E-FUEL จะเข้ามาแทนที่ปิโตรเคมีได้...จริงไหม ?

เขาว่า… : พลังงาน E-FUEL จะเข้ามาแทนที่ปิโตรเคมีได้...จริงไหม ? จริง : หากทั้งโลกมองไปที่ CARBON NEUTRAL และมีการขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ทำให้ราคาถูกลง แต่ไม่ใช่ในเร็ววันนี้แน่นอน ดูจากหลักการนั้นยอดเยี่ยม หากแต่ราคาเชื้อเพลิงสังเคราะห์ในขั้นทดลองนี้ ยังสูงกว่าเชื้อเพลิงที่ได้จากการขุดเจาะร่วม 10 เท่า เพราะกว่าจะได้เชื้อเพลิงออกมาใช้ ต้องผ่านขั้นตอนมากมาย และกว่าจะทำให้ราคา E-FUEL ลดลงได้ จะต้องมีการขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นกว่าในปัจจุบัน ปัจจุบันมีการพัฒนาเชื้อเพลิงชนิดพิเศษที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีชื่อเรียกว่า E-FUEL (อี-ฟิวล์) หรือ ELECTROFUEL (อีเลคทรอฟิวล์) เป็นเชื้อเพลิงสังเคราะห์ที่ได้มาจากกระบวนการ PTL (POWER-TO-LIQUID) หรือการเปลี่ยนพลังงานให้กลายเป็นของเหลวด้วย “พลังงานไฟฟ้า” ที่ได้มาจากแหล่งพลังงานธรรมชาติ ทั้งจากกระแสลม กระแสน้ำ และแสงอาทิตย์ โดยถูกนำไปสังเคราะห์ให้เป็น น้ำมันเบนซิน หรือดีเซล ตามความต้องการ ซึ่งสามารถนำไปใช้กับเครื่องจักรที่มีอยู่แล้วในโลกของเราได้ทันที โดยไม่ต้องเพิ่งพาปิโตรเคมีที่ทำกันมากว่าร้อยปี ที่สำคัญมีความเป็นกลางทางคาร์บอน (CARBON NEUTRAL) ตั้งแต่ต้นทางยันปลายทาง ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และการปล่อยแกสเรือนกระจกได้มาก ดูจากหลักการนั้นยอดเยี่ยม หากแต่ราคาเชื้อเพลิงสังเคราะห์ในขั้นทดลองนี้ ยังสูงกว่าเชื้อเพลิงที่ได้จากการขุดเจาะร่วม 10 เท่า เพราะกว่าจะได้เชื้อเพลิงออกมาใช้ ต้องผ่านขั้นตอนมากมาย (ผมขอไม่ลงลึกในรายละเอียด เพราะจะยาวเกินคอลัมน์นี้ไป) และกว่าจะทำให้ราคา E-FUEL ลดลงได้ ต้องมีการขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นกว่าในปัจจุบันมาก และอีกข้อที่ถกเถียงกัน คือ ประสิทธิภาพในการ “สงวนพลังงาน” เนื่องจากพลังงานของเชื้อเพลิงสังเคราะห์ ที่ได้มาจากกระบวนแปรรูปไฟฟ้านับว่าต่ำมาก หากเปรียบเทียบกับการนำกระแสไฟฟ้าที่รับมาจากแสงอาทิตย์ไปสะสมไว้ในแบทเตอรี พูดให้เข้าใจเร็วๆ คือ พลังงานไฟฟ้า 100 % ที่เก็บเกี่ยวได้จากธรรมชาติ จะเหลือเป็นพลังงานสำหรับใช้ในการขับเคลื่อนเพียง 8 % เท่านั้น อย่างไรก็ตามเพราะ “เชื้อเพลิงแบบเหลว” ที่เราใช้กันทุกวันนี้ก็มี “ความหนาแน่นพลังงาน” (POWER DENSITY) สูงกว่าแบทเตอรีมาก โดยการคิดคำนวณกันที่ “น้ำหนัก” ซึ่งทั่วไปแล้ว แบทเตอรี 1 กก. จะมีความหนาแน่นพลังงานราว 0.1-0.27 กิโลวัตต์ชั่วโมง ในขณะที่เชื้อเพลิงเบนซิน 1 กก. จะมีความหนาแน่นพลังงานมากถึง 13 กิโลวัตต์ชั่วโมง นั่นหมายถึง เชื้อเพลิงเบนซิน 1 กก. มีความหนาแน่นของพลังงานมากกว่าแบทเตอรีถึง 50-130 เท่า (น้ำมันดีเซลยิ่งมีความหนาแน่นของพลังงานสูงยิ่งขึ้นไปอีก) ดังนั้น การเลือกที่จะเก็บพลังงานในรูปแบบของ “เชื้อเพลิง” ก็ยังคงเหมาะสมกับยานพาหนะที่ต้องการ “น้ำหนักเบา” อาทิ อากาศยาน หรือรถยนต์ที่ต้องเดินทางไกลเช่นเดิม ดังนั้น ในอนาคตหากมีการผลิตเชื้อเพลิงสังเคราะห์ในปริมาณมาก ก็อาจเป็นแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่เหมาะสมกับเครื่องจักรกลต่างๆ ได้ทุกยุคสมัย แต่คงไม่ใช่ในเร็ววันนี้อย่างแน่นอนครับ