บทความ
ท่องป่าอุ้มผาง กลางลมหนาว
ณ อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก แถบชายแดนภาคเหนือของประเทศไทย มีผืนป่าที่กว้างใหญ่และ
ยังคงความบริสุทธิ์ เนื่องจากถูกปิดล้อมด้วยภูเขาสูงสลับซับซ้อน เหตุผลที่ทำให้ป่าผืนนี้ยังคง
ความสมบูรณ์อยู่ได้ก็คือ เส้นทางคมนาคมที่มีเพียงเส้นเดียวเท่านั้นในอำเภอแม่สอดที่มุ่งสู่
อำเภออุ้มผางโดยตรง
แหล่งท่องเที่ยวส่วนใหญ่ในอุ้มผางนั้นล้วนแล้วแต่เป็นแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติแทบทั้งสิ้น
และนอกจากนี้ยังเป็นต้นกำเนิดต้นน้ำลำธารหลายสายของป่าผืนตะวันตก ทั้งเป็นที่อยู่อาศัยของ
ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงชุมชนใหญ่อีกด้วย
ด้วยความโดดเด่นนี้ ทำให้อุ้มผางเป็นจุดหมายปลายทางของนักผจญภัยทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น
การเดินป่า ล่องเรือยาง ขี่ช้างชมป่า หรือแม้แต่ขี่จักรยานเสือภูเขาตะลุยธรรมชาติก็เป็นกิจกรรมที่
นิยมของนักท่องเที่ยว
สำหรับการท่องเที่ยวของผมคราวนี้ใช้รถยนต์คันเก่งเป็นพาหนะไปจากกรุงเทพ ฯ เพื่อที่จะได้สัมผัส
ถนนลอยฟ้าบนขุนเขาที่มีความโค้งกว่าพันโค้ง รับรองได้ว่าทัศนียภาพแถบนี้งดงามเกินคำบรรยาย
อำเภออุ้มผางในอดีตนั้นเป็นเมืองหน้าด่านทางชายแดนภาคเหนือของประเทศไทย มีพวกกะเหรี่ยงอาศัย
อยู่มาก และต่อมาก็มีคนไทยทางภาคเหนือย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่พื้นที่บริเวณนี้ได้รับการอนุรักษ์ไว้ให้เป็น
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง ที่จะต่อเนื่องกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก และ
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง มีพื้นที่รวมทั้งหมด 5.5 ล้านไร่ นับเป็นผืนป่าที่มีพื้นที่กว้าง
ใหญ่แห่งหนึ่งในเอเชียเลยทีเดียว
อำเภอนี้ตั้งอยู่บนฝั่งซ้ายของต้นน้ำแม่กลอง ห่างจากอำเภอเมืองไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ
249 กม. ในปัจจุบันมี 4 ตำบลคือ อุ้มผาง แม่กลองใหม่ แม่ละมุ้ง และ แม่จัน แหล่งท่องเที่ยว
ที่น่าสนใจก็คือ ดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ดอยหัวหมด ล่องเรือยางชมน้ำตกทีลอซู หรือจะไปสัมผัสชาวกะเหรี่ยง
ที่หมู่บ้านปะละทะ นอกจากนี้ในอุ้มผางยังมีธรรมชาติให้ชมอีกเยอะ โดยเฉพาะน้ำตกทีลอเล ที่
งดงามน่าสัมผัสไม่แพ้น้ำตกทีลอซู โดยเลือกช่วงหนาวนี้แหละดีที่สุดสำหรับการเที่ยวป่า
เราเดินทางถึงอุ้มผางแต่เช้าตรู่ แล้วต่อไปยังจุดล่องเรือยางที่ หมู่บ้านปะละทะ ซึ่งเป็นหมู่บ้านของชาว
กะเหรี่ยงที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเขตอำเภอนี้ และก็ยังเป็นศูนย์กลางของการเดินทางท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ
เช่น การเดินป่า ขี่ช้าง และล่องแก่งการล่องเรือยางในลำน้ำแม่กลอง เขาว่ากันว่า มีความสวยงาม
และตื่นเต้นคละเคล้ากันไป ด้วยเหตุที่สองข้างทางเป็นป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์และสายน้ำสายนี้ก็มีแก่งที่น่า
ตื่นเต้นท้าทายความสามารถของนักผจญภัยอย่างยิ่ง มีระยะทางทั้งสิ้นประมาณ 40 กม.
แก่งของลำน้ำแม่กลองสายนี้จัดอยู่ในระดับ 3-4 (ปานกลางยาก) เหมาะสำหรับใช้เรือยางล่องเท่านั้น
ไม่ควรล่องด้วยแพไม้ไผ่ เพราะสิ้นเปลืองและค่อนข้างอันตราย
ในการล่องช่วงแรกยังไม่ค่อยตื่นเต้นสักเท่าไร แต่พอเราเริ่มผ่านแก่งแรกคือ แก่งเลกาติ ที่อยู่ห่าง
จากหมู่บ้านปะละทะ ไป 8 กม. ก็เรียกเสียงกรี๊ดได้สุดๆ แก่งนี้เป็นแก่งขนาดใหญ่แบ่งเป็นสามช่วง
ซึ่งในแต่ละช่วงจะมีแนวโขดหินขวางอยู่ให้พวกเราได้หลบหลีกกันอย่างสนุกสนาน เลยจากแก่งเลกาติ ไป
อีกประมาณ 1 กม. ก็พบกับ แก่งเจ็ดหมื่น ชื่อฟังดูหรูนะครับ แต่ความเป็นมาของชื่อไม่ค่อยน่า
พิสมัยสักเท่าไร
เรื่องมีอยู่ว่า เคยมีเหตุการณ์เมื่อครั้งนักท่องเที่ยวล่องแก่งแล้วเกิดเรือล่ม กระเป๋าเงินหมื่นก็หล่นหาย
ไปกับสายน้ำ แต่คนไม่ได้รับบาดเจ็บ เขาจึงนำเรื่องราวนี้มาตั้งเป็นชื่อแก่ง อากาศยามหนาวช่างงดงาม
ยิ่งนัก ความเงียบของขุนเขาทำให้เราได้ยินเสียงของพงไพร นกการ้อง ที่สร้างความประทับใจให้มิรู้ลืม
พวกเรายังคงพายเรือไปเรื่อยๆ มาเจอกับ แก่งบันได ที่มีลักษณะเป็นหินเรียงซ้อนกันคล้ายบันได
เวลาเรือลงแก่งก็จะกระแทกไปตามชั้นหินเหล่านั้น สนุกไปอีกแบบ
ถัดจากแก่งนี้ก็เป็น แก่งหินหยด ที่มีหินขนาดใหญ่หล่นลงมาขวางกั้นลำน้ำไว้ ต้องใช้ฝีมือในการพาย
หลบหลีกให้ทัน มิเช่นนั้นมีหวังติดอยู่ในซอกหินเป็นแน่ครับ
ชื่นชม และเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ที่งดงามของสองข้างทางได้สักครู่ ฝีพายคัดท้ายของเราก็ตะโกนเตือนให้
ระวังแก่งข้างหน้าที่จะถึงในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เป็นแก่งหักศอก ที่มีลักษณะเป็นคุ้งน้ำคล้ายรูปตัวเอส
ต้องใช้ฝีมือพอสมควรจึงจะหลบมาได้อย่างปลอดภัยและก่อนที่จะถึงจุดหมายเราจะได้เจอกับ แก่งคนมอง
ที่อยู่ใกล้กับผาคนมอง เป็นอีกแก่งหนึ่งที่ค่อนข้างท้าทาย เพราะมีอยู่ 3 ช่วง ซึ่งช่วงสุดท้ายจะมีหิน
ก้อนใหญ่ขวางอยู่คล้ายแก่งหินหยด แต่ค่อนข้างที่จะแคบกว่า ฝีพายต้องแม่นยำและกล้าตัดสินใจเพื่อที่จะนำ
เรือผ่านไปให้ได้อย่างปลอดภัย เพราะจากประวัติความเป็นมาแล้วน้อยคนนักที่จะผ่านไปได้ เรือยางมัก
จะล่มบริเวณนี้กันทั้งนั้น แต่ก็ไม่เป็นอันตรายใดๆ โชคดีเป็นของเราที่ผ่านมาได้ ต้องขอปรบมือให้
กับฝีพายที่ฝีมือเยี่ยมยอดจริงๆ
พวกเรามาพักตั้งแคมพ์กันบริเวณก่อนที่จะถึงห้วยกะชอจิ๊ทะ เพราะท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว ทุกคนลงมือช่วยกัน
กางเต็นท์ และจุดไฟ หุงหาอาหารทานกันก่อนที่จะไปอาบน้ำในลำธารเล็กๆที่อยู่ใกล้บริเวณนั้น
สุมทุมพุ่มไม้ด้านข้างถูกจัดทำเป็นส้วมสาธารณะที่มิดชิด มีท้องฟ้าเป็นหลังคา เห็นดาวระยิบระยับ และ
มีผืนดินเป็นเสมือนกระเบื้องปูพื้นที่นุ่มเท้า สาวๆ ลงมือหุงข้าว และประกอบอาหารทานกันง่ายๆที่มี
ไข่เจียวเป็นอาหารหลัก และประกอบด้วยผัดผัก น้ำพริก และปลากระป๋องที่แสนอร่อย
หลังจากอิ่มหนำสำราญกันแล้วก็ล้อมวงนั่งคุยปรึกษาหารือกันกับรายการในวันพรุ่งนี้ที่เราจะต้องเดินป่ากัน
ก่อนที่จะเข้านอนในเต็นท์ที่แสนอบอุ่น มีเสียงหรีดหริ่งเรไรขับกล่อม มองลอดช่องหน้าต่างของเต็นท์ออกไป
ดูท้องฟ้าด้านนอกเห็นดวงดาวระยิบระยับมากมายนับไม่ถ้วน
อรุณรุ่งวันใหม่ เรามีเสียงนกร้องเป็นนาฬิกาปลุกที่ดีเยี่ยม หลังจากล้างหน้าล้างตา แปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้า
และเก็บสัมภาระกันเรียบร้อย ก็ทานอาหารเช้าแบบง่ายๆเช่น ขนมปังปิ้ง กาแฟร้อนพออิ่มท้อง แล้วก็ขนของ
ลงเรือยางเพื่อล่องไปอีกนิดให้ถึง ห้วยกะชอจิ๊ทะ ซึ่งเป็นจุดที่เราจะเดินป่าเพื่อกลับไปยังที่เดิม
แต่ก่อนที่จะเดินป่านั้นก็ล่องเรือเข้าไปดูน้ำตกทีลอเล กันก่อน ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
น้ำตกทีลอเล สวยงามสมคำร่ำลือ มีลักษณะเป็นน้ำตกที่อยู่ในโตรกผา คือ สายน้ำจะตกจากผาหินปูนเป็นผืน
กว้างลงสู่หินก้อนใหญ่กลางลำน้ำแม่กลองความงดงามของน้ำตกทีลอเล ถึงแม้จะไม่ใหญ่โตเทียบเท่ากับ
น้ำตกทีลอซู แต่ก็สวยงามไม่น้อยหน้ากัน เพราะเป็นน้ำตกที่ซุกซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์
และบริสุทธิ์ สายน้ำที่ไหลผ่านบริเวณชะง่อนผา แล้วตกลงมากระทบกับลานหินเบื้องล่าง เกิดเป็นฝอยฟุ้ง
กระจาย และยิ่งถ้ามีแสงแดด ก็จะทำให้เกิดรุ้งกินน้ำพาดผ่านดูสวยงามไปอีกแบบเมื่อพายเรือไปถึงลาน
หิน คุณสามารถจอดเรือ แล้วก็เดินขึ้นไปเล่นน้ำตกกันให้ชุ่มชื่นใจได้
หลังจากที่ชมน้ำตกทีลอเล แล้ว ตอนขากลับเราจะต้องลากเรือยางทวนน้ำออกมาเพื่อกลับมายังห้วย
กะชอจิ๊ทะ และเดินป่ากลับไปยังหมู่บ้านปะละทะ
ความงดงามของผืนป่าในยามนี้ช่างสวยจริงๆ เพราะดอกไม้กำลังผลิบานอย่างเต็มที่ เวลาผ่านไปชั่วโมง
กว่าพวกเรายังเดินไม่ถึงไหนเลย เพราะมัวแต่ชื่นชมธรรมชาติรอบตัว ประมาณเที่ยงวันเราเดินกันได้
ประมาณ 9 กม. แวะพักทานอาหารกลางวันกันที่ ห้วยกะชอจิ๊เล เป็นจุดที่มีลำธารไหลผ่าน
หลังจากอิ่มหนำสำราญกันแล้วก็เดินทางต่อไปเพื่อให้ถึงจุดหมายก่อนที่จะมืดค่ำ ระยะทางอีกประมาณ
8 กม. ต่อไปเราได้พบกับ ห้วยโมะโหละโกะ ซึ่งผู้นำทางบอกกับเราว่าในอดีตบริเวณนี้เป็นที่พัก
ของผู้ก่อการร้าย เพราะมีความอุดมสมบูรณ์ เป็นป่าดงดิบที่หนาทึบเหมาะที่จะใช้เป็นที่หลบซ่อน
ต่อจากนั้นอีกประมาณ 5 กม. ก็ถึง น้ำตกห้วยดินแดง ที่มีความสวยงามพอสมควร ไหลลดหลั่น
มาตามเนินหินหลายชั้น เสียงดังมาแต่ไกล แต่น้ำขุ่นสีออกแดงน้ำตาล จึงได้ชื่อว่าน้ำตกห้วยดินแดง
จากจุดนี้เรายังต้องเดินกันอีกหลายกม. หลายคนในคณะเริ่มท้อเพราะเมื่อยล้าพอดู แต่ก็ต้องกัดฟัน
เดินกันต่อไป
ท้องฟ้าเริ่มมืดลงทุกที ไฟฉายที่นำติดตัวมาเริ่มเป็นประโยชน์ก็ตอนนี้แหละ ก่อนจะถึงทางออก เราต้อง
เดินผ่านเรือกสวนไร่นาของชาวบ้าน แล้วจะพบถนนที่มุ่งไปสู่หมู่บ้านปะละทะ เหมือนพบทางสว่าง เพราะ
เราได้เห็นแสงไฟจากบ้านเรือนอยู่เบื้องหน้า แรงฮึดเริ่มมีขึ้นเพราะต้องการจะให้ถึงที่พักเร็วๆ
วินาทีนั้นเรี่ยวแรงไม่มีเหลือแล้ว ก้าวเท้าแทบไม่ออก มีแต่กำลังใจเท่านั้นที่พาเราไปให้ถึงที่
ประสบการณ์ในครั้งนี้หาไม่ได้ในหนังสือเรียน แต่พบเจอได้กับบทเรียนของชีวิตที่จะสร้างให้เราเป็นคนที่
แข็งแกร่งขึ้น อีกทั้งยังรักธรรมชาติมากขึ้นด้วย การเดินทางทำให้เราได้เพื่อนแท้ที่ไม่ทอดทิ้งแม้จะลำบาก
เพียงใดก็ตาม ที่นี่ที่ป่าอุ้มผาง ถึงแม้จะไม่ใช่ป่ายอดฮิตของใครๆ แต่ก็คุ้มค่าที่ได้มาเยือนสัก
ครั้งหนึ่งในชีวิต
อธิบายภาพ
- น้ำตกห้วยดินแดง
- ล่องเรือยางชมน้ำตก
- พระอาทิตย์ขึ้นที่ดอยหัวหมด
- น้ำตกทีลอซู
- น้ำตกทีลอเล
- ช้างแบกสัมภาระ
- ป่าที่ชุ่มชื้น
ABOUT THE AUTHOR
ย
ยีราฟ
ภาพโดย : -นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2545
คอลัมน์ Online : บทความ