เรื่องเด่นจาก GADGET/HOW IT WORKS
หนทางสู่อนาคตของรถยนต์ไร้คนขับ
ต่อไปนี้ รถยนต์จะขับเคลื่อนตัวเองได้โดยปราศจากผู้ขับขี่รถยนต์ไร้คนขับจะนำเราไปสู่อนาคตที่ปราศจากคนขับรถแทกซี และอาจไม่ต้องมีใครลำบากขับรถในเวลากลางคืนอีกต่อไป บริษัทผู้ผลิตรถยนต์หลายราย เช่น เลกซัส บีเอมดับเบิลยู และเมร์เซเดส-เบนซ์ กำลังพัฒนา และปรับปรุงเทคโนโลยี เพื่อชิงเปิดตัวรถยนต์ไร้คนขับเชิงพาณิชย์เป็นเจ้าแรก ปัจจุบัน รถยนต์ไร้คนขับยังคงปรากฏให้เห็นในภาพยนตร์แนวไซไฟเท่านั้น แต่เร็วๆ นี้ เราจะได้เห็น BATMOBILE บนถนนจริงกันแล้ว โดย เทสลา คาดว่า รถยนต์ของเขาจะเป็น รถยนต์ไร้คนขับที่สมบูรณ์แบบ และใช้งานได้จริงก่อนสิ้นปีหน้า แม้รถยนต์ไร้คนขับจะดูเป็นเรื่องของอนาคต แต่จากการค้นคว้า เราพบว่า รถยนต์ชนิดนี้เคยถูกสร้างมาแล้วตั้งแต่ปี 1500 ด้วยแนวคิดที่เรียบง่าย ข้อจำกัดที่ไม่ซับซ้อน และไม่ต้องมีมาตรการด้านความปลอดภัยมากมาย ลีโอนาร์โด ดาวินซี ก็ยังเคยออกแบบรถลากที่เคลื่อนที่ได้ด้วยตัวเองไว้เช่นกัน ซึ่งรถลากนี้อาจนับได้ว่าเป็นหุ่นยนต์ตัวแรกของโลก เนื่องจากมันสามารถเคลื่อนที่ได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องผลัก หรือดึง การเลี้ยวถูกตั้งค่าไว้ล่วงหน้าอยู่แล้วตามเส้นทางของมัน และวิธีการสร้างไม่ได้แตกต่างจากรถยนต์แห่งอนาคตของเรามากนัก หลายปีต่อมา ในปี 1933 มีการพัฒนาระบบ AUTOPILOT ทำให้เครื่องบินสามารถบินเองได้เป็นระยะเวลานาน YANDEX ทดลองรถยนต์ไร้คนขับกว่า 100 คัน ที่ประเทศรัสเซีย โดยควบคุมด้วยการสัมผัส รู้หรือไม่ ? รถยนต์ไร้คนขับสามารถควบคุมด้วยรีโมทจากระยะไกล ดังนั้น คุณไม่จำเป็นต้องหาที่จอดรถใกล้เคียงอีกเลย นิสสัน ตั้งเป้าหมายว่าจะเปิดตัวรถยนต์ไร้คนขับในปี 2020 ซึ่งคุณสามารถเลือกได้ว่าจะขับเองเมื่อใด ตัวอย่างการตกแต่งภายในของรถไร้คนขับ การควบคุมการจราจร บอกลาสภาวะการจราจรติดขัด เมื่อมีวิทยุสื่อสารที่จะบอกสถานการณ์เบื้องหน้าอย่างใกล้ชิด รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยตนเองสามารถสื่อสารกับรถยนต์คันอื่นได้ และมีปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็วกว่ามนุษย์ ไม่ว่าใครก็สามารถเป็นสาเหตุของการจราจรติดขัดได้ เพียงแตะเบรคเบาๆ เท่านั้น ก็จะเกิดผลทางพฤติกรรมต่อเนื่องไปถึงรถยนต์ที่อยู่ข้างหลัง ทำให้ทุกคันต้องแตะเบรคเช่นเดียวกัน นักวิทยาศาสตร์เปิดเผยว่า ยานพาหนะไร้คนขับสามารถใช้เชื้อเพลิง และระยะเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าทำให้ระบบการจราจรคล่องตัวมากกว่าถึง 35 % เพียงใช้รถยนต์ไร้คนขับไม่กี่คัน ผลที่ออกมาก็แสดงถึงความเร็วรถโดยเฉลี่ยรอบด้านที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม มันอาจต้องใช้เวลาสักระยะก่อนที่เราจะได้เห็นการใช้งานอย่างจริงจัง บางคนเชื่อว่า เราต้องรอให้มีรถยนต์ไร้คนขับเต็มถนนเสียก่อน จึงจะเห็นความแตกต่างชัดเจน ระดับการขับเคลื่อนด้วยตัวเอง เริ่มตั้งแต่ระดับต้องใช้มือจับพวงมาลัย จนกระทั่งสามารถปล่อยมือได้อย่างไร้กังวล ระดับ 0 จับเต็มมือ เหมือนกับรถยนต์ทั่วไปบนท้องถนน ในระดับนี้ คนขับจะต้องควบคุมเองทั้งหมด ระดับ 1 ระบบช่วยเหลือคนขับ ในระดับนี้ ระบบอัตโนมัติจะช่วยเหลือเพียงส่วนเดียวเท่านั้น เช่น ควบคุมการเลี้ยว ความเร็ว หรือการเบรค ระดับ 2 ควบคุมทิศทาง และเร่งความเร็ว ใช้ระบบอัตโนมัติบางส่วน หมายถึง รถยนต์สามารถเคลื่อนที่เองได้ แต่ต้องการคนบังคับควบคุม ระดับ 3 ตรวจจับสภาวะแวดล้อม ยานพาหนะเริ่มตรวจสอบสภาพแวดล้อมขณะขับเคลื่อนได้เอง แต่ยังต้องการมนุษย์ควบคุมทันทีที่ระบบล่ม ระดับ 4 ขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับสูง รถยนต์สามารถตอบสนองต่อสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นได้ ยานพาหนะจะสามารถจัดการระบบขับเคลื่อนได้ทุกอย่าง แต่ยังคงต้องการมนุษย์ในการควบคุม ระดับ 5 ขับเคลื่อนอัตโนมัติเต็มรูปแบบ มนุษย์ไม่ต้องควบคุมรถอีกต่อไป เนื่องจากมันมีความสามารถสูง พอจะจัดการสถานการณ์ต่างๆ ได้เอง ส่วนประกอบสำคัญ แต่ละส่วนของรถมีบทบาทสำคัญในการควบคุมทิศทาง และภารกิจด้านความปลอดภัย ซึ่งส่วนใหญ่ควบคุมโดยมนุษย์ กล้องวีดีโอ ข้อมูลที่กล้องบันทึกได้จะถูกส่งไปยังหน่วยประมวลผลอันทรงพลังที่จะคอยสแกนรูปและระบุสิ่งต่างๆ ที่อยู่บริเวณโดยรอบ คอมพิวเตอร์ส่วนกลาง เปรียบเสมือนสมองของรถยนต์ จะรับข้อมูลจากเซนเซอร์ต่างๆ และควบคุมการเคลื่อนที่ของรถ LIDAR ระบบตรวจด้วยแสง และจัดระเบียบ เป็นส่วนที่ช่วยให้รถยนต์มองเห็นสิ่งต่างๆ เช่น เส้นแบ่งเลน และบาทวิถี เพื่อให้เคลื่อนที่ด้วยความปลอดภัยในพื้นที่ของตัวเอง GPS (GLOBAL POSITIONING SYSTEM) ระบบที่จะบอกตำแหน่งของรถยนต์ได้อย่างแม่นยำในระยะ 1.9 เมตร ระบบป้องกันอุบัติเหตุ ระบบแจ้งเตือนเมื่อเรดาร์ตรวจพบบางอย่างในจุดที่รถยนต์มองไม่เห็น เซนเซอร์อุลทราโซนิค ติดตั้งใกล้กับพื้น และส่งคลื่นความสั่นสะเทือน เพื่อตรวจจับวัตถุ และระบุตำแหน่งว่าห่างจากขอบทางเดินเพียงใด เซนเซอร์เรดาร์ ตรวจจับตำแหน่งของวัตถุที่อยู่ใกล้ๆ ป้องกันไม่ให้รถชน หรืออยู่ใกล้กับวัตถุนั้นมากเกินไป รถยนต์ไร้คนขับ มองเห็นได้อย่างไร ? ไม่ใช่แค่มองเห็นได้ แต่ผู้ผลิตอ้างว่า รถยนต์มองเห็นได้ดีกว่าเราเสียอีก กล้อง ตรวจจับเส้นแบ่งช่องจราจร อ่านสัญลักษณ์บนถนน เห็นเฉพาะจุดที่พระอาทิตย์ หรือแสงไฟสาดส่องเท่านั้น เรดาร์ เรดาร์จะตรวจสอบสภาพแวดล้อมรอบคันระยะหลายร้อยเมตร โดยใช้คลื่นวิทยุสะท้อน เพื่อตรวจจับความเร็ว และทิศทางของวัตถุ ตรวจด้วยแสง ระบบจะปล่อยลำแสงออกไปกระทบกับวัตถุทุกวินาที สามารถตรวจจับได้แม้ในช่วงกลางคืน รู้หรือไม่ ? ผลการช่วยเหลือชีวิตมนุษย์จากรถยนต์ไร้คนขับนั้นเทียบเท่ากับวัคซีนสมัยใหม่ "เครื่องมือวัดการหมุนวน ยังมีบทบาทสำคัญในเทคโนโลยียานยนต์ไร้ คนขับ" โดยไม่ต้องมีคนนำร่องคอยควบคุมตลอดเวลา SPERRY GYROSCOPE CO. เป็นบริษัทแรกที่ออกแบบระบบ AUTOPILOT ตัวต้นแบบ และไกโรสโกพยังคงมีบทบาทสำคัญในเทคโนโลยียานพาหนะไร้คนขับ ก้าวแรกที่สำคัญในการพัฒนาความปลอดภัยของรถยนต์ไร้คนขับเกิดขึ้นในปี 1987 เมื่อวิศวกรชาวเยอรมัน ERNST DICKMANNS ติดตั้งกล้องหลายตัว และโมดูลประมวลผลขนาดเล็ก 60 ชิ้นในรถยนต์ขนาดใหญ่ เพื่อตรวจจับสิ่งกีดขวางบนถนน ทั้งด้านหน้า และด้านหลังของยานพาหนะ ระบบถูกตั้งไว้ให้โฟคัสเฉพาะวัตถุที่กีดขวางทาง รถยนต์ไร้คนขับใช้ระบบนี้เพื่อตรวจสอบให้มั่นใจว่า เมื่ออยู่บนถนน รถจะสามารถรับรู้ถึงสิ่งที่เป็นอันตราย และป้องกันอุบัติเหตุจากการชนได้ อย่างไรก็ตาม หลังจากเหตุการณ์ที่คนเดินบนทางเท้าถูกรถยนต์ไร้คนขับของ UBER ชนเสียชีวิตในปี 2018 ก็มีคำถามเกิดขึ้นว่า เมื่อไรเทคโนโลยีใหม่นี้จะมีความปลอดภัยมากพอ เพราะแม้พวกเขาจะเชื่อมั่นว่าตัวรถมีศักยภาพในการป้องกันอุบัติเหตุที่เกิดจากความผิดพลาดของมนุษย์ แต่เมื่อใดที่รถยนต์แบบควบคุมด้วยมนุษย์ กับแบบไร้คนขับ ถูกใช้งานร่วมกัน และเกิดเหตุที่ทั้ง 2 ฝ่ายไม่คาดคิด เมื่อนั้น ความเป็นไปได้ที่จะเกิดการปะทะก็มากขึ้นตามไปด้วย ปัจจุบัน ยานพาหนะแห่งอนาคตที่เกือบจะได้ทดสอบก็ใช้ระบบ AUTOPILOT แบบที่ เทสลานำมาใช้กับรถของตนในปี 2015 อย่างไรก็ตาม ตัวช่วยนี้เหมาะสำหรับการเดินทางบนมอเตอร์เวย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลางคืน ซึ่งเป็นเวลาดีสุดที่คุณจะสัมผัสได้ถึงอิสระที่รถยนต์ไร้คนขับมอบให้ ส่งสินค้าโดยหุ่นยนต์รถแวน ความก้าวหน้าล่าสุดของยานพาหนะอัตโนมัติคือ การที่หุ่นยนต์สามารถนำสินค้าที่คุณสั่งออนไลน์ไปส่งให้ถึงบ้าน ตัดความวุ่นวายกับคนส่งของไปโดยปริยาย บริษัทสตาร์ทอัพสัญชาติจีน NEOLIX ได้คิดค้นหุ่นยนต์รถแวน เป็นยานพาหนะสำหรับส่งสินค้ากว่า 100 คัน และทดลองใช้จริงบนถนนสาธารณะทั่วประเทศจีน มันมีหน้าตาเหมือนรถแวนเล็กๆ หุ่นยนต์รถแวนหน้าตาเหมือนรถแวนเล็กๆ ราคาเท่ากับรถธรรมดา สามารถบรรจุสินค้าได้มาก และเหมาะจะใช้งานทั้งกลางวัน กลางคืน ลูกค้าสามารถติดตามรถแวนผ่านแอพพลิเคชันได้ ข้อจำกัดมีอย่างเดียวที่บริษัทกำลังทำงานหนักเพื่อแก้ไขอยู่ คือ การรับมือกับสินค้าที่ไม่มีผู้รับ ซึ่งระบบลอคเกอร์ และหุ่นยนต์เดินได้เป็น ไอเดียที่จะถูกทำการทดสอบต่อไป เรามั่นใจว่า รถยนต์ไร้คนขับคือ อนาคตของเรา NEOLIX เริ่มผลิตหุ่นยนต์รถแวนสำหรับจัดส่งสินค้าครั้งยิ่งใหญ่แล้ว ยุครถยนต์ไร้คนขับใกล้เข้ามาแล้ว 39.5 % คือ การเพิ่มขึ้นของอุตสาหกรรมรถยนต์ไร้คนขับทั่วโลกใน 1 ปี 33 ล้าน คือ จำนวนการจำหน่ายรถยนต์ไร้คนขับภายในปี 2040 50+ คือ จำนวนรถยนต์ไร้คนขับของ GOOGLE บนถนน 90 % คือ คาดว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจะลดลง เมื่อใช้รถยนต์ไร้คนขับในอนาคต 40+ คือ จำนวนของผู้ผลิตรถยนต์ และชิ้นส่วนที่ประกาศว่ากำลังผลิตรถยนต์ไร้คนขับ 10 วินาที คือ ระยะเวลาที่ใช้ หากคุณต้องการกลับมาควบคุมรถยนต์ด้วยตัวเองโดยสมบูรณ์ 257 กิโลเมตร/ชั่วโมง คือ ความเร็วที่รถยนต์ไร้คนขับสามารถวิ่งได้ ขณะทดสอบอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ไร้คนขับส่วนใหญ่จะเป็นการถูกชนจากด้านหลัง ระบบปัญญาประดิษฐ์ของรถยนต์ไร้คนขับอาจตัดสินใจที่จะเสี่ยงเลือกความปลอดภัยของสิ่งอื่นจากด้านนอก มากกว่าความปลอดภัยของผู้โดยสารภายในรถ ระบบตรวจด้วยแสงจะหมุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำหน้าที่เสมือนเป็นนัยน์ตาของรถยนต์ ให้มุมมองของถนนครอบคลุม 360 องศา
ABOUT THE AUTHOR
H
HOW IT WORKS
ภาพโดย : HOW IT WORKSนิตยสาร 399 ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2563
คอลัมน์ Online : เรื่องเด่นจาก GADGET/HOW IT WORKS