รู้ลึกเรื่องรถ
อากาศพลศาสตร์ หัวใจแห่งความเร็ว
“ความเร็ว” และ “การแข่งขัน” เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับสังคมมนุษย์มาช้านานนับหมื่นปี เรารู้สึกตื่นเต้น และเร้าใจกับการแข่งขันความเร็ว ไม่ว่าจะมาจากขาทั้ง 2 ข้างของเราเอง หรือจากพาหนะที่ขับ และขี่ ตั้งแต่ครั้งที่ยังใช้สัตว์เป็นพาหนะ มาจนถึงยุคที่เราแข่งขันกันด้วยยานพาหนะ ไม่ว่าจะเป็นบนผืนดิน ผืนน้ำ หรือผืนฟ้าสำหรับโลกการแข่งรถยนต์นั้น เริ่มรู้จักสิ่งที่เรียกว่า อากาศพลศาสตร์ เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 เมษายน 1899 นักแข่งรถชาวฝรั่งเศส CAMILLE JENATZY ได้นำรถ LA JAMAIS CONTENTE (ลา จาเมส กงตงต์) หรือแปลเป็นไทยว่า “ไม่พอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่” (NEVER SATISFIED) รูปทรงเหมือนลูก RUGBY (บ้างก็ว่าเหมือน ซิการ์ หรือลูกระเบิดที่ทิ้งจากเครื่องบิน) โดยเป็นรถไฟฟ้าที่มีมอเตอร์ขนาด 35.5 แรงม้า จำนวน 2 ตัว ใช้พลังงานจากแบทเตอรี 200 โวลท์ กระแส 124 แอมแปร์ ได้ทำสถิติความเร็วถึง 105.88 กม./ชม. และเป็นรถที่สามารถทำความเร็วได้เกิน 100 กม./ชม. เป็นครั้งแรก ก่อนจะถูกโค่นสถิติลงโดยรถพลังไอน้ำ ในปี 1902 ที่ทำความเร็วสูงสุด 120.80 กม./ชม. แต่สถิตินี้ก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะโดนรถเครื่องยนต์สันดาปภายใน ของ WILLIAM K.VANDERBILT เฉือนเอาชนะไปได้ในปีเดียวกัน ชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด คือ 120.83 กม./ชม. จากนั้นอีกกว่าครึ่งศตวรรษ สถิติความเร็วบนพื้นดินก็เป็นของเครื่องยนต์สันดาปภายในมาตลอด จะมียกเว้นบ้างในกรณีรถพลังไอน้ำ STANLEY STEAMER (สแตนลีย์ สตีเมอร์) ที่ทำสถิติความเร็ว 195.65 กม./ชม. ในปี 1905 และครองสถิตินี้ได้นานถึง 4 ปี ส่วนในปัจจุบัน รถเครื่องยนต์สันดาปภายในที่เร็วที่สุด คือ RAILTON MOBIL SPECIAL (เรียลทัน โมบิล สเปเชียล) รถรูปทรงหยดน้ำ 2 เครื่องยนต์ ทำสถิติความเร็วสูงสุด 634.39 กม./ชม. ในปี 1947 ส่วนความเร็วที่เหนือขึ้นไปจากนั้น ล้วนมาจากรถที่ใช้เครื่องยนต์เจท (พลังจรวด) ทั้งสิ้น นักออกแบบ และวิศวกร ต่างรู้ดีว่า ถ้าต้องการความเร็วสูง ต้องทำให้รถสามารถแหวกอากาศได้ดีที่สุด นั่นคือ ต้องจำลองรูปทรงของหยดน้ำให้ได้ดีที่สุดนั่นเอง แต่ก็ประนีประนอมให้มีพื้นที่ใช้สอยพอเหมาะด้วย โดยตัวอย่างของรถคันแรกๆ ที่พยายามใช้แนวคิดนี้ก็คือ TROPFENWAGEN (ทโรพเฟนวาเกน) ในปี 1924 ที่มีรูปทรงหยดน้ำเห็นได้ชัดหากมองจากด้านบน และด้วยการทดสอบในอุโมงค์ลมของ VOLKSWAGEN (โฟล์คสวาเกน) เมื่อไม่นานมานี้พบว่า รถคันนี้ มีสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศเพียง 0.28 เท่านั้น ซึ่งถือว่าดีเยี่ยม แม้จะเทียบกับรถยุคปัจจุบัน แต่ต่อมาภายหลังพวกเขาได้พบว่า การแหวกอากาศได้ดีเพียงอย่างเดียวนั้น ไม่พอเพียง เพราะรถยนต์ต้องมีเสถียรภาพ และยึดติดกับพื้นถนนด้วย ซึ่งปัจจุบันเราเรียกเรื่องนี้ว่า DOWNFORCE (ดาวน์ฟอร์ศ) โดยรถคันแรกที่ทำให้เรื่องนี้เป็นที่ประจักษ์ คือ รถพลังจรวด OPEL RAK 2 (โอเพล แรค 2) ในปี 1928 โดยเป็นรถคันแรกที่มีการติดปีกด้านข้างของรถ ปีกนี้สร้างแรงกดให้รถแนบสนิทไปบนพื้นถนน เพื่อที่รถพลังจรวดซึ่งใช้เชื้อเพลิงแข็ง 24 ลูกคันนี้ จะได้ไม่ทะยานเหินหาวขึ้นฟ้าไปขณะทำความเร็วสูงสุด 238 กม./ชม. นวัตกรรมเรื่องปีกสร้างแรงกดนี้ หลังจากที่ได้เห็นกันใน OPEL RAK 2 แล้ว ก็ไม่มีใครนำมาใช้อีกเลย กระทั่งอีก 37 ปีต่อมา รถแข่ง CHAPARRAL 2C (แชพาร์แรล 2 ซี) ปี 1965 ได้ออกแบบให้มีหางหลังที่ปรับองศาเพื่อสร้างแรงกดด้านท้ายตามความต้องการ แนวคิดในการออกแบบรถแข่งจึงเปลี่ยนไป ทุกวันนี้เราได้เห็นการใช้ “อากาศ” มาเป็นส่วนหนึ่งในการออกแบบตัวรถ ทั้งในด้านการลดแรงต้านเพื่อให้ประหยัด และทำความเร็วได้สูงขึ้น อีกด้านหนึ่งก็ใช้อากาศเพื่อสร้างแรงกดให้รถสามารถเกาะติดกับพื้นถนนได้ดีกว่าเดิมที่อาศัยแรงยึดเกาะจากยางเพียงอย่างเดียว DOWNFORCE นั้นสามารถสร้างขึ้นจากอะไรได้บ้าง ? ในอดีตแทบจะไม่มีใครสนใจเรื่องแรงกดสักเท่าไร นักออกแบบ และวิศวกรให้ความสนใจไปที่การลดแรงต้านอากาศเป็นหลัก ส่วนหนึ่งนั้นชัดเจนว่า รถที่มีความลู่ลมล้วนแล้วแต่มีรูปทรงสวยงามน่าตื่นตาตื่นใจ จนกระทั่งในทศวรรษที่ 60 ที่ความรู้เรื่องแรงกดทางอากาศพลศาสตร์เข้ามามีผลต่อการออกแบบรถแข่ง ทำให้ “ปีก” กลายเป็นสัญลักษณ์ของรถสมรรถนะสูงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา



ABOUT THE AUTHOR
ภ
ภัทรกิติ์ โกมลกิติ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2564
คอลัมน์ Online : รู้ลึกเรื่องรถ