เป็นรถขนาดจิ๋ว อย่างที่เรียกกันในญี่ปุ่นว่า K-CAR (เค-คาร์) หรือ MINICAR (มีนีคาร์) ซึ่งเป็นรถได้รับสิทธิพิเศษด้านภาษีและนิยมใช้กันมากในประเทศนั้น ตัวถังทรงสองกล่อง 5 ประตู 4 ที่นั่ง ยาว 3.395 ม. กว้าง 1.475 ม. และสูง 1.655 ม. มีรัศมีวงเลี้ยวที่แคบเพียง 4.8 ม. มีห้องโดยสารที่นั่งได้สบายพอสมควร แต่มีห้องเก็บของท้ายรถที่จุเพียง 107 ลิตร ที่เหมาะกันมากกับคนชอบเลือกก็คือ มีสีตัวถังให้เลือกอย่างหลากหลายถึง 15 สี แยกเป็นสีเดี่ยว หรือ MONOTONE (โมโนโทน) 11 สี และเป็นสีคู่ หรือ TWO-TONE (ทู-โทน) 4 คู่สี
เป็นรถขับเคลื่อน 2 ล้อ ที่สามารถทำความเร็วสูงสุด 130 กม./ชม. ติดตั้งระบบขับซึ่งใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 47 กิโลวัตต์/64 แรงม้า ทำงานร่วมกันกับแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน ขนาดความจุ 20 กิโลวัตต์ชั่วโมง มีโหมดการขับให้เลือกรวม 3 แบบ คือ ECO-STANDARD-SPORT และเป็นรถ SINGLE PEDAL คือ มีคันบังคับด้วยเท้าอันเดียว กรณีชาร์จไฟเต็มและวัดตามมาตรฐาน WLTC JAPAN รถจะวิ่งได้ไกลถึง 180 กม. แบทเตอรีที่ว่านี้ ผู้ผลิตอวดว่าเป็นผลงานระดับ STATE-OF-THE-ART หรือ “สุดยอดงานศิลป์” และผ่านการพิสูจน์คุณภาพมาแล้วในรถพลังไฟฟ้าที่คนรักรถในประเทศไทยคุ้นเคยกันดี คือ NISSAN LEAF (นิสสัน ลีฟ) ใช้เวลา 8 ชั่วโมงเมื่อชาร์จไฟเต็ม 100 % ด้วยไฟบ้าน และลดเหลือเพียง 40 นาที เมื่อชาร์จไฟ 80 % แบบ QUICK CHARGE หรือเร่งด่วน
แยกโมเดลให้เลือกใช้ตามรสนิยมรวม 3 โมเดล คือ NISSAN SAKURA S-NISSAN SAKURA X-NISSAN SAKURA G ราคาค่าตัวเริ่มต้นที่ระดับ 2.33 ล้านเยน (ประมาณ 630,000 บาทไทย) แต่จะลดเหลือเพียง 1.78 ล้านเยน (ประมาณ 480,000 บาทไทย) เมื่อหักเงินชดเชยด้านพลังงานออกแล้ว ที่น่าสนใจมากและไม่เคยพบเคยเห็นกันมาก่อนในรถจิ๋วขนาดนี้ คือ ระบบช่วยขับ PROPILOT PARK SYSTEM (พโรไพลอท พาร์ค ซิสเตม) ซึ่งช่วยนำรถเข้าสู่ที่จอด โดยผู้ขับไม่ต้องใช้มือจับพวงมาลัยและไม่ต้องใช้เท้าเหยียบคันเร่ง 
