รถเก๋งแฮทช์แบคจากเมืองน้ำหอมอีกแบบหนึ่งที่นำมาบรรจุไว้ใน “ระเบียงรถใหม่” เดือนนี้ เป็นผลงานใหม่ล่าสุดของ DS AUTOMOBILES ( เดแอส เอาโตโมบิลส์) บริษัทผู้ผลิตรถยนต์หน้าใหม่ ที่แตกตัวออกจากค่ายต้นสังกัด คือ AUTOMOBILES CITROEN (เอาโตโมบิลส์ ซีตรอง) เมื่อปี 2014 เพื่อผลิตรถบางรุ่นโดยติดป้ายยี่ห้อ DS (เดแอส) ในลักษณะเดียวกับที่บริษัท GENESIS MOTORS (เจเนซิส มอเตอร์ส) แตกตัวออกจากค่าย HYUNDAI MOTOR COMPANY (ฮันเด มอเตอร์ คัมพานี) เมื่อปี 2015 เพื่อผลิตรถยี่ห้อ GENESIS (เจเนซิส) และบริษัท POLESTAR AB (โพลสตาร์ เอบี) แตกตัวจากยักษ์ใหญ่ยุโรปเหนือ VOLVO CARS (โวลโว คาร์ส์) เมื่อปี 2017 เพื่อผลิตรถติดป้ายยี่ห้อ POLESTAR (โพลสตาร์)ก่อนการปรากฏตัวของรถรุ่นใหม่นี้ ค่าย DS AUTOMOBILES ผลิตรถออกสู่ตลาดรวม 3 อนุกรม คือ รถเก๋งซีดานขนาดใหญ่ DS 9 (เดแอส 9) ซึ่งมีทั้งโมเดลที่ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน และโมเดลที่ติดตั้งระบบขับไฮบริดชนิดต้องเสียบปลั๊ก รถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์ขนาดเล็กกว่าเล็กกะทัดรัด DS 3 CROSSBACK (เดแอส 3 ครอสส์แบค) ซึ่งมีทั้งโมเดลที่ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน โมเดลที่ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล และโมเดลที่เป็นรถพลังไฟฟ้าล้วนๆ ไม่มีการติดตั้งเครื่องยนต์ใด กับรถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์ขนาดเล็กกะทัดรัด DS 7 CROSSBACK (เดแอส 7 ครอสส์แบค) ซึ่งมีทั้งโมเดลที่ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน โมเดลที่ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล และรถไฮบริดชนิดต้องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ ส่วนรถรุ่นล่าสุดที่กำลังอวดโฉมอยู่นี้ เพิ่งเปิดตัวเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2021 และต้องรอจนถึงไตรมาสสุดท้ายของปีจึงจะเริ่มออกโชว์รูมในเมืองน้ำหอมกับอีกหลายประเทศในยุโรป เป็นรถเก๋ง 5 ประตูแฮทช์แบคขนาดเล็กกะทัดรัด ที่มีส่วนท้ายคล้ายรถคูเป และมีรูปลักษณ์ในหลายจุดที่ทำให้เกิดความรู้สึกว่าน่าจะเป็นรถกิจกรรมกลางแจ้งไม่ใช่รถเก๋ง ตัวถังซึ่งยาว 4.40 ม. กว้าง 1.83 ม. และสูง 1.47 ม. ออกแบบ/พัฒนาโดยใช้พแลทฟอร์ม EMP2 (EFFICIENT MODULAR PLATFORM) ชุดเดียวกันกับรถ PEUGEOT 308 (เปอโฌต์ 308) รุ่นล่าสุดที่เพิ่งผ่านตาไป แต่มีการปรับเปลี่ยนในหลายจุดเพื่อให้สอดรับกับรถแบบนี้ เป็นรถที่บรรจุเทคโนโลยีอันก้าวล้ำนำสมัยไว้มากมาย ตัวอย่าง คือ LEVEL 2 AUTONOMOUS DRIVING หรือระบบขับด้วยตัวเองระดับ 2 และ ACTIVE SCAN SUSPENSION ซึ่งเป็นระบบมองไปข้างหน้า 5-25 ม. แล้วปรับความแข็ง ความอ่อนของระบบรองรับ (กันสะเทือน) ให้เหมาะกับสภาพถนนได้เองโดยอัตโนมัติ จะมีเครื่องยนต์ให้เลือก 4 ขนาด คือ เครื่อง PURETECH 130 ซึ่งเป็นเครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC 3 สูบเรียง 1,199 ซีซี 96 กิโลวัตต์/130 แรงม้า เครื่อง PURETECH 180 ซึ่งเป็นเครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,598 ซีซี 132 กิโลวัตต์/180 แรงม้า เครื่อง PURETECH 225 ซึ่งเป็นเครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,598 ซีซี 165 กิโลวัตต์/225 แรงม้า และเครื่อง BLUEHDI 130 ซึ่งเป็นเครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,499 ซีซี 96 กิโลวัตต์/130 แรงม้า เครื่องยนต์ทุกขนาดที่กล่าวนี้ ส่งกำลังสู่ล้อคู่หน้าผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ สำหรับคนรักรถที่อยากมีส่วนในการพิทักษ์สิ่งแวดล้อมก็มีทางเลือกให้ คือ ระบบขับ PLUG-IN HYBRID (พลัก-อิน ไฮบริด) หรือไฮบริดชนิดต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟแบทเตอรี ซึ่งใช้เครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,598 ซีซี 132 กิโลวัตต์/180 แรงม้า ทำงานร่วมกันกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 81 กิโลวัตต์/110 แรงม้า ระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ และแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน 12.4 กิโลวัตต์ชั่วโมง ได้กำลังสุทธิสูงสุด 165 กิโลวัตต์/225 แรงม้า เมื่อชาร์จไฟเต็ม และวัดตามมาตรฐาน WLTP รถจะวิ่งด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ได้ไกลกว่า 50 กม. ระบบขับล้อหน้าแบบไฮบริดที่ว่านี้ เป็นชุดเดียวกันกับระบบ HYBRID 180 ที่ติดตั้งในรถร่วมเครือ คือ PEUGEOT 308 DS 4