ขอบสนามแข่ง ฟอร์มูลา 1 (formula)
ไม่มีทีมใดหยุดยั้งความร้อนแรงของ "แฟร์รารี"
ศึก ฟอร์มูลา วัน ประจำฤดูกาลปี 2004 ผ่านไปแล้ว 4 สนาม ของการแข่งขันทั้งหมดรวม 18 สนาม มิคาเอล ชูมาเคร์ จากเยอรมนี แชมพ์โลก 6 สมัยคนล่าสุด สามารถทะยาน แฟร์รารี รหัสล่าสุด เอฟ-2004 ผ่านธงตราหมากรุกคว้าชัยชนะไปครองได้สำเร็จทั้ง 4 สนามติดต่อกัน โดยเป็นการควงคู่ รูเบนส์ บาร์ริเชลโล เพื่อนร่วมทีมจากบราซิล ตามเข้าเส้นชัยในอันดับ 2 ถึง 2 สนามด้วยกัน และ มิคาเอล คว้าตำแหน่งออกสตาร์ทโพลโพสิชันได้ถึง 3 สนามติดต่อกัน
ส่วนทีมระดับหัวแถวที่คาดว่าจะเป็นทีมที่จะมาต่อกรกับ แฟร์รารี ยังไม่สามารถโชว์ฟอร์มอันร้อนแรงขึ้นมาดับรัศมีทีมม้าป่าลำพองสีแดงเพลิงแห่งมาราเนลโลได้สำเร็จ และทีมระดับกลางบางทีม อาทิ ทีม บาร์ สามารถขยับไต่อันดับขึ้นมาประกบทีมระดับหัวแถวได้ตั้งแต่ต้นฤดูกาล แม้ว่าการแข่งขันจะเริ่มต้นเข้าสู่สนามแรกในยุโรปแล้วก็ตาม โดยทีมระดับหัวแถวยังมีปัญหาให้ต้องตามแก้ไขอีกมาก
บาห์เรน กรองด์ปรีซ์
แฟร์รารี เรียงแถวเข้าป้ายอันดับ 1-2
ผ่านพ้นไป 3 สนามแรกของฤดูกาลบนสภาพอากาศ และสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างแตกต่างกัน คือ ออสเตรเลีย/มาเลเซีย และบาห์เรน ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ฟอร์มูลา วัน ที่รายการกรองด์ปรีซ์ได้จัดขึ้นที่ดินแดนตะวันออกกลาง
ทีม แฟร์รารี สามารถคว้าแชมพ์ได้ติดต่อกันทั้ง 3 สนาม สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของทีม ที่สามารถแก้ไขปัญหารถแข่งที่แข่งขันในสภาพอากาศร้อนได้สำเร็จ ส่วนทีมคู่แข่งอย่าง แมคลาเรนยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาเดิมๆ ได้สำเร็จ โดยเฉพาะในเรื่องของเครื่องยนต์ ในรายการ บาห์เรน กรองด์ปรีซ์ รถแข่งทั้ง 2 คันของ แมคลาเรน ต้องออกจากการแข่งขันไปทั้งหมดจากปัญหาของเครื่องยนต์พัง โดยรถของ คีมี ไรค์โคเนน เครื่องยนต์ไหม้ติดต่อกันถึง 3 สนาม และสำหรับที่ตะวันออกกลางเครื่องยนต์ไหม้ทั้ง 2 คันตั้งแต่รอบพรีควอลิฟายด์
ศึก บาห์เรน กรองด์ปรีซ์ เป็นสนามที่ 3 ติดต่อกันของ มิคาเอล ที่ออกนำตั้งแต่ช่วงสตาร์ทจนจบการแข่งขันในแบบม้วนเดียวจบ และพร้อมกันนี้เป็นการประสบความสำเร็จอย่างสูงส่งของทีม บาร์ มีฐานบัญชาการใหญ่อยู่ในประเทศอังกฤษที่สามารถขึ้นโพเดียมได้เป็นครั้งที่ 2 ต่อจากสนาม เซปัง
เซอร์กิทในรายการมาเลเซีย กรองด์ปรีซ์ ที่ได้ขึ้นโพเดียมครั้งแรกตั้งแต่ก่อตั้งทีมขึ้นมา
แฟร์รารี สีแดงเพลิงทั้ง 2 คัน ทิ้งห่างคู่แข่งไปหลายขุม ปล่อยให้กลุ่มหลังตามมาไล่เบียดบี้กันเองระหว่าง ฮูอัน ปาบโล มนโตยา/ เจนสัน บัททัน และยาร์โน ตรุลลี หลังจากรถของ มนโตยา ของทีม วิลเลียมส์ ที่คว้าโพลในอันดับ 3 เริ่มมีปัญหาเรื่องของระบบเบรค และเครื่องยนต์ ทำให้ความเร็วลดลง เปิดโอกาสให้บัททันแซงขึ้นไปรับอันดับ 3 ได้สำเร็จในช่วงท้ายเกมส์ และไปถูกทั้ง ตรุลลี ทีม เรอโนลต์ ทากูมา ซาโต นักขับหนึ่งเดียวจากญี่ปุ่นสังกัดทีม บาร์ แฟร์นันโด อาลนโซ ดาวรุ่งจากสเปนสังกัดทีม เรอโนลต์ ก่อนที่จะไปจบการแข่งขันแบบไม่มีแต้มในอันดับที่ 13 ส่วนเพื่อนร่วมทีม ราล์ฟ ชูมาเคร์
สนามนี้เข้าเส้นชัยในอันดับ 7 เก็บได้ 2 แต้ม
ทีม แมคลาเรน ไม่จบการแข่งขันทั้งคู่ ไรค์โคเนน เครื่องยนต์พังต้องออกจากการแข่งขันไปตั้งแต่รอบที่ 8 หลังออกสตาร์ทจากท้ายแถวในอันดับที่ 17 ส่วน เดวิด คุลธาร์ด หลังออกจากพิทครั้งที่ 3 เครื่องยนต์พังเช่นกัน
สนามนี้รถของ ซาโต/อาลนโซ และราล์ฟ เกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวกัน เป็นผลให้รถทั้ง 3 คันต้องเข้าพิทเพื่อเปลี่ยนปีกดักอากาศด้านหน้าใหม่ และตรวจเชคสภาพรถ ทำให้เสียเวลาไปพอควร
หลังจบการแข่งขันด้วยการเรียงแถวเข้าเส้นชัยใน 2 อันดับแรกของทีม แฟร์รารี โดย บาร์ริเชลโลตามหลังเข้าเส้นชัยด้วยเวลาห่างเพียง 1.3 วินาทีเท่านั้น ในขณะที่ บัททัน ที่คว้าอันดับ 3ในรายการนี้ตามหลังถึง 26.6 วินาทีและอันดับ 4 เป็นของ ตรุลลี แห่งทีม เรอโนลต์ ที่ไล่กดดัน บัททันอย่างหนัก แต่ไปพลาดที่เบรคลอค ปล่อยให้ บัททัน เร่งฉีกหนีไปคว้าอันดับ 3 ได้สำเร็จทำเวลาตามหลังแชมพ์อยู่ 32.2 วินาที
มิคาเอล กล่าวหลังคว้าแชมพ์ประจำรายการดังกล่าวว่า "เป็นผลการแข่งขันที่เป็นความใฝ่ฝันของผม ความจริงเมื่อวันศุกร์เราไปได้สวย วันเสาร์ซ้อมตอนเช้าเจอปัญหานิดหน่อยเท่านั้น แล้วก็สามารถคว้าโพลได้สำเร็จทั้ง 2 คน เป็นการแข่งขันที่ยากพอดู แต่ที่ต้องเน้นสำหรับสนามนี้เป็นเรื่องของเบรค และยาง"
"โค้งแรก รู้สึกได้ว่าเบรคยังแข็ง ควบคุมยาก แต่ก็พยายามรักษาระดับไว้ เพราะทางวิ่งลื่นมากไม่ได้เร่งมาก ความเร็วช้ากว่ามาตรฐานของตัวเอง"
ทางด้าน บาร์ริเชลโล รองแชมพ์ประจำรายการ กล่าวว่า "สภาพรถดีมาก แต่บางอย่างคล้ายที่ มาเลเซีย มีฝนตกลงมาเล็กน้อย ถูกหน้าผมเหมือนกันตอนช่วงแรก เบรคต้องใช้เวลาวอร์มอัพอยู่พักใหญ่ หลังจาก มิคาเอล เบรคตรงโค้งแรก ผมคิดว่าน่าจะแซงได้หลังเบรคได้ที่ และรถของเขามีน้ำมันน้อยกว่าผมนิดหน่อย พยายามเกาะติดไว้ ผมพยายามไล่จี้ติดในช่วงก่อนเข้าพิทครั้งแรก พอออกจากพิทมารถผมเจอปัญหากับด้านหลัง เสียเวลาไปมาก รู้ได้เลยว่าหมดสิทธิ์ไล่เขาทันแล้ว และ มิคาเอล ได้แชมพ์สนามนี้เพราะผมไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลย"
[table]ผลการแข่งขัน บาห์เรน กรองด์ปรีซ์
อันดับ, ผู้ขับ, ทีม, เวลารวม
1, มิคาเอล ชูมาเคร์, แฟร์รารี, 1 ชั่วโมง 28 นาที 34.875 วินาที
2, รูเบนส์ บาร์ริเชลโล, แฟร์รารี, + 1.3 วินาที
3, เจนสัน บัททัน, บาร์, + 26.6 วินาที
4, ยาร์โน ตรุลลี, เรอโนลต์, + 32.2 วินาที
5, ทากูมา ซาโต, บาร์, + 52.4 วินาที [/table]
อิตาลี กรองด์ปรีซ์
มิคาเอล คว้าแชมพ์ในถิ่นของม้าป่าลำพอง
ศึก ฟอร์มูลา วัน กลับมาประเดิมสนามแรกที่ยุโรป ในรายการ อิตาลี กรองด์ปรีซ์ บนสังเวียน อีโมลา เซอร์กิท โดยในปีนี้ได้มีการทำพิธีไว้อาลัยให้กับ อาร์ยทัน เซนนา อดีตแชมพ์โลกฟอร์มูลา วัน 3 สมัยชาวบราซิล เนื่องในโอกาสครบรอบ 10 ปีที่ เซนนา มาเสียชีวิตที่เซอร์กิทแห่งนี้ เนื่องจากเกิดอุบัติเหตุรถแหกโค้งพุ่งเข้าชนกำแพงยางอย่างรุนแรง และไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา ในขณะทำการแข่งขันในรายการนี้เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ปี 1994 ขณะเกิดอุบัติเหตุ มิคาเอล ชูมาเคร์ เห็นภาพการชนอย่างชัดเจนเนื่องจากขับตามหลัง เซนนา ในรอบนั้นอยู่
อาร์ยทัน เซนนา อีกหนึ่งตำนาน ฟอร์มูลา วัน ที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ และได้สร้างผลงานอันน่าประทับใจด้วยการเป็นนักขับที่สามารถครองอันดับโพลโพสิชันสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ยังไม่เคยมีนักขับคนใดสามารถโค่นสถิตินี้ลง และที่เซอร์กิทแห่งนี้ได้สร้างรูปปั้นของ เซนนา ไว้ที่ขอบสนามแข่งเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่ตำนาน ฟอร์มูลา วัน รายนี้ ในปีนี้ได้มีทีมแข่งอย่างทีม จอร์แดนไว้อาลัยด้วยการติดภาพของเซนนา ไว้ด้านข้างตัวรถ ทีม มินาร์ดี ได้ติดภาพธงชาติบราซิลไว้ด้านข้างรถ และ แกร์ฮาร์ด แบร์แกร์ อดีตนักขับ ฟอร์มูลา วันในยุคสมัยเดียวกับ เซนนา ได้ขับรถแข่งของทีม วิลเลียมส์ ที่ เซนนา
ได้ขับลงแข่งสมัยที่เริ่มเข้าสู่วงการ ฟอร์มูลา วัน
ก่อนการแข่งขัน มิคาเอล ชูมาเคร์ได้ออกมาประกาศว่า เขามีความมั่นใจมากที่จะคว้าแชมพ์ประจำรายการดังกล่าวได้ไม่ยาก ซึ่งเซอร์กิทแห่งนี้นับได้ว่าเป็นหนึ่งสนามในรังของ แฟร์รารี โดย มิคาเอล วัย 35 ปีจากเมืองเคร์เพนแห่งเยอรมนีได้ลงแข่งที่นี่ถึง 6 สมัย สามารถคว้าแชมพ์ไปครองได้ 4 สมัย เขากล่าวก่อนการแข่งขันในรายการนี้ว่า "เราจะมาพักผ่อนกันตอนนี้ไม่ได้ พักไม่ได้เลย กฎเหล็กของเราคือต้องนำหน้าเสมอ"
ศึก อิตาลี กรองด์ปรีซ์ สนามที่ 4 ประจำฤดูกาลปี 2004 เป็นสนามแรกในยุโรป อีโมลา เซอร์กิทแห่งนี้นับได้ว่าเป็นสนามในถิ่นของทีม แฟร์รารี และมิคาเอล ทะยาน แฟร์รารี สีแดงเพลิงผ่านธงตราหมากรุกไปเป็นคันแรก คว้าแชมพ์ประจำรายการไปครองท่ามกลางกองเชียร์เจ้าถิ่นที่แห่กันเข้ามาชมล้นสนาม และเป็นการคว้าแชมพ์เป็นสนามที่ 4 ติดต่อกันในปีนี้ ตั้งแต่สนามเปิดฤดูกาลเป็นต้นมา และเป็นการสร้างสถิติใหม่ในประวัติศาสตร์ โดยการคว้าแชมพ์ครั้งนี้ของ มิคาเอล เป็นครั้งที่ 74
การออกสตาร์ทของ มิคาเอล สำหรับสนามนี้แม้จะไม่ได้ออกสตาร์ทจากหัวแถวก็ตาม โดย บัททัน แห่งทีมบาร์ ดาวรุ่งจากอังกฤษเป็นนักขับที่คว้าโพลโพสิชันไปครองเป็นสนามแรกในชีวิตการแข่งขันฟอร์มูลา วันและเป็นครั้งแรกของทีมบาร์ แต่ไม่สามารถคว้าแชมพ์แรกในชีวิตได้สำเร็จ ถูก มิคาเอล
แซงขึ้นไปนำได้สำเร็จ ในช่วงจังหวะของการเข้าพิทที่เป็นไปตามแผนของทีม แฟร์รารีจนสามารถคว้าชัยชนะได้สำเร็จเป็นครั้งที่ 5 ในเซอร์กิทแห่งนี้ของ มิคาเอล
บัททัน สามารถทำเวลาได้เร็วสุดในการควอลิฟายด์รอบสอง เมื่อบ่ายวันเสาร์ โดยทำเวลาต่อรอบได้ 1 นาที 19.753 วินาที ส่วน มิคาเอล ทำเวลาดีที่สุดเข้ามาอันดับ 2 ด้วยเวลา 1 นาที 20.011 วินาที อันดับ 3 ตกเป็นของ ฮูอัน ปาบโล มนโตยา ดาวรุ่งชาวโคลัมเบียสังกัดทีม วิลเลียมส์ ตามหลัง มิคาเอล อยู่เพียง 0.2 วินาที ซึ่งในการควอลิฟายด์รอบแรก มนโตยา สามารถทำเวลาต่อรอบได้เร็วที่สุด
อันดับ 4 ตกเป็นของ บาร์ริเชลโล ของ แฟร์รารี ตามมาด้วย ราล์ฟ เข้ามาอันดับ 5 และ อาลนโซ ดาวรุ่งชาวสเปนแห่งทีม เรอโนลต์ เข้ามาอันดับ 6 ทากูมา ซาโต นักขับหนึ่งเดียวจากญี่ปุ่น ติดอันดับ 7 และ มาร์ค เวบเบอร์ ดาวรุ่งหนุ่มออสซีแห่งทีม แจกวาร์ สนามนี้ได้ออกสตาร์ทจากอันดับ 8
ไรค์โคเนน สนามนี้สามารถเก็บแต้มแรกของฤดูกาลได้สำเร็จด้วยการเข้าเส้นชัยในอันดับ 8 หลังจากไม่จบการแข่งขันจากปัญหาเครื่องยนต์พังติดต่อกันทั้ง 3 สนามที่ผ่านมา ส่วนในรอบควอลิฟายด์ในรายการนี้ไม่จบการแข่งขันต้องไปออกสตาร์ทจากท้ายแถวเช่นเดียวกับ 3 สนามที่ผ่านมา ทางด้าน เดวิด คุลธาร์ด นักขับรุ่นลายครามคู่หูประจำทีม แมคลาเรน สนามนี้ออกสตาร์ทจากอันดับ 11 แต่ไม่สามารถเก็บแต้มได้ เข้าเส้นชัยในอันดับที่ 12
ก่อนการแข่งขันทีมแข่งต่างๆ ได้มีการปรับเปลี่ยนแผนการแข่งขัน เนื่องจากคืนก่อนวันแข่งจริงได้มีฝนตกลงมา ทำให้สนามเปียก และไม่มั่นใจว่าในวันแข่งจริงจะมีฝนตกลงมาหรือไม่ แต่จากการคว้าโพลโพสิชันเป็นครั้งแรกของ บัททัน ไม่ทำให้ทีม บาร์ ต้องผิดหวัง หลังจากจบการแข่งขันในอันดับ 2 ส่วนอันดับ 3 ประจำสนามนี้ตกเป็นของ มนโตยา แห่งทีม วิลเลียมส์ ได้ขึ้นโพเดียมอีกครั้ง อันดับ 4 ตกเป็นของอาลนโซ จากทีม เรอโนลต์ และ บาร์ริเชลโล มือ 2 ของ แฟร์รารี เข้าเส้นชัยในอันดับ 6 ซึ่งในปีนี้ทีมแฟร์รารี ได้เปลี่ยนบริการยางจากบริดจ์สโตนมาเป็นยางของมิเชอแลงแทน
นักขับ 4 รายได้ให้สัมภาษณ์ถึงการแข่งขันในสนามนี้ หลังจบการแข่งขัน โดย มิคาเอล กล่าวว่า "เป็นแต้มที่ผมใฝ่ฝันมากครับ การกลับมาแข่งในรังของตัวเองพร้อมกับการคว้าชัยชนะในช่วงแรก บัททัน แข็งแกร่งมาก ยิ่งทางวิ่งเปียกด้วยแล้ว ขับยาก แต่เขาขับอยู่บนทางวิ่งที่แห้ง พอผ่านไป 2-3 รอบสนาม ทุกอย่างเริ่มดีขึ้น สามารถกดดันได้มากขึ้น และหลังจากนั้นก็สามารถขึ้นนำ และรักษาอันดับของตนเองไว้ได้"
การแข่งขันในครั้งนี้ เกิดการเบียดชนกันเล็กน้อย มิคาเอล ได้กล่าวถึงในช่วงที่เฉี่ยวกับ มนโตยาว่า "ตอนเบียดกับ มนโตยา ผมพยายามที่จะผลักดันให้เขาลงไปตามข้างหลัง แต่ในขณะเดียวกันผมก็ไม่ยอมให้ บัททัน ทิ้งห่าง ครั้งแรกผมเห็นเขาชน หลังจากนั้นก็ไม่ปล่อยให้เป็นอย่างนั้นอีก ผมถือโอกาสกดคันเร่งทิ้งเขาแบบไม่เห็นฝุ่นเลย มันเป็นเพียงแค่เหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ในการแข่งขัน และสุดท้ายผมก็ทำได้สำเร็จ"
ทางด้านทีม แฟร์รารี ได้กล่าวชม มิคาเอล ว่า ฟอร์มขณะนี้ของเขานั้นเป็นฟอร์มที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา และยอมรับว่าการคว้าแชมพ์ในรังของตัวเองที่ ซาน มาริโน ครั้งนี้ง่ายกว่าปีก่อนๆ หน้านี้
"มิคาเอล ขับได้ดีกว่าที่คนอื่นเขากล่าวถึงกันอีก" ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบของ แฟร์รารี กล่าว "ผมร่วมงานกับเขามาตั้งแต่สมัยอยู่กับทีม เบเนททัน และรู้สึกว่าเขาดีขึ้นมาโดยตลอดอย่างแชมพ์ในสนามนี้เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างในการพิสูจน์คำพูดของผม"
ทางด้านทีม เรอโนลต์ ทีมที่คาดกันแต่แรกว่าจะเป็นทีมที่สามารถต่อกรกับ แฟร์รารี ได้อย่างสูสี ดุเดือดที่สุด หลังเสร็จศึก ซาน มาริโน กรองด์ปรีซ์ 2 นักขับของทีมสามารถเข้าเส้นชัยในอันดับ 4- 5 ตามลำดับ สามารถเก็่บได้ 9 แต้ม ซึ่งเป็นแต้มที่สูงที่สุดของทีมนับตั้งแต่เปิดฤดูกาลมา หัวหน้าทีมเทคนิคของ เรอโนลต์ได้กล่าวถึงผลการแข่งขันในสนามนี้ว่าเครื่องยนต์ อาร์เอส 24 ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความพร้อมแล้ว สำหรับการพัฒนาในก้าวที่สูงขึ้น
"ผมรู้สึกพอใจเครื่องยนต์กับการแข่งขัน รวมถึงในรอบควอลิฟายด์ตลอดสุดสัปดาห์มาก ไม่เจอปัญหาอะไรเลยตลอดการขับทั้ง 3 วัน และเป็นอีกครั้งที่รถทั้ง 2 คันของเราแข่งได้จบแบบมีแต้มนี้มีความหมายสำหรับเรามาก"
ทางด้าน บาร์ริเชลโล สนามนี้จบการแข่งขันในอันดับ 6 นับว่าทีม แฟร์รารี ยังคงรักษาฟอร์มไว้ได้ เพียงเสียแต้มไปเพียง 8 แต้มเท่านั้น จากทั้งหมด 72 แต้ม เก็บได้ 64 แต้ม เป็นการเปิดฤดูกาลที่ดีกว่าหลายปีที่ผ่านมาของทีม แฟร์รารี
[table]ผลการแข่งขัน อิตาลี กรองด์ปรีซ์
อันดับ, นักขับ, ทีม, เวลารวม
1, มิคาเอล ชูมาเคร์, แฟร์รารี, 1 ชั่วโมง 26 นาที 19.670 วินาที
2, เจนสัน บัททอน, บาร์, + 9.7 วินาที
3, ฮูอัน ปาบโล มนโตยา, วิลเลียมส์, + 21.6 วินาที
4, แฟร์นันโด อาลนโซ, เรอโนลต์, + 23.6 วินาที
5, ยาร์โน ตรุลลี, เรอโนลต์, + 36.2 วินาที
[table]สรุปคะแนนสะสมรวม 4 สนาม
ประเภทผู้ขับ
อันดับ, ผู้ขับ, ทีม, คะแนนรวม
1, มิคาเอล ชูมาเคร์, แฟร์รารี, 40
2, รูเบนส์ บาร์ริเชลโล, แฟร์รารี, 24
3, เจนสัน บัททัน, บาร์, 23
4, ฮูอัน ปาบโล มนโตยา, วิลเลียมส์, 18
5, แฟร์นันโด อาลนโซ, เรอโนลต์, 16
ประเภททีมผู้ผลิต,,,
อันดับ, ทีม, คะแนนรวม
1, แฟร์รารี, 64
2, เรอโนลต์, 31
3, บาร์, 27
4, วิลเลียมส์, 27 [/table]
ABOUT THE AUTHOR
ไ
ไททาเนียม
ภาพโดย : -นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2547
คอลัมน์ Online : ขอบสนามแข่ง ฟอร์มูลา 1 (formula)