มหกรรมยานยนต์ต่างประเทศ
มหกรรมยานยนต์ปารีส
(ต่อจากฉบับ ธันวาคม 2547)
ฝรั่งเศสเป็นประเทศผู้ผลิตรถยนต์ระดับหัวแถว ตามตัวเลขในเอกสารที่ผู้จัดงานมหกรรมยานยนต์ปารีสแจกให้ผู้สื่อข่าวทุกชาติทุกภาษา ที่ไปลงทะเบียนหน้างานในช่วงเวลาสองวันที่จัดไว้เป็น PRESS DAY หรือ วันของผู้สื่อข่าว คือ วันพฤหัสบดีที่ 23 กับวันศุกร์ที่ 24 กันยายน 2004 ในรอบปี 2003 อุตสาหกรรมรถยนต์ในเมืองน้ำหอมสามารถผลิตรถยนต์ออกสู่ตลาดได้ถึง 5,750,000 คัน
หรือเท่ากับร้อยละ 10 ของยอดผลิตรถยนต์ทุกชนิดทั่วโลก เป็นสถิติสูงสุดในช่วงเวลากว่าหนึ่งศตวรรษ ที่ประดิษฐกรรมซึ่งรู้จักกันในชื่อ รถยนต์ อุบัติขึ้นในโลกใบกระจิริดนี้
เฉพาะในภูมิภาคยุโรปตะวันตก ซึ่งในแต่ละปีจะมีการผลิตรถยนต์ประมาณ 15 ล้านคัน กล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ในทุกๆ รถใหม่จำนวนสี่คันที่ขายได้ในแต่ละวัน หนึ่งคันจะเป็นรถที่ติดยี่ห้อของฝรั่งเศส
การผลิตรถยนต์ จึงเป็นอุตสาหกรรมที่ทรงความสำคัญเป็นอย่างมากต่อประเทศนี้ มากกว่าร้อยละ 15 ของมูลค่าสินค้าส่งออกได้มาจากสินค้ารถยนต์ และสินค้ารถยนต์ทำให้ฝรั่งเศสได้เปรียบดุลการค้าถึง 11,800 ล้านยูโร (ประมาณ 614,000 ล้านบาท) ในปี 2003 และเมื่อมองในแง่มุมของการว่าจ้างแรงงาน ก็จะพบว่า ในบรรดาแรงงานฝรั่งเศสจำนวนสิบคน หนึ่งคนจะทำงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการผลิตรถยนต์
ให้สัญญาไว้ในฉบับเดือนธันวาคม 2547 ว่า เดือนนี้จะว่ากันในรายละเอียด ของบรรดารถแนวคิดที่ปรากฏตัวให้เห็นในงานนี้ ทำตามสัญญา โดยคัดมารวม 11 คัน มีทั้งรถพันธ์ยุ และรถพันธุ์ยุ่น เชิญสัมผัสได้เลย
เปอโฌต์ 907
ค่าย "สิงห์เผ่น" นำรถแนวคิดออกอวดตัวเป็นครั้งแรกในงานนี้สองคัน คันแรกคือ เปอโฌต์ 907 (PEUGEOT 907) ที่เห็นอยู่นี้ เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถสปอร์ทคูเประดับ "ซูเพอร์คาร์" ซึ่งถ้าเปลี่ยนสภาพเป็นรถตลาดเมื่อใด คู่แข่งโดยตรงก็น่าจะเป็น เมร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอลอาร์ แมคลาเรน ของค่ายดาวสามแฉก
ตัวถังรูปทรงคลาสสิคแต่ดูทันสมัย มีขนาดยาว 4.370 ม. กว้าง 1.880 ม. และสูง 1.210 ม. แต่มีน้ำหนักตัวพร้อมขับ เบาหวิวแค่ 1,400 กก. เพราะชิ้นส่วนของเปลือกตัวถังล้วนทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งเป็นวัสดุสังเคราะห์มวลเบาแต่แข็งแรง นอกจากรูปทรงองค์เอวโดยรวม ตัวถังมีจุดเด่นสะดุดตา ตรงหลังคาที่เป็นกระจกสองชิ้น และชิ้นหนึ่งเชื่อมต่อเป็นแผ่นเดียวกับกระจกหน้า กับช่องดูดลม 12 ท่อ ที่ปลายเปิดบนฝากระโปรงหน้า ทำเหมือนปากแตรทรัมเปท
เป็นรถขับเคลื่อนล้อหลัง ด้วยพลังจากเครื่องยนต์วางกลางลำ วี 12 สูบ 6.0 ลิตร 500 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ
เปอโฌต์ ควาร์ค
รถแนวคิดอีกคันหนึ่งที่ค่าย "สิงห์เผ่น" นำออกอวดตัวเป็นครั้งแรกในงานนี้ พร้อมกับชื่อ เปอโฌต์ ควาร์ค (PEUGEOT QUARK) ซึ่งเป็นคำศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ ใช้เรียกอนุภาคมูลฐานสามขั้นที่เป็นรากฐานของมวลสารทั้งมวลในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลของเรานี้
เป็นรถแนวคิดที่ค่าย "สิงห์เผ่น" รังสรรค์ขึ้น เป็นอวดเทคโนโลยี FUEL CELL หรือ "เซลล์เชื้อเพลิง" ซึ่งเป็นความหวังใหม่ของวงการรถยนต์ในปัจจุบัน เห็นรูปลักษณ์แล้วไม่น่าจะเรียกว่ารถยนต์แต่ควรจะเป็นจักรยานยนต์สี่ล้อซะมากกว่า ตัวถังซึ่งนั่งได้แค่สองคนและไม่มีหลังคา มีขนาดยาว 2.380 ม. กว้าง 1.500 ม. และ สูง 1.105 ม. และมีน้ำหนักตัวแค่ 425 กก. เพราะชิ้นส่วนตัวถังเกือบทั้งหมด ทำจากอลูมิเนียมและคาร์บอนไฟเบอร์ซึ่งเป็นวัสดุมวลเบา
ที่น่าทึ่งและไม่เคยพบเคยเห็นกันมาก่อนในรถแนวคิดคันใด คือระบบขับเคลื่อนแบบสี่ล้อโดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 7 กิโลวัตต์ขับล้อแต่ละล้อ มอเตอร์ทั้งสี่ตัวนี้รับพลังไฟฟ้าจากสองแหล่งพลัง คือ จากแบทเตอรีแบบ NICKEL METAL HYDRIDE ขนาด 288 โวลท์ และจากเซลล์เชื้อเพลิงแบบระบายความร้อนด้วยน้ำ ซึ่งคนของค่าย "สิงห์เผ่น" อวดโอ่อย่างภูมิอกภูมิใจว่ามีคุณสมบัติเหนือกว่าเซลล์เชื้อเพลิงระบายความร้อนด้วยน้ำที่ใช้กันอยู่ในรถแนวคิดคันอื่นเพราะมีขนาดเล็กไม่เปลืองเนื้อที่ แถมไม่มีปัญหาน้ำหล่อเย็นกลายเป็นน้ำแข็งในหน้าหนาวและบอกด้วยว่า ถังบรรจุแกสไฮโดรเจนซึ่งเป็นส่วนสำคัญของเซลล์เชื้อเพลิง มีขนาดความจุ 9 ลิตรและมีความดันถึง 700 บรรยากาศ นั่นเทียว
เรอโนลต์ ฟลูเอนศ์
ผู้ผลิตรถยนต์หมายเลขหนึ่งของเมืองน้ำหอม นำรถแนวคิดออกแสดงในงานนี้หลายคัน และทุกคันล้วนเป็นรถที่เคยปรากฏตัวในงานอื่นๆ มาแล้วทั้งนั้น รวมทั้ง เรอโนลต์ ฟูเอนศ์ (RENAULT FLUENCE) ที่เห็นอยู่นี้
เป็นรถแนวคิด ซึ่งเชื่อกันว่า เป็นต้นแบบของรถสปอร์ทคูเปรุ่นมิดเดิลเวท ซึ่งจะนำขบวนรถยี่ห้อเรอโนลต์ คืนสู่ตลาดในสหรัฐอเมริกาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากถอยสมอจากตลาดนี้เมื่อปี 1987 ตัวถังซึ่งยาว 4.600 ม. มีรูปทรงองค์เอวดูธรรมดาๆ ไม่มีอะไรโดดเด่นสะดุดตา แต่มีรายละอียดในหลายๆ จุด ที่น่าสนใจและไม่เคยพบเคยเห็นกันมาก่อนในรถคันอื่นๆ ของค่ายนี้ ตัวอย่างเช่น ดวงโคมไฟหน้าที่ออกแบบเป็นรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด โคมไฟหลังซึ่งทำเป็นแถบ LED ขนาดยาวกว่าท่อนแขน และหน้ารถไม่มีแผงกระจังหน้า แต่แทนที่ด้วยช่องดักลมรูปสี่เหลี่ยมติดตั้งอยู่ใต้ดวงโคมไฟหน้า
เป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยพลังจากเครื่องยนต์ วี 6 สูบ 3.5 ลิตร 280 แรงม้า บังคับควบคุมการทำงานด้วยอุปกรณ์สมัยใหม่ที่เรียกกันว่า JOYSTICK
ฟอร์ด โฟคัส วินญาล คอนเซพท์
รถแนวคิดเพียงคันเดียวที่ยักษ์รอง ฟอร์ด นำออกแสดงเป็นครั้งแรกในงานนี้ คือ ฟอร์ด โฟคัส วินญาล คอนเซพท์ (FORD FOCUS VIGNALE CONCEPT) ซึ่งเป็นต้นแบบของรถ ฟอร์ด โฟคัส รุ่นใหม่ ในตัวถังเปิดประทุนแบบ คูเป-กาบริโอเลต์ (COUPE-CABRIOLET) ที่ค่ายนี้จะนำออกขายในปีหรือสองปีข้างหน้า
เป็นผลงานรังสรรค์ของทีมออกแบบวงรีสีฟ้า ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ คริส เบิร์ด (CHRIS BIRD) ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบคนดัง แต่ประทุนหลังคาแบบแข็งควบคุมการทำงานด้วยระบบไฟฟ้า เป็นผลงานของสำนัก สโตลา (STOLA) แห่งอิตาลี และเมื่อถึงเวลาที่กลายสภาพเป็นรถตลาดผู้รับหน้าที่ผลิตและประกอบตัวถัง กำหนดไว้แล้วว่าเป็น สำนัก ปินินฟารีนา (PINFARINA) ของเมืองมะกะโรนี
ขอหยิบขอยืมรายละเอียดและชิ้นส่วนหลายชิ้น จากรถ ฟอร์ด โฟคัส ตัวถังแฮทช์แบค ซึ่งจะเริ่มออกขายในเดือนมกราคมนี้ แต่ที่ดูแปลกออกไป คือแผงกระจังหน้าซึ่งทำเป็นแถบยาวตามขวางจำนวนห้าแถบ
เมร์เซเดส-เบนซ์ คอมแพคท์ สปอร์ทส์ ทัวเรอร์ วิชัน บี
ค่ายดาวสามแฉก เปิดตัวรถแนวคิดในงานนี้สองคัน คันแรก คือ เมร์เซเดส-เบนซ์ คอมแพคท์ สปอร์ทส์ ทัวเรอร์ วิชัน บี (MERCEDES-BENZ COMPACT SPORTS TOURER VISION B) ที่เห็นอยู่นี้ เป็นต้นแบบของรถตลาด เมร์เซเดส-เบนซ์ บี-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ B-CLASS) ซึ่งจะเปิดตัวที่งานมหกรรมยานยนต์เจนีวาครั้งที่ 75 ต้นเดือนมีนาคม 2005 นี้
เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถห้าที่นั่งขนาดเล็กกะทัดรัด ซึ่งผสมผสานคุณลักษณ์ของรถห้าประตูตรวจการณ์ และรถซาลูนขนาดใหญ่ ไว้ในตัวถังยาวแค่ 4.270 ม. ที่ดัดแปลงจากตัวถังของรถ เมร์เซเดส-เบนซ์ เอ-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ A-CLASS) รุ่นใหม่ซึ่งเพิ่งออกจำหน่ายในยุโรป และไม่มีขายในอเมริกาเหนือ
เป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยพลังจากเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลฉีดตรง 4 สูบเรียง 140 แรงม้า ที่ค่ายดาวสามแฉกเพิ่งออกแบบและพัฒนาขึ้นใหม่ เป็นเครื่องยนต์ที่ประหยัดเชื้อเพลิงเป็นพิเศษ ระยะทาง 100 กม. ใช้เชื้อเพลิงไม่ถึง 6 ลิตร
เมร์เซเดส-เบนซ์ แกรนด์ สปอร์ทส์ ทัวเรอร์ วิชัน อาร์
เมร์เซเดส-เบนซ์ แกรนด์ สปอร์ทส์ ทัวเรอร์ วิชัน อาร์ (MERCEDES-BENZ GRAND SPORTS TOURER VISION R) รถแนวคิดอีกคันหนึ่งที่ค่ายดาวสามแฉกนำออกเปิดตัวในงานนี้ เป็นต้นแบบของรถตลาดอนุกรมใหม่ คือ เมร์เซเดส-เบนซ์ อาร์-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ R-CLASS) ซึ่งมีกำหนดเปิดตัวที่งานมหกรรมยานยนต์นิวยอร์คในสหรัฐอเมริกา เดือนเมษายนนี้
เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถห้าประตู ที่ผสมผสานคุณลักษณ์ของรถอเนกประสงค์ (MPV) และรถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV) ไว้ในตัวถังแบบ 4+2 ที่นั่ง ที่มีห้องโดยสารกว้างขวาง และนั่งยืดแข้งยืดขาได้สบายไม่แพ้รถยนต์นั่งระดับหรูแบบใดๆ และมีรูปทรงองค์เอวคล้ายคลึงกันมากจนแยกแทบไม่ออกกับรถแนวคิด วิชัน บี แต่มีขนาดตัวถังโตกว่ากัน
เป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อ ด้วยพลังจากเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลฉีดตรง วี 6 สูบ 218 แรงม้าที่ออกแบบและพัฒนาขึ้นใหม่ สดๆ ซิงๆ เช่นกัน ส่วนระบบเกียร์ที่ใช้ เป็นเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ 7G-TRONIC
เฟียต อีเดอา ชิงคเวแตร์เร
ยักษ์ใหญ่ของเมืองมะกะโรนี นำรถแนวคิดออกอวดตัวในงานนี้หลายคัน คันแรกที่เลือกมาให้ชม คือ เฟียต อีเดอา ชิงคเวแตร์เร (FIAT IDEA 5TERRE) ที่เห็นอยู่นี้ เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของ SMALL SUV หรือ รถกิจกรรมกลางแจ้งขนาดเล็ก ซึ่งดัดแปลงจากรถตลาดเฟียต อีเดอา (FIAT IDEA) ที่เพิ่งออกจำหน่ายในเมืองมะกะโรนีเมื่อปลายปี 2003 นี่เอง
ชื่อ ชิงคเวแตร์เร ที่นำมาใช้ในรถแนวคิดคันนี้ เป็นพื้นที่ชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งขึ้นชื่อลือชาและเป็นที่รู้จักกันดีของชาวอิตาลีผู้ชื่นชมอาหารเส้น ว่าเป็นดินแดนธรรมชาติที่ปลอดสิ่งแปดเปื้อนมายาวนานหลายศตวรรษ เป็นชื่อที่สะท้อนให้เห็นว่า จุดประสงค์ของรถแนวคิดคันนี้ ไม่เพียงการใช้งานในเมืองเท่านั้น แถมยังเป็นรถที่เป็นมิตรต่อธรรมชาติอีกต่างหาก
ตัวถังซึ่งพัฒนาจากรถรุ่นสามัญแต่มีพื้นรถสูงกว่า มีจุดเด่นสะดุดตาตรงไฟท้ายดวงกลมคู่วางเรียงในแนวตั้ง และตัวถังเคลือบสีทูโทน ส่วนบนเป็นสี RAINBOW GOLD ที่ให้ความรู้สึกในความอบอุ่น ส่วนล่างเป็นสีเทาเข้มมีพื้นผิวเหมือนเม็ดทราย ให้ความรู้สึกในพละกำลัง
เฟียต ปันดา อเลสซี
ผลงานอีกชิ้นหนึ่งของยักษ์ใหญ่เมืองมะกะโรนี ที่เลือกมาให้ชื่นชมกัน คือ เฟียต ปันดา อเลซี (FIAT PANDA ALESSI) ที่เห็นอยู่นี้ เป็นผลงานจากความร่วมมือกับสำนัก ALESSI ผู้ชำนัญการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ห้องครัวของอิตาลี และคาดหมายกันว่า ในปี 2005 นี้ จะเปลี่ยนฐานะจากรถแนวคิดเป็นรถตลาดแน่นอน
ตัวถังห้าประตูทรงสองกล่องขนาดเล็กกะทัดรัด ยาว 3.540 ม. กว้าง 1.580 ม. และสูง 1.590 ม. ดัดแปลงจากรถตลาด เฟียต ปันดา (FIAT PANDA) เจ้าของตำแหน่ง "รถแห่งปี" ประจำปี 2003-2004 โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่า เมื่อมอบรถให้อยู่ในอุ้งมือของนักออกแบบ ที่ไม่เคยทำงานเกี่ยวข้องกับการออกแบบรถยนต์มาก่อนเลย ผลลัพธ์จะเข้าท่าเข้าทางหรือเลวร้ายขนาดไหน ? คำตอบที่ได้รับ น่าจะเป็นอย่างแรก เพราะแค่พิจารณาจากตัวถังภายนอก ก็เห็นได้ชัดว่า การเปลี่ยนแปลงรายละเอียดในหลายๆ จุด เช่น การให้สีของกันชนหน้า/หลังและบังโคลน การออกแบบกระทะล้อขึ้นใหม่ ฯลฯ ทำให้รถดูดีขึ้นเยอะเลย
ปินินฟารีนา นีโด
ปินินฟารีนา ยอดสำนักออกแบบของเมืองมะกะโรนี นำผลงานออกแสดงเป็นครั้งแรกในงานนี้รวมสองชิ้น ชิ้นหนึ่งเป็นรถที่ออกแบบตามแนวคิด SAVING MONEY หรือ "ประหยัดทรัพย์" ส่วนอีกชิ้นหนึ่ง คือ ปินินฟารีนา นีโด (PININFARINA NIDO) ที่อวดโฉมอยู่นี้ ออกแบบตามแนวคิด SAVING LIVES หรือ "ประหยัดชีวิต"
เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถนาครสองที่นั่งขนาดเล็กกระจิ๋วหลิว มีตัวถังยาว 2.890 ม. กว้าง 1.675 ม. และสูง 1.535 ม. ออกแบบโดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความปลอดภัยทั้งความปลอดภัยภายใน คือผู้ขับ/ผู้โดยสาร และความปลอดภัยภายนอก คือคนเดินถนน
ทำได้อย่างไร ? ถ้าจะอธิบายกันอย่างละเอียดลออ คงต้องใช้พื้นที่ไม่น้อยกว่าสามสี่หน้ากระดาษ จึงขอบอกอย่างย่นย่อเพียงว่า รถยนต์นั่งทั่วๆ ไป นิยมออกแบบให้โครงสร้างของตัวถังส่วนที่เรียกกันว่า CRUMPLE ZONE ทำหน้าที่ปกป้องผู้ขับและผู้โดยสารจากแรงกระแทกของการชน ซึ่งวิธีการนี้ไม่เหมาะกับรถตัวถังขนาดเล็กกระจิ๋วหลิวอย่างรถแนวคิดคันนี้เพราะต้องใช้พื้นที่มาก วิธีการอันชาญฉลาดที่ ปินินฟารีนา คิดขึ้นคือ ออกแบบส่วนห้องโดยสารให้มีลักษณะเหมือนไข่เหล็กที่แข็งแรงและไม่ตรึงแน่นอยู่กับที่ แล้วใช้ชิ้นส่วนดูดซับแรงกระแทกซึ่งออกแบบให้สามารถยืดหยุ่นได้เหมือนสปริง แทรกอยู่ตรงกลางระหว่างไข่เหล็กและส่วนหน้าส่วนหลังของตัวรถ เมื่อเกิดแรงกระแทกเนื่องจากการชน ไข่เหล็กหรือห้องโดยสาร ก็จะสามารถขยับเลื่อนไปข้างหน้าข้างหลังตามแรงสปริง โดยที่ผู้ขับและผู้โดยสารไม่เกิดอันตรายแต่อย่างใด
นิสสัน โทน
มีรถแนวคิดพันธุ์ยุ่นหลายคัน ปรากฏตัวที่งานนี้ เลือกมาให้ชมเพียงสองคัน คันแรกคือนิสสัน โทน (NISSAN TONE) ผลงานชิ้นใหม่ล่าสุดของยักษ์รองเมืองปลาดิบ ซึ่งมียักษ์ใหญ่ของเมืองน้ำหอมถือหุ้นอยู่ร้อยละ 36.8
เป็นรถแนวคิดซึ่งเป็นต้นแบบของรถห้าประตูแฮทช์แบคขนาดเล็กกะทัดรัด ที่ยักษ์รองเมืองยุ่นจะนำออกจำหน่ายในตลาดยุโรปในปี 2006 โดยใช้โรงงานซึ่งตั้งอยู่ในเมืองซันเดอร์แลนด์ (SUNDERLAND) ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นโรงงานผลิตรถยนต์ที่มีประสิทธิภาพการผลิตสูงสุดในยุโรป เป็นที่ผลิต เป็นรถที่ออกแบบโดยมีผู้ใช้รถวัยหนุ่มวัยสาวเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย โดยใช้พแลทฟอร์มและชิ้นส่วนหลายชิ้นร่วมกับรถร่วมเครือ คือ เรอโนลต์ โมดุส (RENAULT MODUS) ซึ่งเปิดตัวในงานนี้เช่นกัน
คนของยักษ์รองเมืองยุ่น ยืนยันกับผู้สื่อข่าวในงานนี้ว่า มากกว่าร้อยละ 90 ของสิ่งที่พบเห็นในรถแนวคิดคันนี้ จะถูกนำไปใช้ในรถตลาด รวมทั้งรูปลักษณ์และชิ้นส่วนในห้องโดยสารซึ่งเป็นผลงานรังสรรค์ของนักออกแบบชาวญี่ปุ่นเจ้าของนาม ชู ทากาฮามา (SHU TAKAHAMA)
เลกซัส แอลเอฟ-ซี
ปิดท้ายรายงานข่าวมหกรรมยานยนต์ปารีสครั้งล่าสุดนี้ ด้วยผลงานรถแนวคิดชิ้นล่าสุดของยักษ์ใหญ่เมืองยุ่น คือ เลกซัส แอลเอฟ-ซี (LEXUS LF-C) ซึ่งนักวิจารณ์หลายคนในยุโรปให้ความเห็นตรงกันว่า เป็นรถติดยี่ห้อ เลกซัส รูปทรงองค์เอวชวนมองที่สุดเท่าที่เคยมี
เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถสปอร์ทคูเปสี่ที่นั่ง ที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปโฉมเป็นรถเปิดประทุนแบบทาร์กา (TARGA) หรือโรดสเตอร์ (ROADSTER) ในเวลาชั่วพริบตา ด้วยระบบประทุนแบบแข็งที่ออกแบบโดยสำนัก CALTY DESIGN ซึ่งรู้จักกันดีในยุโรป ตัวถังซึ่งยาว 4.540 ม. กว้าง 1.855 ม. และสูง 1.360 ม. ว่ากันว่า ออกแบบโดยใช้ผิวเว้าและผิวนูนสร้างความรู้สึกในความแข็งแกร่งและนุ่มนวลในเวลาเดียวกัน
เป็นรถขับเคลื่อนล้อหลังด้วยพลังจากเครื่องยนต์ DOHC วี 8 สูบ ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ บังคับควบคุมการทำงานด้วยระบบ DRIVE-BY-WIRE ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งอีกไม่นานก็คงจะเป็นที่คุ้นเคยของผู้ใช้รถ เพราะชักมีให้เห็นกันบ่อยๆ
เรื่องโดย : ชูศักดิ์ ชมจินดา
ภาพโดย : ชูศักดิ์ ชมจินดา/ชลัทชัย ปภัสร์พงษ์ และบริษัทผู้ผลิต
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2548
คอลัมน์ Online : มหกรรมยานยนต์ต่างประเทศ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/52341