ลำดับที่ 2 ของรถเก๋งซีดาน หรือรถเก๋งซาลูนขนาดใหญ่ที่นำเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังใน “ระเบียงรถใหม่” เดือนนี้ เป็นผลงานของ DS AUTOMOBILES (เดแอส เอาโตโมบิลส์) ผู้ผลิตรถยนต์ “เหล้าเก่าในขวดใหม่” ของเมืองน้ำหอม เป็นรถสายพันธุ์ฝรั่งเศสที่ไม่ได้ผลิตในฝรั่งเศส แต่ประกาศแล้วว่าจะใช้โรงงานที่เมือง SHENZHEN (เซินเจิ้น) ในสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นที่ผลิต และเป็นรถใหม่ที่แทบจะกลายเป็นรถเก่าไปแล้ว เพราะเปิดตัวมานานกว่า 1 ปี แต่ก็ยังไม่มีคนรักรถคนใดในเมืองน้ำหอมมีโอกาสได้ขับรถแบบนี้DS AUTOMOBILES ที่กล่าวข้างต้น เป็นผู้ผลิตรถยนต์หน้าใหม่ที่เพิ่งแยกตัวจากบริษัทรถยนต์เก่าแก่และรู้จักกันดีทั่วยุโรป คือ AUTOMOBILES CITROEN เอาโตโมบิลส์ ซีตรอง) เมื่อกลางปี 2014 เพื่อผลิตรถยนต์ติดป้ายยี่ห้อ DS (เดแอส) ออกจำหน่ายเองเป็นเอกเทศ ตามข้อมูลเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่เพิ่งผ่านพ้นไป ค่ายใหม่นี้มีรถให้ลูกค้าในฝรั่งเศส และอีกหลายประเทศในยุโรป เลือกใช้รวม 4 อนุกรม คือ รถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์ DS 3 CROSSBACK และ DS 7 CROSSBACK ซึ่งมีทั้งรถติดตั้งเครื่องยนต์สันดาปภายในล้วนๆ และรถไฮบริดชนิดต้องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟกับรถเก๋ง DS 4 และ DS 9 ซึ่งก็มีทั้งรถติดตั้งเครื่องยนต์สันดาปภายในล้วนๆ และรถไฮบริดชนิดต้องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟเช่นกัน อย่างไรก็ตาม การซื้อรถเหล่านี้มีข้อแม้ กล่าวคือ รถ 2 อนุกรมแรก เมื่อซื้อรถก็จะได้รถเลยไม่ต้องรอนาน แต่รถ 2 อนุกรมหลัง ซื้อแล้วต้องรอจนเกือบสิ้นปีวัวจึงจะได้รถ เฉพาะรถ DS 9 (เดแอส 9) ซึ่งเป็นรถขนาดใหญ่ที่สุด และเป็นรถธงของค่ายนี้ แรกเริ่มเดิมทีมีกำหนดปรากฏตัวแบบ “ครั้งแรกในโลก” ที่งานมหกรรมยานยนต์เซี่ยงไฮ้ในเดือนเมษายน 2019 แต่มีเหตุให้ต้องเลื่อนกำหนดการเดิม เป็นการเปิดตัวที่งานมหกรรมยานยนต์กวางโจวตอนปลายปีเดียวกัน อย่างไรก็ตามมีเหตุให้ต้องเลื่อนอีก คราวนี้เลื่อนเป็นงานมหกรรมยานยนต์เจนีวา ครั้งที่ 90 ซึ่งมีกำหนดจัดตอนต้นเดือนมีนาคม 2020 แต่ก็ทำไม่ได้อีก เพราะงานถูกยกเลิกไปเนื่องจากปัญหาไวรัสโคโรนา การเปิดตัวรถรุ่นสำคัญอนุกรมนี้จึงต้องกระทำโดยวิธีออนไลน์ เป็นรถขนาดกลางค่อนข้างใหญ่ อย่างที่เรียกกันในยุโรปว่า E-SEGMENT EXECUTIVE CAR และเป็นรถระดับเดียวกันกับรถที่ผู้คนทั่วโลกคุ้นเคยกันดีอย่าง AUDI A6 (เอาดี เอ 6) BMW 5-SERIES (บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-5) และ MERCEDES-BENZ E-CLASS (เมร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาสส์) ตัวถังซึ่งยาว 4.934 ม. กว้าง 1.932 ม. และสูง 1.460 ม. มีช่วงฐานล้อที่ยาวถึง 2.895 ม. ส่งผลให้มีห้องโดยสารที่ค่อนข้างกว้างขวาง ผู้โดยสารบนเบาะหลังนั่งยืดแข้งยืดขาได้สบายเหมือนนั่งอยู่ในเลาจ์น์ไม่ใช่อยู่ในรถ เป็นห้องโดยสารที่มีให้เลือก 2 แบบ คือ ห้องโดยสาร 4 ที่นั่ง (2+2) กับห้องโดยสาร 5 ที่นั่ง (2+3) ทั้ง 2 แบบตกแต่งหรูหรา และเพียบไปด้วยอุปกรณ์อำนวยความสุขความสะดวก ตัวอย่างคือ เก้าอี้ที่นั่งที่ติดเครื่องทำความร้อน และเครื่องนวดไว้ด้วย กับระบบช่วยขับ หรือระบบขับด้วยตัวเองอย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า LEVEL 2 SEMI-AUTONOMOUS DRIVING เริ่มการจำหน่ายไปแล้ว และยืนยันว่าจะเริ่มการส่งมอบรถในเดือนกันยายนนี้ รถที่ทำไว้สำหรับตลาดยุโรปแบ่งการตกแต่ง/ติดตั้งอุปกรณ์เป็น 2 ระดับ กำกับด้วยรหัส PERFORMANCE LINE+ กับ RIVOLI+ และมีรถให้เลือก 3 โมเดลหลัก คือ DS 9 PURETECH 225 AUTOMATIC (เดแอส 9 เพียวเทค 225 ออโทแมทิค) รถขับล้อหน้าด้วยพลังของเครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,598 ซีซี 165 กิโลวัตต์/225 แรงม้า DS 9 E-TENSE 225 (เดแอส 9 อี-เทนส์ 225) รถขับล้อหน้าด้วยระบบขับไฮบริดชนิดต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ หรือ PLUG-IN HYBRID (พลัก-อิน ไฮบริด) ซึ่งใช้เครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,598 ซีซี 132 กิโลวัตต์/180 แรงม้า ทำงานร่วมกันกับมอเตอร์ไฟฟ้า 81 กิโลวัตต์/110 แรงม้า และแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน 11.9 กิโลวัตต์ชั่วโมง ชาร์จไฟเต็มแต่ละครั้ง จะวิ่งด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ได้ไกล 48 กม. (WLTP) พิเศษสุด คือ รถโมเดลที่ 3 DS 9 E-TENSE 4x4 360 (เดแอส 9 อี-เทนส์ 4x4 360) ซึ่งค่าตัวรวมภาษีมูลค่าเพิ่มเริ่มต้นที่ระดับ 66,500 ยูโร หรือประมาณ 2.60 ล้านบาทไทย เป็นรถขับเคลื่อนทุกล้อ ด้วยระบบขับไฮบริดชนิดต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ ซึ่งใช้เครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินฉีดตรง ทำงานร่วมกันกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ชุด และระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ได้กำลังสูงสุด 265 กิโลวัตต์/360 แรงม้า ส่วนอุปกรณ์ป้อนพลังไฟฟ้าเป็นแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน ขนาดความจุ 11.9 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งเมื่อชาร์จไฟเต็ม และวัดตามมาตรฐาน WLTP รถจะวิ่งได้ไกล 47 กม. เป็นรถที่อย่าคาดหวังเลย ว่าจะได้พบได้เห็นตามท้องถนนในเมืองไทย DS 9 E-TENSE 4x4 360