูกสูบจะวิ่งออกไปทางด้านซ้าย และขวา) ซึ่งมีข้อดีในเรื่องการระบายความร้อนจากการที่ครีบระบายความร้อนของลูกสูบสัมผัสกับอากาศในขณะที่วิ่งผ่านได้สะดวก และเป็นการริเริ่มรูปแบบการส่งกำลังไปสู่ล้อหลังด้วยการใช้เพลา (SHAFT DRIVE) ที่เป็นเอกลักษณ์ของรถจักรยานยนต์ BMW มาจนถึงทุกวันนี้
เรียกได้ว่า BMW นั้นเริ่มผลิตรถจักรยานยนต์ก่อน ถึงจะต่อยอดมาผลิตรถยนต์ในภายหลัง โดยรถยนต์รุ่นแรกที่พวกเขาริเริ่มผลิตขึ้น ในปี 1928 จากการเข้าซื้อกิจการโรงงานประกอบรถยนต์มาจาก FAHRZEUGFABRIK EISENACH (โรงงานประกอบรถยนต์แห่งเมืองไอซนาร์ค) ซึ่งเป็นโรงงานผลิตรถยนต์เจ้าที่ 3 ของเยอรมนีในเวลานั้น โดยแน่นอนว่า เจ้าแรก คือ BENZ & CIE เจ้าของสิทธิบัตรรถยนต์คันแรกของโลก และเจ้าที่ 2 คือ DAIMLER MOTOREN GESELLSCHAFT ที่ต่อมาทั้ง 2 รายนั้นได้รวมตัวกันเป็น DAIMLER BENZ ที่เรารู้จักกันดี
โรงงานแห่งเมืองไอซนาร์ค ณ ช่วงเวลานั้น ใช้ชื่อบแรนด์ว่า DIXI (ดิกซี) โดยรถยนต์ที่พวกเขาผลิตอยู่ คือ รถยนต์ขนาดเล็ก AUSTIN 7 (ออสติน 7) ภายใต้สิทธิบัตรจากประเทศอังกฤษ และรถที่ผลิตภายใต้สิทธิบัตรนี้ได้กลายมาเป็นรถยนต์รุ่นแรกของ BMW ไปในที่สุด โดยใช้ชื่อรุ่นว่า BMW DIXI (บีเอมดับเบิลยู ดิกซี) ที่ต่อมาได้พัฒนารุ่นใหม่ออกมาแทนในชื่อ BMW 3/15 PS (บีเอมดับเบิลยู 3/15 พีเอส)
ดังนั้น สายสัมพันธ์ระหว่างบแรนด์ AUSTIN กับ BMW อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ในทศวรรษที่ 90 พวกเขาได้เข้าไปซื้อกิจการของ ROVER GROUP ซึ่งเป็นเจ้าของบแรนด์ ROVER (โรเวอร์), LAND ROVER (แลนด์ โรเวอร์), MG (เอมจี), MINI (มีนี) รวมถึงมี AUSTIN ด้วย
ปัจจุบัน BMW ส่วนการผลิต และจำหน่ายรถจักรยานยนต์ ใช้ชื่อว่า BMW MOTORRAD (บีเอมดับเบิลยู มอเตอร์ราด) ส่วนรถยนต์นั้นใช้ชื่อว่า BMW ตามที่เรารู้กัน
สำหรับอันดับ 2 กับ 3 นั้นเป็นสมาชิกของเหล่า “บิกโฟร์” ของอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ของญี่ปุ่น ได้แก่ HONDA (ฮอนดา), KAWASAKI (คาวาซากิ), YAMAHA (ยามาฮา) และ SUZUKI (ซูซูกิ) และมีเพียง 2 บริษัทที่ผลิตรถยนต์ นั่นคือ HONDA กับ SUZUKI โดย SUZUKI เก่าแก่กว่า
SUZUKI ถือกำเนิดขึ้นที่ HAMAMATSU (ฮามามัตสึ) ทางทิศตะวันตกของจังหวัดชิซุโอกะ โดยกิจการเริ่มแรกของพวกเขาในปี 1929 คือ การผลิตเครื่องทอผ้าไหม (มีจุดเริ่มต้นที่คล้ายกับ TOYOTA (โตโยตา) ที่เริ่มจากกิจการทอผ้า) หลังจากได้รับการยอมรับในฝีมือการผลิตเครื่องจักรงานสิ่งทอ ก้าวต่อไปของพวกเขา คือ การผลิตเครื่องจักรที่พวกเขามองเห็นว่าจะเข้ามามีบทบาทกับสังคมญี่ปุ่นในยุคต่อไป นั่นคือ รถยนต์ เพื่อทดแทนการนำเข้ารถยนต์ที่มีราคาแพงจากต่างประเทศ
SUZUKI เริ่มพัฒนารถยนต์คันแรกราวปี 1937 โดยสั่งซื้อ AUSTIN 7 จากประเทศอังกฤษมาเพื่อศึกษา และหลังจากนั้นในระยะเวลาเพียง 2 ปี พวกเขาก็สร้างเครื่องยนต์สำหรับใช้ขับเคลื่อนรถยนต์ได้สำเร็จ โดยเป็นเครื่องยนต์แบบระบายความร้อนด้วยน้ำ แบบ 4 สูบ 4 จังหวะ เสื้อสูบ และห้องเกียร์ผลิตจากอลูมิเนียม ความจุ 800 ซีซี ให้กำลัง 18 แรงม้า
แต่น่าเสียดายที่ปีนั้นญี่ปุ่นได้เข้าสู่สงครามโลก ครั้งที่ 2 อย่างเต็มตัว และบริษัทได้รับคำสั่งจากกองทัพของสมเด็จพระจักรพรรดิให้ทำหน้าที่เป็นผู้ผลิตสรรพาวุธ ทำให้โครงการพัฒนารถยนต์ SUZUKI ต้องพับไป และเมื่อสงครามโลก ครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง บริษัทก็ต้องหันกลับไปผลิตเครื่องจักรสำหรับงานสิ่งทอต่อไป โดยเปลี่ยนจากผ้าไหมไปสู่ผ้าฝ้ายตามคำสั่งของกองทัพอเมริกันที่ควบคุมประเทศญี่ปุ่นผู้แพ้สงคราม
กระทั่งเข้าสู่ทศวรรษที่ 50 พวกเขาได้รื้อฟื้นแนวคิดการผลิตยานพาหนะอีกครั้ง แต่แทนที่จะผลิตรถยนต์ที่คนญี่ปุ่นในยุคหลังสงคราม ไม่น่าจะมีปัญญาครอบครอง พวกเขามองหาสิ่งที่มีราคาย่อมเยา และช่วยแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันของคนทั่วไป นั่นคือ เครื่องยนต์ขนาดจิ๋วที่สามารถติดตั้งเข้ากับรถจักรยานที่มีอยู่แล้วได้ โดยผลิตภัณฑ์รถจักรยานพ่วงเครื่องยนต์ของพวกเขาเปิดตัวในปี 1952 ในชื่อ POWER FREE (เพาเวอร์ ฟรี) โดยเป็นเครื่องยนต์แบบ 2 จังหวะ 36 ซีซี ให้กำลัง 1 แรงม้า โดยมันได้รับการออกแบบให้สามารถปั่นได้ด้วยแรงมนุษย์เพียงอย่างเดียว หรือใช้กำลังจากเครื่องยนต์ล้วนๆ หรือกระทั่งทำงานร่วมกันระหว่างคน และเครื่องยนต์ก็ได้ ซึ่งได้รับการตอบรับจากสาธารณชนเป็นอย่างดี และเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจจักรยานยนต์ SUZUKI ในที่สุด โดยรถจักรยานพ่วงเครื่องยนต์รุ่นต่อมามีชื่อว่า DIAMOND FREE (ไดมอนด์ ฟรี) ความจุ 60 ซีซี และได้รับชื่อเสียงจากการคว้าชัยชนะในการแข่งขันวิ่งขึ้นภูเขาไฟฟูจิ
ความสำเร็จนี้ทำให้ SUZUKI ที่แต่เดิมมีชื่อว่า “บริษัทผลิตเครื่องทอผ้า SUZUKI” ได้เปลี่ยนมาเป็น “SUZUKI MOTOR” ในปี 1954 และในปีถัดมาก็เริ่มต้นผลิตรถจักรยานยนต์พันธุ์แท้รุ่นแรกออกมาในชื่อ COLLEDA (คอลเลดา) ที่มีให้เลือกทั้ง 4 จังหวะ และ 2 จังหวะ
แม้พวกเขาจะเริ่มต้นได้ดีในกิจการรถจักรยานยนต์ แต่ความใฝ่ฝันเรื่องการผลิตรถยนต์ 4 ล้อ ก็ยังคงอยู่ และเป็นเป้าหมายสำคัญในลำดับต่อไปของพวกเขา โดยในปีเดียวกันนั้นเอง พวกเขาได้เผยโฉมรถยนต์ขนาดเล็ก ที่มีชื่อว่า SUZULIGHT SF (ซูซูไลท์ เอสเอฟ) ออกมา โดยคำว่า SUZULIGHT สื่อความหมายว่า มันเป็นรถ SUZUKI ที่มีน้ำหนักเบา ส่วน SF เป็นตัวย่อของ SUZUKI FOUR-WHEEL CAR (รถ 4 ล้อของ SUZUKI) โดยเป็นรถครอบครัวขนาดจิ๋ว ผลิตขึ้นภายใต้พิกัดรถจิ๋วของญี่ปุ่น หรือ KEIJIDOSHA (เคจิโดฉะ) ในเวลานั้น โดยใช้เครื่องยนต์ความจุ 360 ซีซี 2 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหน้า ตัวรถมีความยาวเพียง 2.99 เมตร เท่านั้น (สั้น และแคบกว่า MINI MK1) แต่มีความเร็วสูงสุดถึง 100 กม./ชม. SUZULIGHT คันนี้ได้รับอิทธิพลการออกแบบมาจาก LLOYD 400 (ลอยด์ 400) รถยนต์ขนาดเล็กสัญชาติเยอรมัน
สำหรับ SUZULIGHT น่าจะถือเป็นบิดาของตระกูลรถเล็กของค่าย เพราะไม่ว่าจะเป็นรุ่น FRONTE (ฟรอนเต) หรือ ALTO (อัลโต) ต่างยึดมั่นแนวคิดการผลิต “รถยนต์ขนาดเล็กเพื่อมวลชน” มาจนถึงทุกวันนี้
แม้ธุรกิจรถยนต์ของพวกเขาจะเน้นไปที่รถเล็ก แต่กับธุรกิจรถจักรยานยนต์นั้นกลับแตกต่างออกไป เพราะรถจักรยานยนต์ SUZUKI โด่งดังในเรื่องสมรรถนะที่จัดจ้าน โดยตระกูลของรถจักรยานยนต์ที่ยังคงโด่งดังอยู่ในทุกวันนี้ คือ เจ้านกเหยี่ยว เจ้าแห่งความเร็ว SUZUKI HAYABUSA (ซูซูกิ ฮายาบูสะ) โดยเมื่อคราวเปิดตัวครั้งแรกในปี 1999 ก็คว้าตำแหน่งรถจักรยานยนต์ประเภทพโรดัคชันที่เร็วที่สุดในโลกไปครองทันที ด้วยความเร็วปลายกว่า 312 กม./ชม. และในปี 2011 มันได้ถูกติดตั้งเทอร์โบ พร้อมทูนให้แรงเป็นพิเศษ เพื่อส่งไปสร้างสถิติโลกสำหรับรถจักรยานยนต์ และทำความเร็วได้ถึง 502 กม./ชม. ปัจจุบัน “HAYABUSA” รุ่นพโรดัคชัน ถูกพัฒนาออกมาเป็นยุคที่ 3 โดยใช้เครื่องยนต์แบบ 4 สูบแถวเรียง 4 จังหวะ ระบายความร้อนด้วยน้ำ ความจุ 1,340 ซีซี ไม่มีระบบอัดอากาศ ให้กำลัง 190 แรงม้า และได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ชื่นชอบเครื่องยนต์แรงม้าสูง และน้ำหนักเบา โดยรถสปอร์ทหลายรุ่นได้เลือกใช้ขุมพลัง HAYABUSA อาทิ RADICAL SR1 (เรดิคอล เอสอาร์ 1) และ CATERHAM 7 (แคเทอร์แฮม 7) เป็นต้น
อันดับ 3 แต่มีชื่อเสียงที่สุด คือ HONDA แม้ตามประวัติศาสตร์จะมีอายุน้อยที่สุด โดยเริ่มต้นก่อตั้งบริษัทผลิตรถจักรยานยนต์ขึ้นหลังสงครามโลก ครั้งที่ 2 โดยก่อนหน้าจะเริ่มต้นธุรกิจนี้ “โซอิจิโร ฮอนดา” ผู้ก่อตั้ง มีธุรกิจผลิตแหวนลูกสูบส่งให้แก่โรงงานของ TOYOTA รวมถึงเข้าไปมีส่วนร่วมกับบริษัทชั้นนำต่างๆ ยุคก่อนสงคราม อาทิ บริษัทผลิตเครื่องบินนากาจิมา ที่ต่อมากลายมาเป็น SUBARU (ซูบารุ) ทำให้โซอิจิโรได้รู้จักกับวิศวกรที่มีฝีมือจำนวนไม่น้อย และเมื่อสงครามจบลง เขาได้เริ่มต้นงานผลิตเครื่องยนต์สำหรับรถจักรยานยนต์ขึ้นจากชิ้นส่วนที่พอจะหาได้
ด้วยคนเพียง 12 คน ทำงานกันในพื้นที่เล็กๆ ขนาด 16 ตารางเมตร หรือครึ่งเดียวของห้องคอนโดแบบสตูดิโอในทุกวันนี้ พวกเขาได้ผลิตรถจักรยานพ่วงเครื่องยนต์เหมือนกับ SUZUKI โดยใช้เครื่องยนต์ความจุ 50 ซีซี ที่ดัดแปลงจากเครื่องปั่นไฟได้ถึง 500 คัน และเมื่ออะไหล่หมดลง เขาก็เริ่มผลิตเครื่องยนต์ขึ้นมาเอง เพื่อขายให้ลูกค้านำไปติดตั้งกับรถจักรยานของพวกเขา เครื่องยนต์ที่ผลิตขึ้นมานี้ชื่อว่า เครื่องยนต์ HONDA A TYPE
กิจการของเขาขยับขยายไปเรื่อยๆ จนในปี 1949 ก็ได้ก่อตั้งเป็น HONDA MOTOR อย่างเป็นทางการ พร้อมเปิดตัวรถจักรยานยนต์อย่างเต็มรูปแบบ โดยมีการพัฒนาทั้งเฟรม และเครื่องยนต์ ในชื่อ D-TYPE หรือ DREAM (ดรีม)
ความมุ่งมั่นในการพัฒนาด้านวิศวกรรมของ HONDA ประสบผลสำเร็จในที่สุด เมื่อรถจักรยานยนต์ของเขาคว้าตำแหน่งแชมพ์โลก ในคลาสส์ 125 และ 250 ซีซี ในปี 1961 และช่วยทำให้ HONDA ขึ้นแท่นผู้ผลิตรถจักรยานยนต์รายใหญ่ที่สุดในโลก ในปี 1964
ส่วนธุรกิจรถยนต์ของพวกเขา เริ่มต้นในปี 1963 กับรถกระบะขนาดจิ๋วพิกัด KEIJIDOSHA 360 ซีซี ในชื่อ HONDA T360 (ฮอนดา ที 360)
ส่วนรถรุ่นที่ 2 ที่ผลิตออกมาในเวลาใกล้เคียงกัน คือ รถสปอร์ทขนาดเล็ก HONDA S500 (ฮอนดา เอส 500) ที่รูปลักษณ์กลมกล่อมลงตัวในสไตล์รถเปิดประทุนขนาดเล็กจากยุโรป แต่ซ่อนผลงานทางวิศวกรรมที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรถจักรยานยนต์ โดยส่วนที่เห็นได้ชัดที่สุด คือ การออกแบบระบบรองรับกับระบบส่งกำลัง เพราะแทนที่จะต่อเพลาตรงสู่ล้อ วิศวกรกลับเลือกใช้ระบบรองรับแบบอิสระ พร้อมโซ่ส่งกำลังแยกอิสระระหว่างล้อซ้าย-ขวา
ปัจจุบัน HONDA ในส่วนรถจักรยานยนต์ และรถยนต์ ใช้ตราสินค้า หรือโลโกแตกต่างกัน โดยของรถจักรยานยนต์จะใช้รูปปีกนก ส่วนของรถยนต์จะใช้ตัวอักษรย่อ “H” และนอกจากรถจักรยานยนต์ และรถยนต์แล้ว พวกเขายังผลิตเครื่องยนต์สันดาปภายในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ขนาดเล็กสำหรับเครื่องตัดหญ้า เครื่องปั่นไฟ เครื่องยนต์เรือ ไปจนกระทั่งเครื่องยนต์เจท ถือว่าเป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์ที่มีหน่วยการผลิตสูงที่สุดในโลกราว 14 ล้านหน่วย/ปี
3 ค่ายนี้เป็น “ขาใหญ่” ผลิตทั้ง 2 ล้อ และ 4 ล้อ ยังมีค่ายอื่นๆ อีก ซึ่งจะนำมาเล่าในโอกาสต่อไป