• แคมเปญรถยนต์ไฟฟ้า ต้องยอมรับว่า แคมเปญอุดหนุนของภาครัฐทำให้มีคำสั่งซื้อรอส่งมอบจำนวนมาก แม้มีเพียง 2 ค่ายหลักเท่านั้นที่ร่วมทำ MOU คือ MG และ GWM (กเรท วอลล์ มอเตอร์) ซึ่งในความเป็นจริงนั้นครึ่งปีแรกมีการส่งมอบได้ไม่มาก แต่ตัวเลขหลักหมื่นคันพอจะการันตีได้แน่ว่า คนสนใจที่จะเปลี่ยนไปใช้รถ EV มากขึ้น และมีผลต่อการเติบโตของตลาดโดยรวม
• ผลกระทบจากสงคราม และปัญหาเซมิคอนดัคเตอร์ขาดแคลน ปัจจัยนี้ คือ ปัจจัยลบที่ควบคุมไม่ได้ และมีผลหลายอย่างมากต่อพฤติกรรมการใช้รถบ้านเรา สงครามระหว่างยูเครน และรัสเซีย ได้ส่งผลต่อราคาเชื้อเพลิงอย่างชัดเจน และยังได้ขยายวงกว้างไปซ้ำเติมการขาดแคลนเซมิคอนดัคเตอร์ สำหรับผลิตรถยนต์ทั่วโลก จากเดิมก็เกิดวิกฤตการณ์เซมิคอนดัคเตอร์ขาดแคลนทั่วโลกอยู่แล้ว เห็นว่า ค่าย GWM ในไทย ได้ประกาศยุติการจำหน่ายรถยนต์ ORA (ออรา) ชั่วคราวเพราะขาดชิพอย่างรุนแรง เดิมผู้เชี่ยวชาญประเมินว่าปัญหานี้ยังคงอยู่จนถึงประมาณสิ้นปี 2565 แต่ขณะนี้ความต้องการของตลาดรถยนต์มีมากขึ้น ประกอบกับมีการสู้รบในยุโรป เชื่อว่าปัญหาจะลากยาวไปถึงปี 2566 โน่นเลยทีเดียว
• ภาระหนี้ครัวเรือน และหนี้เสีย ธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า ในปี 2565 เชื่อว่าหนี้เสียยังมีทิศทางปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สถานการณ์นี้จะอยู่ยาวนาน แม้จะผ่อนปรนการจัดชั้นหนี้ไปถึงสิ้นปีหน้า และจากวิกฤตนี้เชื่อว่าลูกหนี้ก็คงไม่ได้รอดไปได้ทุกคน ซึ่งหมายความว่า ไฟแนนศ์รถยนต์ต้องเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อรถยนต์ใหม่แก่ลูกค้า ซึ่งอัตราการอนุมัติสำหรับการจัดไฟแนนศ์ ก็จะลดลงไปด้วย
อุตสาหกรรมรถยนต์มีความหวังไว้ว่า สิ้นปี 2565 ตลาดรถยนต์ไทยจะมียอดขาย 860,000 คัน ผ่านไตรมาสแรกแล้วเราไปกันได้สวยหรู ครึ่งปีหลังก็ผ่านมาแล้ว เหลือไตรมาส 3 และ 4 มาลุ้นกันว่ารถยนต์จะเดินฝ่าอุปสรรคไปสู่เป้าหมายปลายปีได้หรือไม่ บทความแนะนำ

