มหกรรมยานยนต์ต่างประเทศ
มหกรรมยานยนต์ เจนีวา 2020
งานแสดงรถยนต์รายการใหญ่ แพ้ภัยไวรัสตัวเล็ก ประกาศยกเลิกการจัด ก่อนวันเริ่มงานเพียง 4 วันมหกรรมยานยนต์เจนีวา ซึ่งมีขึ้นเป็นประจำทุกปี เป็นงานแสดงรถยนต์ระดับ “อินเตอร์” ที่ทีมงานของ “สื่อสากล” คุ้นเคยที่สุด เพราะยาวนานกว่า 30 ปีแล้วที่เราเดินทางไปเยือนงานนี้เป็นประจำไม่เคยขาด ปีนี้ก็เช่นกัน เราเตรียมการด้านตั๋วเครื่องบิน และโรงแรมที่พักไว้เรียบร้อยแล้วตั้งแต่ก่อนวันเริ่มปีใหม่ ครั้งนี้คณะทำงาน และผู้สมทบจะมีอยู่รวม 7 ชีวิต ที่พิเศษกว่าทุกปีก็คือ เรากำหนดแผนไว้ว่า หลังเสร็จงานที่เจนีวาทั้งคณะจะเดินทางไปสัมผัสน้ำทะเลที่เมืองนีศ (NICE) ของฝรั่งเศสด้วย การเดินทางจากเจนีวาไปเมืองนี้ทำได้ง่ายมาก คือ ด้วยยานพาหนะติดปีกของสายการบินสวิสส์แอร์ (SWISS AIR) ซึ่งใช้เวลาเพียงชั่วโมงเศษ และค่าโดยสารไม่ถึง 3,000 บาท หลังวันเริ่มปีใหม่ ปัญหาไวรัสตัวร้ายทำให้ต้องตั้งคำถามว่า ปีนี้สมควรเดินทางไปเยือนเมืองนาฬิกาหรือไม่ ? เราปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปเรื่อยๆ จนถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์นั่นแหละจึงมีการตัดสินใจครั้งแรก ว่าจะยังเดินทางตามกำหนดการเดิมแต่จะไม่ไปฝรั่งเศส คือ จะอยู่แต่ในสวิทเซอร์แลนด์ อย่างไรก็ตาม ข่าวคราวเกี่ยวกับการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของไวรัสในยุโรป โดยเฉพาะในภาคเหนือของอิตาลีซึ่งมีพรมแดนติดต่อกับภาคใต้ของสวิทเซอร์-แลนด์ ทำให้หัวหน้าทีมของเรา คือ คุณขวัญชัย ผู้มีชื่อเล่นว่าเปี๊ยก แต่ตัวจริงไม่เปี๊ยก ต้องตัดสินใจอีกครั้งตอนปลายเดือนกุมภาพันธ์ คือ ก่อนวันเริ่มงานไม่ถึงสัปดาห์ ให้ยกเลิกการเดินทางทั้งหมด นับเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาด และเหมือนรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า เพราะ 2-3 วันหลังจากนั้น คือ ในวันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ นั่นเอง ผู้จัดงานก็ประกาศยกเลิกการจัดงานครั้งนี้อย่างเป็นทางการ ตามนโยบายของรัฐบาลสวิสส์ ซึ่งให้ระงับการจัดงานทุกรายการที่มีผู้ร่วมงานมากกว่า 1,000 คน ในคำประกาศล้มเลิกงานที่ว่านี้ มีส่วนหนึ่งที่ระบุไว้อย่างน่าฟังว่า “เราเศร้าเสียใจกับสถานการณ์นี้ แต่สุขภาพความปลอดภัยของผู้ชมงาน คือ สิ่งที่เรา และผู้ร่วมงานของเราทุกราย ถือเป็นความสำคัญอันดับแรก” เสียหายกันถ้วนหน้า ขนาดรายเล็กรายย่อยอย่าง “สื่อสากล” ยังสูญเงินไปหลายแสนบาท เพราะค่าเครื่องบินเรียกคืนได้เพียงบางส่วน และเป็นส่วนน้อย ค่าโรงแรมบางแห่งแจ้งยกเลิกได้แต่บางแห่งต้องจ่ายเต็มแม้ไม่ได้พัก ที่หนักหนาสาหัส คือ ผู้จัดงานและผู้ร่วมงาน ไม่มีตัวเลขชัดเจนว่ามูลค่าความเสียหายโดยรวมสูงขนาดไหน ? ได้ข้อมูลบางส่วนจากนิตยสารรถยนต์ AUTOCAR ของอังกฤษว่า ผู้ผลิตรถยนต์ราย-ใหญ่รายหนึ่งซึ่งไม่ยอมให้เปิดเผย ชื่อ ลงทุนกับงานนี้ 6 ล้านยูโร (ประมาณ 200 ล้านบาทไทย) และได้เงินชดเชยจากผู้จัดนิดเดียว เมื่อไม่มีงานแล้วจะทำข่าวงานได้อย่างไร ? คำตอบก็คือ ก่อนการจัดงานผู้ผลิตรถยนต์แทบทุกรายล้วนบอกกล่าวกันก่อนแล้ว ว่าจะนำรถอะไรบ้างออกอวดตัวในงาน นอกจากนั้นเมื่อต้องล้มเลิกงาน ผู้จัดงาน และผู้ผลิตรถยนต์หลายรายก็คิดหาวิธีแก้เกม โดยการเปิดตัวรถเหล่านั้น ณ ที่ทำการของบริษัท หรือโดยผ่านระบบออนไลน์ด้วยระบบเสมือนจริง อย่างที่เรียกกันในภาษาฝรั่งว่า VIRTUAL PRESENTATION รายงานข่าว มหกรรมยานยนต์ เจนีวา ครั้งนี้ จึงเป็นการเล่าสู่กันฟังว่า จะได้สัมผัสรถอะไรกันบ้าง ? กรณีงานเป็นไปตามกำหนด
RINSPEED METROSNAP
เริ่มรายงานมหกรรมยานยนต์เจนีวาครั้งพิเศษด้วย รินสปีด เมทโรสแนพ (RINSPEED METROSNAP) ผลงานใหม่ของค่าย รินสปีด (RINSPEED) ผู้ชำนาญการด้านรถแนวคิดของเมืองนาฬิกา ซึ่งมีถิ่นฐานที่ทำการอยู่ในเมืองซูริค (ZURICH) และเป็นขาประจำของมหกรรมยานยนต์รายการนี้ เพิ่งปรากฏตัวแบบ WORLD PREMIERE หรือ “ครั้งแรกในโลก” ที่งาน CES (CONSUMER ELECTRONIC SHOW) หรือมหกรรมสินค้าอีเลคทรอนิคเพื่อ ผู้บริโภค ซึ่งมีขึ้นที่เมืองลาสเวกัสในสหรัฐอเมริกาเมื่อต้นเดือนมกราคม 2020 และมีกำหนดฉายซ้ำสองที่งานนี้ เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถใช้งานในเขตเมืองไร้ผู้ขับ ที่เป็นได้ทั้งรถโดยสาร รถจำหน่ายสินค้า และรถรับส่งขนย้ายสิ่งของ ตัวถังทรงกล่องเดียว ขนาด 3.699x1.764x1.800 ม. ซึ่งเป็นผลลัพธ์ของการออกแบบอย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า MODULAR SYSTEM แยกเป็น 2 ส่วนหลัก คือส่วนล่างซึ่งเรียกชื่อในภาษาอังกฤษว่า SKATEBOARD และมีน้ำหนักตัว 690 กก. ทำหน้าที่เป็นส่วนขับเคลื่อน ติดตั้งระบบขับด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าซึ่งให้แรงบิดสูงสุด 57 นิวตัน-เมตร/5.8 กก.-ม. ทำงานร่วมกันกับแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) ขนาด 12.2 กิโลวัตต์ กับส่วนบนซึ่งเรียกชื่อในภาษาอังกฤษว่า POD เป็นส่วนตัวถัง ซึ่งเมื่อออกแบบเพื่อบรรทุกผู้โดยสารรวม 6 คน และติดตั้งเก้าอี้ที่นั่งแบบเดียวกันกับที่นั่งในเครื่องบินโดยสาร โบอิง 737 (BOEING 737) เหมือนที่เห็นในภาพใหญ่ ก็จะมีน้ำหนักตัว 500 กก. แต่เมื่อออกแบบเป็นรถบรรทุกสินค้าน้ำหนักตัวจะเพิ่มขึ้นเป็น 580 กก. การประกอบส่วนตัวถัง และส่วนขับเคลื่อนเข้าด้วยกัน ผู้รังสรรค์ยืนยันว่า ทำได้อย่างรวดเร็วประดุจการขับรถแข่งเข้าไปเปลี่ยนยางในพิท เป็นรถที่วิ่งได้เร็ว 85 กม./ชม. และชาร์จไฟแบทเตอรีแต่ละครั้งจะวิ่งได้ไกลประมาณ 130 กม.AUDI A3 SPORTBACK
ค่าย “สี่ห่วง” ตั้งใจจะใช้งานนี้เป็นที่เปิดตัวรถเก๋งแฮทช์แบคขนาดเล็กกว่าเล็กกะทัดรัด เอาดี เอ 3 สปอร์ทแบค (AUDI A3 SPORTBACK) รุ่นใหม่ (รุ่นที่ 4) ซึ่งเริ่มรับการสั่งจองพร้อมกับการเปิดตัว และจะเริ่มการส่งมอบรถในเดือนพฤษภาคม 2020 มีขนาดตัวถัง 4.340x1.820x1.430 ม. คือ ยาว และสูงใกล้เคียงกันกับตัวถังของรถรุ่นเดิมที่อยู่ในตลาดมาตั้งแต่ปี 2013 แต่ขยายความกว้างกว่า 3 ซม. ผลลัพธ์ คือ ผู้ขับ ผู้โดยสารสามารถขยับไหล่ และข้อศอกได้มากขึ้นอย่างรู้สึกได้ ส่วนตัวถังภายนอกที่หน้าตาดูดีกว่าเดิม มีอุปกรณ์หลายอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อนในรถอนุกรมนี้ ตัวอย่าง คือ ไฟหน้าสำหรับการขับตอนกลางวัน ในระยะแรกจะมีแต่รถขับล้อหน้า และมีเครื่องยนต์ 3 ขนาด คือ เครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดตรง 4 สูบเรียง 1,498 ซีซี 110 กิโลวัตต์/150 แรงม้า กับเครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดตรง 4 สูบเรียง 1,968 ซีซี 85 กิโลวัตต์/116 แรงม้า และ 110 กิโลวัตต์/150 แรงม้าAUDI E-TRON SPORTBACK
เปิดตัวผ่านสื่อต่างๆ พร้อมเริ่มรับการสั่งจองเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนของปีหมูทองน่องลีบ และค่าย “สี่ห่วง” ตั้งใจจะนำออกงานเป็นครั้งแรกที่งานนี้ คือ รถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์ขนาดกลางติดป้ายชื่อ เอาดี อี-ทรอน สปอร์ทแบค (AUDI E-TRON SPORTBACK) รถขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ แบบที่ 2 ของค่ายนี้ ตัวถังขนาด 4.901x1.935x1.618 ม. ซึ่งตั้งใจออกแบบให้นั่งได้รวม 5 คน และมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศที่ต่ำเพียง 0.25 ไม่ใช่ผลงานที่ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด แต่เป็นการนำตัวถังของรถพลังไฟฟ้าแบบแรกที่เริ่มจำหน่ายเมื่อปลายปี 2018 คือ เอาดี อี-ทรอน (AUDI E-TRON) มาปรับเปลี่ยนส่วนท้ายให้มีรูปลักษณ์เหมือนรถคูเป ในระยะแรกจะมีรถให้เลือกเพียง 2 โมเดล คือ AUDI E-TRON SPORTBACK 50 QUATTRO (230 กิโลวัตต์/313 แรงม้า) และ AUDI E-TRON SPORTBACK 55 QUATTRO (265 กิโลวัตต์/360 แรงม้า)PORSCHE 911 TURBO S
ยอดผู้ผลิตรถสปอร์ทเมืองเบียร์ตั้งใจจะใช้งานนี้เป็นที่เปิดตัว โพร์เช 911 เทอร์โบ เอส (PORSCHE 911 TURBO S) รถธงในสายการผลิตของรถ โพร์เช 911 (PORSCHE 911) รุ่นปัจจุบัน ซึ่งเป็นรถรุ่นที่ 8 และมีรหัสโรงงาน 992 เป็นรถสปอร์ทระดับซูเพอร์คาร์ ที่มีตัวถังให้เลือก 2 แบบ คือ ตัวถัง 2 ประตูคูเป 2 ที่นั่ง ขนาด 4.535x1.900x1.303 ม. ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.33 กับตัวถัง 2 ประตูเปิดประทุน 2 ที่นั่ง ขนาด 4.535x1.900x1.301 ม. ซึ่งก็มีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.33 เช่นกัน ทั้ง 2 ตัวถังติดตั้งเครื่องยนต์ไบ-เทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC 6 สูบนอนยัน (บอกเซอร์) 3,745 ซีซี 478 กิโลวัตต์/650 แรงม้า ส่งกำลังสู่ล้อคู่หน้าคู่หลังผ่านเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 8 จังหวะ PDK ที่เพิ่งพัฒนาขึ้นใหม่ ตัวถังคูเป อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 2.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 330 กม./ชม. ส่วนตัวถังเปิดประทุน ตัวเลขอัตราเร่งเพิ่มเป็น 2.8 วินาทีPORSCHE MACAN GTS
รถใหม่อีกแบบหนึ่งที่ค่าย โพร์เช ตั้งใจจะเปิดโอกาสให้ผู้คนได้สัมผัสตัวจริงเสียงไม่จริงเป็นครั้งแรกที่งานนี้ คือ รถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์ขนาดเล็กกะทัดรัดติดป้ายชื่อ โพร์เช มาคัน จีทีเอส (PORSCHE MACAN GTS) รถโมเดลใหม่เพิ่มเติมจากเดิมซึ่งมีอยู่แล้ว 3 โมเดล คือ PORSCHE MACAN (180 กิโลวัตต์/245 แรงม้า) PORSCHE MACAN S (260 กิโลวัตต์/354 แรงม้า) และ PORSCHE MACAN TURBO (324 กิโลวัตต์/440 แรงม้า) รถโมเดลล่าสุดซึ่งค่าตัวรวมภาษีในเยอรมนีเริ่มต้นที่ 77,880 ยูโร หรือประมาณ 2.73 ล้านบาทไทยนี้ ติดตั้งเครื่องยนต์ไบ-เทอร์โบเบนซินฉีดตรง วี 6 สูบ 2,894 ซีซี 280 กิโลวัตต์/380 แรงม้า ส่งกำลังสู่ล้อคู่หน้าคู่หลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 จังหวะ PDK สมรรถนะความเร็วตามตัวเลขของผู้ผลิต อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 4.9 วินาที อัตราเร่ง 0-200 กม./ชม. ทำได้ใน 19.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 261 กม./ชม.BMW CONCEPT I4
ผลงานใหม่ที่ค่าย “ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว” ตั้งใจจะนำออกแสดงที่งานนี้มีทั้งรถแนวคิดและรถตลาด รถแนวคิด ซึ่งมีอยู่เพียงคันเดียว คือ บีเอมดับเบิลยู คอนเซพท์ ไอ 4 (BMW CONCEPT I4) ที่เห็นในภาพใหญ่ และภาพเล็กซ้ายมือ เป็นต้นแบบของรถพลังไฟฟ้าล้วนๆ บีเอมดับเบิลยู ไอ 4 (BMW I4) ที่มีกำหนดเริ่มการผลิตในปี 2021 เพื่อสู้กับรถ เทสลา โมเดล 3 (TESLA MODEL 3) ของสหรัฐอเมริกา โดยใช้โรงงานในเมืองมิวนิคเป็นที่ผลิต เป็นรถขับเคลื่อนทุกล้อซึ่งใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 390 กิโลวัตต์/530 แรงม้า ทำงานร่วมกับแบทเตอรีขนาด 80 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งหนักประมาณ 550 กก. และประจุไฟเต็มแต่ละครั้งรถจะวิ่งได้ไกลถึง 600 กม. เมื่อวัดตามมาตรฐาน WLTP มีโหมดการขับให้เลือก 3 แบบ คือ CORE-SPORT-EFFICIENT ใช้เวลาประมาณ 4.0 วินาทีในการทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. และสามารถทำความเร็วสูงสุดได้สูงกว่า 200 กม./ชม.BMW 330E/BMW 330E XDRIVE
รถตลาดที่ยอดผู้ผลิตรถหรูเมืองเบียร์ตั้งใจจะนำออกแสดงที่งานนี้มีหลายรายการ เลือกที่น่าสนใจที่สุดมารายการเดียว คือ รถ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-3 (BMW 3-SERIES) ซึ่งติดตั้งระบบขับ PLUG-IN HYBRID หรือไฮบริดชนิดต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟที่เห็นในภาพเล็กขวามือ ก่อนหน้านี้รถเก๋งเล็กอนุกรมนี้มีรถไฮบริดชนิดต้องเสียบปลั๊กอยู่แล้ว 1 โมเดล คือ รถซีดาน BMW 330E ซึ่งเป็นรถขับล้อหลัง กรณีงานนี้ไม่เจอพิษไวรัสผู้คนก็จะได้สัมผัสรถใหม่เพิ่มเติมอีก 3 โมเดล คือ รถซีดาน BMW 330E XDRIVE ซึ่งเป็นรถขับทุกล้อ กับรถตรวจการณ์ BMW 330E TOURING ซึ่งเป็นรถขับล้อหน้า และรถตรวจการณ์ BMW 330 E XDRIVE TOURING ซึ่งเป็นรถขับทุกล้อ ทั้ง 3 โมเดลติดตั้งระบบขับซึ่งใช้เครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดตรงขนาด 1,998 ซีซี ทำงานร่วมกันกับมอเตอร์ไฟฟ้า 1 ชุด และระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ได้กำลังสุทธิสูงสุด 215 กิโลวัตต์/292 แรงม้าMERCEDES-AMG E53 4MATIC+
งานนี้ค่าย “ดาวสามแฉก” ไม่มีรถแนวคิด แต่ตั้งใจจะนำรถตลาดรุ่นใหม่ๆ ออกอวดตัวแบบ “ครั้งแรกในโลก” มากมายหลายคัน 2 คันแรกที่เลือกมาบรรจุไว้ในรายงานนี้ คือ เมร์เซเดส-เอเอมจี อี 53 4 เมทิค+ (MERCEDES-AMG E53 4MATIC+) รถหรู รถแรง รถเร็ว ซึ่งเป็นโมเดลหัวกะทิของรถ เมร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ E-CLASS) รุ่นปัจจุบัน (รุ่นที่ 10 รหัสโรงงาน W213) ที่เพิ่งได้รับการปรับปรุงแบบ “ยกหน้า” เมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมานี้เอง รถโมเดลนี้ซึ่งมีทั้งตัวถังซีดาน และตัวถังตรวจการณ์ดังที่เห็นในภาพ ติดตั้งระบบขับเคลื่อนทุกล้อแบบ MILD-HYBRID หรือไฮบริดแบบอ่อน ซึ่งใช้เครื่องยนต์ทวินเทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC 6 สูบเรียง 2,999 ซีซี 320 กิโลวัตต์/435 แรงม้า ทำงานร่วมกันกับมอเตอร์ไฟฟ้าซึ่งช่วยเพิ่มแรงขับ (EQ BOOST) 16 กิโลวัตต์/22 แรงม้า และระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ AMG SPEEDSHIFT TCTMERCEDES-AMG GLA 45 4MATIC+
เปิดตัวผ่านสื่อต่างๆ เมื่อวันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ 2020 และค่าย “ดาวสามแฉก” ตั้งใจจะเปิดโอกาสให้ผู้คนได้สัมผัสตัวจริงเสียงไม่จริงแบบ “ครั้งแรกในโลก” ที่งานนี้ คือ รถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์ขนาดเล็กแต่แรงสุดๆ และเร็วสุดๆ ที่เห็นได้ในภาพขวามือ เป็นหัวกะทิของรถ เมร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลเอ (MERCEDES-BENZ GLA) รุ่นใหม่ ซึ่งเป็นรถรุ่นที่ 2 และเพิ่งเปิดตัวเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน 2019 นี่เอง จะมีรถให้เลือก 2 โมเดล คือ MERCEDES-AMG GLA 45 4MATIC+ กับ MERCEDES-AMG GLA 45 S 4MATIC+ ทั้ง 2 โมเดลติดตั้งเครื่องยนต์ 4 สูบที่ทรงพลังที่สุดของค่ายนี้ กล่าวคือ โมเดลแรกซึ่งจำกัดความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. ติดตั้งเครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,991 ซีซี 285 กิโลวัตต์/387 แรงม้า ส่วนโมเดลหลังซึ่งจำกัดความเร็วสูงสุด 270 กม./ชม. ติดตั้งเครื่องยนต์บลอคเดียวกัน แต่ปรับแต่งจนได้กำลัง 310 กิโลวัตต์/421 แรงม้าMERCEDES-BENZ CLA 250 E
ค่าย “ดาวสามแฉก” ตั้งใจใช้งานนี้เป็นที่เปิดตัวรถ PLUG-IN HYBRID หรือไฮบริดชนิดต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟรวม 3 โมเดล โดย 2 โมเดลแรก คือ รถเก๋งขนาดเล็กกะทัดรัด เมร์เซเดส-เบนซ์ ซีแอลเอ 250 อี (MERCEDES-BENZ CLA 250 E) ซึ่งมีให้เลือกทั้งตัวถังคูเป 4 ที่นั่ง และตัวถังตรวจการณ์ 5 ที่นั่ง ซึ่งมีชื่อเฉพาะว่า ชูทิง เบรค (SHOOTING BRAKE) ทั้ง 2 ตัวถังซึ่งจะเริ่มการจำหน่ายในฤดูใบไม้ผลิของปี 2020 และขณะนี้ยังไม่มีการประกาศค่าตัว ติดตั้งระบบขับล้อหน้าซึ่งใช้เครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,332 ซีซี 118 กิโลวัตต์/160 แรงม้า ทำงานร่วมกันกับมอเตอร์ไฟฟ้า 75 กิโลวัตต์/102 แรงม้า แบทเตอรีลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) ขนาดประมาณ 15.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง และเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 8 จังหวะ ได้กำลังสุทธิสูงสุด 160 กิโลวัตต์/218 แรงม้า และวิ่งด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ได้ไกล 58-69 กม. (มาตรฐาน WLTP)MERCEDES-BENZ GLA 250 E
รถไฮบริดชนิดต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟแบทเตอรีอีกโมเดลหนึ่งที่ค่าย “ดาวสามแฉก” ตั้งใจใช้งานนี้เป็นที่เปิดตัว คือ รถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์ขนาดเล็กกว่าเล็กกะทัดรัดติดป้ายชื่อ เมร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลเอ 250 อี (MERCEDES-BENZ GLA 250 E) ซึ่งก็ต้องรอจนถึงฤดูใบไม้ผลิของปีหนูทองร้องไล่ลุงนี้จึงจะเริ่มการจำหน่ายในเมืองเบียร์ เช่นเดียวกับรถอีก 2 โมเดลที่เพิ่งผ่านตาไป รถโมเดลนี้ติดตั้งระบบขับล้อหน้าซึ่งใช้เครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,332 ซีซี 118 กิโลวัตต์/160 แรงม้า ทำงานร่วมกันกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 75 กิโลวัตต์/102 แรงม้า และแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน ขนาดประมาณ 15.6 กิโลวัตต์ ได้กำลังสุทธิสูงสุด 160 กิโลวัตต์/218 แรงม้า และส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 8 จังหวะ สามารถทำความเร็วสูงสุด 220 กม./ชม. และวิ่งด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ได้ไกล 53-61 กม. เมื่อวัดตามมาตรฐาน WLTPVOLKSWAGEN GOLF GTI/VOLKSWAGEN GOLF GTD/VOLKSWAGEN GOLF GTE
โฟล์คสวาเกน (VOLKSWAGEN) เป็นผู้ผลิตรถยนต์จากเยอรมนีอีกเจ้าหนึ่ง ที่ตั้งใจนำผลงานใหม่เป็นกองทัพ ออกอวดตัวแบบ “ครั้งแรกในโลก” ที่งานนี้ เฉพาะรถเก๋งแฮทช์แบค โฟล์คสวาเกน กอล์ฟ (VOLKSWAGEN GOLF) รุ่นล่าสุดซึ่งเป็นรถรุ่นที่ 8 และเพิ่งเปิดตัวเมื่อปลายปี 2019 ก็มีรถใหม่ถึง 3 โมเดล ที่มีกำหนดปรากฏตัวพร้อมๆ กันในงานนี้ ทุกโมเดลมีคำอธิบายว่ายังไม่ใช่รถที่พร้อมจะออกโชว์รูม แต่เป็น A PRODUCTION-NEAR CONCEPT CAR หรือรถแนวคิดที่ใกล้จะเป็นรถตลาดแล้ว โมเดลแรก (คันสีแดง) คือ โฟล์คสวาเกน กอล์ฟ จีทีไอ (VOLKSWAGEN GOLF GTI) ซึ่งเห็นชื่อโมเดลแล้วคนรักรถคงทราบกันดีว่านี่คือ หัวกะทิของรถเล็กอนุกรมนี้ รถโมเดลนี้ติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 2.0 ลิตร 180 กิโลวัตต์/245 แรงม้า ส่งกำลังสู่ล้อคู่หน้าผ่านระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 จังหวะ DSG โมเดลถัดไป (คันสีเทา) คือ โฟล์คสวาเกน กอล์ฟ จีทีดี (VOLKSWAGEN GOLF GTD) เป็นรถโมเดลพิเศษสำหรับคนรักรถแรงรถเร็ว และนิยมรถดีเซล รถโมเดลนี้ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 4 สูบเรียง 2.0 ลิตร 147 กิโลวัตต์/200 แรงม้า ส่งกำลังสู่ล้อคู่หน้าผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 จังหวะ DSG ไม่มีเกียร์ธรรมดา ส่วนโมเดลสุดท้าย (คันสีขาว) คือ โฟล์คสวาเกน กอล์ฟ จีทีอี (VOLKSWAGEN GOLF GTE) เป็นรถ PLUG-IN HYBRID หรือไฮบริดชนิดต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟแบทเตอรี ซึ่งใช้เครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 1.4 ลิตร 110 กิโลวัตต์/150 แรงม้า ทำงานร่วมกันกับมอเตอร์ไฟฟ้า 85 กิโลวัตต์/115 แรงม้า แบทเตอรีลิเธียม-ไอออน และระบบเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 6 จังหวะ ได้กำลังสุทธิสูงสุด 180 กิโลวัตต์/245 แรงม้า และวิ่งด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ได้ไกลประมาณ 60 กม.VOLKSWAGEN TOUAREG R
มีกำหนดปรากฏตัวแบบ “ครั้งแรกในโลก” ที่งานนี้เช่นกัน คือ โฟล์ค-สวาเกน ตูอเรก อาร์ (VOLKSWAGEN TOUAREG R) รถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์ขนาดใหญ่ที่สุดแรงที่สุด และเร็วที่สุดของยักษ์ใหญ่เมืองเบียร์ รวมทั้งเป็นรถแรงรหัส R แบบแรกในประวัติศาสตร์ของค่ายนี้ที่ติดตั้งระบบขับ PLUG-IN HYBRID หรือไฮบริดชนิดต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟแบทเตอรี เป็นระบบเคลื่อนทุกล้อ (4MOTION) ที่ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC วี 6 สูบ 2,995 ซีซี 250 กิโลวัตต์/340 แรงม้า ทำงานร่วมกันกับมอเตอร์ไฟฟ้า 100 กิโลวัตต์/136 แรงม้า แบทเตอรีลิเธียม-ไอออน ขนาด 14.1 กิโลวัตต์ชั่วโมง และระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ TIPTRONIC ได้กำลังสุทธิสูงสุดที่สูงถึง 340 กิโลวัตต์/462 แรงม้า สามารถทำความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. และวิ่งด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ได้เร็ว 140 กม./ชม. ยังไม่ใช่รถตลาดแต่เป็นรถแนวคิดที่ใกล้จะเป็นรถตลาดเช่นกันVOLKSWAGEN SUV ID.4
ผลงานใหม่อีกชิ้นหนึ่งที่ยักษ์ใหญ่เมืองเบียร์ตั้งใจจะนำออกแสดงแบบ “ครั้งแรกในโลก” ที่งานนี้เช่นกัน คือ โฟล์คสวาเกน เอสยูวี ไอดี.4 (VOLKSWAGEN SUV ID.4) รถแนวคิดซึ่งใกล้จะเป็นรถตลาดอีกแบบหนึ่งของค่ายนี้ เป็นต้นแบบของ ALL-ELECTRIC CROSSOVER SUV หรือรถกิจกรรมกลางแจ้งข้ามพันธุ์พลังไฟฟ้าล้วนๆ ที่มีกำหนดออกตลาดก่อนสิ้นปีหนูทองร้องหาวัคซีน ขณะรายงานข่าวนี้ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลทางเทคนิคที่ชัดเจน บอกแต่เพียงว่า เป็นรถแบบที่ 2 ของค่ายที่ไม่มีการติดตั้งเครื่องยนต์ใดๆ จะมีจำหน่ายทั้งในทวีปยุโรป สหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยติดป้ายชื่อ โฟล์คสวาเกน ไอดี. 4 (VOLKSWAGEN ID.4) เป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้าขนาดเล็กกะทัดรัด ติดตั้งแบทเตอรีแรงดันสูงไว้ตรงกลางใต้พื้นรถ ทำให้รถมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำและทรงตัวดี การชาร์จไฟแบทเตอรีนี้แต่ละครั้งรถจะวิ่งได้ไกลถึง 500 กม.FIAT 500
หากงานนี้ดำเนินไปตามกำหนดเดิม ยักษ์ใหญ่ของเมืองมะกะโรนีตั้งใจจะใช้รถใหม่เพียงแบบเดียวเท่านั้นดึงดูดผู้คนให้หลั่งไหลเข้าสู่บูธ คือ รถ เฟียต 500 (FIAT 500) รุ่นใหม่ ซึ่งนับนิ้วได้ว่าเป็นรถรุ่นที่ 3 เป็นทายาทสายตรงของรถรุ่นดั้งเดิมที่เริ่มจำหน่ายเมื่อ 63 ปีก่อน และรถรุ่นที่ 2 ซึ่งเริ่มเข้าสู่สายการผลิตเมื่อปี 2007 ที่แตกต่างแบบพลิกฝ่ามือกับรถ 2 รุ่นที่ว่าก็คือ รถรุ่นใหม่ซึ่งในช่วงแรกจะมีตัวถังเพียงแบบเดียว คือ ตัวถัง 2 ประตูเปิดประทุน 4 ที่นั่ง ขนาด 3.630x1.690x1.530 ม. อย่างที่เห็นในภาพนั้นจะไม่มีการติดตั้งเครื่องยนต์ใดๆ เพราะเป็นรถขับด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ เป็นระบบขับเคลื่อนล้อหน้าซึ่งใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 87 กิโลวัตต์/118 แรงม้า ทำงานร่วมกันกับแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน ขนาด 42 กิโลวัตต์ชั่วโมง อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 9.0 วินาที ความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 150 กม./ชม. และประจุไฟเต็มแต่ละครั้งรถจะวิ่งได้ไกล 320 กม. (WLTP)ALFA ROMEO GIULIA GTA
ผู้ผลิตรถยนต์ของเมืองมะกะโรนีซึ่งเดือนมิถุนายนนี้จะมีอายุครบ 110 ปี ตั้งใจจะใช้รถแรงรถเร็ว อัลฟา โรเมโอ จูลีอา จีทีเอ (ALFA ROMEO GIULIA GTA) ซึ่งมีกำหนดปรากฏตัวแบบ “ครั้งแรกในโลก” ที่งานนี้ เป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้คนเข้าสู่บูธ เป็นรถธงคันใหม่ที่จำกัดจำนวนผลิตไว้เพียง 500 คัน และไม่ใช่รถที่ทำใหม่ทั้งหมด แต่พัฒนาต่อยอดมาอีกทอดหนึ่งจากรถธงคันเดิม คือ อัลฟา โรเมโอ จูลีอา กวาดริโฟกลีโอ (ALFA ROMEO GIULIA QUADRIFOGLIO) ซึ่งเริ่มจำหน่ายเมื่อกลางปี 2016 มีการปรับเปลี่ยนในหลายจุดทั้งในส่วนของตัวถังและเครื่องยนต์กลไก ขุมพลังที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ฝากระโปรงหน้ายังเป็นเครื่องทวินเทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC วี 6 สูบ 2,891 ซีซี บลอคเดิม แต่ปรับแต่งจนกำลังสูงสุดพุ่งจาก 510 เป็น 540 แรงม้า ซึ่งไม่เคยพบกันมาก่อนในรถตลาดแบบใดๆ ของค่ายนี้ เป็นรถแรงที่ใช้เวลาเพียง 3.6 วินาที ในการทำ 0-100 กม./ชม.POLESTAR PRECEPT
โพลสตาร์ (POLESTAR) ผู้ผลิตรถพลังไฟฟ้าซึ่งเพิ่งแตกตัวจากบริษัทแม่ คือ โวลโว (VOLVO) ออกข่าวก่อนวันประกาศล้มเลิกงานว่า จะใช้งานนี้เป็นที่เปิดตัว โพลสตาร์ พรีเซพท์ (POLESTAR PRECEPT) รถแนวคิดซึ่งเป็นแม่แบบของรถเก๋งซีดานรุ่นใหม่ ที่อีกไม่นานจะออกสู่ตลาดพร้อมกับป้ายชื่อ โพลสตาร์ 3 (POLESTAR 3) เป็นรถ 4 ประตู 4 ที่นั่ง ที่ยาวเกือบ 5 เมตร และเป็นรถขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ที่ผู้รังสรรค์ยังไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลใดๆ ของระบบขับ แต่ให้รายละเอียดมากมายเกี่ยวกับตัวถังทั้งภายนอกและภายใน ตัวอย่างเช่น การแทนที่กระจกมองข้างทั้ง 2 ด้านด้วยกล้องวีดีโอ การแทนที่แผงกระจังหน้าด้วย SMARTZONE ซึ่งเป็นการนำอุปกรณ์สำคัญต่างๆ คือ เซนเซอร์ กล้องถ่ายภาพ และอุปกรณ์ช่วยขับนานาชนิดมารวมไว้ในบริเวณเดียวกัน และการบุเก้าอี้ที่นั่งและผนังภายในห้องโดยสารด้วยวัสดุซึ่งได้จากการรีไซเคิลขวดพลาสติค PETDS 9
เดแอส (DS) ผู้ผลิตรถยนต์เมืองน้ำหอมที่แตกตัวจากค่าย ซีตรอง (CITROEN) เมื่อกลางปี 2014 ออกข่าวยืนยัน 5 วันก่อนวันประกาศล้มเลิกงานว่าจะนำทั้งรถตลาด และรถแนวคิดออกแสดงแบบ “ครั้งแรกในโลก” ที่งานนี้ รถตลาดซึ่งต้องรอจนถึงครึ่งหลังของปี 2020 จึงจะเริ่มการจำหน่าย คือ รถติดป้ายชื่อ เดแอส 9 (DS 9) ซึ่งเป็นรถเก๋งขนาดใหญ่ที่สุดในสายการผลิต (ยาว 4.930 ม. และกว้าง 1.850 ม.) และเป็นรถที่ค่ายนี้ตั้งใจจะนำออกขายทั่วโลก โดยใช้โรงงานในสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นฐานการผลิต จะมีทั้งรถขับเคลื่อนล้อหน้ารถขับเคลื่อนทุกล้อ และมีระบบขับให้เลือกรวม 3 แบบ คือ ระบบขับล้อหน้าซึ่งให้กำลังรวมสุทธิ 165 กิโลวัตต์/225 แรงม้า หรือ 184 กิโลวัตต์/250 แรงม้า กับระบบขับทุกล้อซึ่งให้กำลังรวมสุทธิ 265 กิโลวัตต์/360 แรงม้า ทุกแบบเป็น PLUG-IN HYBRID หรือระบบขับไฮบริดชนิดต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟแบทเตอรีDS AERO SPORT LOUNGE
รถแนวคิดที่ค่าย เดแอส (DS) ประกาศว่าจะนำออกแสดงแบบ “ครั้งแรกในโลก” ที่งานนี้ คือ เดแอส แอโร สปอร์ท เลาจ์น์ (DS AERO SPORT LOUNGE) ที่เห็นใน 3 ภาพล่าง เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถกิจกรรมกลางแจ้งยาว 5.00 ม. ที่ตัวถังส่วนท้ายมีรูปลักษณ์เหมือนรถคูเป ติดตั้งระบบขับด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ซึ่งออกแบบ/พัฒนาด้วยเทคโนโลยีที่ค่ายนี้ใช้มาก่อนแล้วในรถแข่งที่นั่งเดี่ยวพลังไฟฟ้า FORMULA E เป็นระบบที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 500 กิโลวัตต์/680 แรงม้า ทำงานร่วมกันกับแบทเตอรีขนาด 110 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งติดตั้งอยู่กับพื้นรถ การประจุไฟเต็มแต่ละครั้งรถจะวิ่งได้ไกลกว่า 650 กม. นับเป็นรถ เอสยูวี ยุคอนาคตที่แรงสุดๆ และเร็วสุดๆ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ในเวลาแค่ 2.8 วินาที ที่น่าสนใจไม่แพ้ระบบขับแต่ไม่มีเนื้อที่เพียงพอสำหรับคำอธิบาย คือ การลดพื้นที่ของแผงหน้าปัดอุปกรณ์โดยใช้ระบบควบคุมอัจฉริยะด้วยเสียงพูดRENAULT MORPHOZ
เรอโนลต์ (RENAULT) ยักษ์ใหญ่ของเมืองน้ำหอมเป็นผู้ผลิตรถยนต์อีกรายหนึ่ง ซึ่งตั้งใจยกกองทัพรถใหม่ออกแสดง “ครั้งแรกในโลก” ที่งานนี้ แถมบอกด้วยว่าจะมีทั้งรถตลาดและรถแนวคิด รถแนวคิดซึ่งมีอยู่เพียงคันเดียว คือ เรอโนลต์ โมร์โฟซ (RENAULT MORPHOZ) ที่เห็นทั้งในภาพใหญ่ และภาพเล็กซ้ายมือ เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถพลังไฟฟ้าคันเดียวที่เป็นได้ทั้งรถเพื่อการใช้งานในเมือง และรถเดินทางไกล รวมทั้งเป็นแม่แบบของรถกิจกรรมกลางแจ้งพลังไฟฟ้าล้วนๆ อนุกรมใหม่ที่อีกไม่นานจนเกินรอค่ายนี้จะนำออกสู่ตลาด ตัวถังขนาด 4.000x2.000x1.550 ม. ที่หน้าตา และรูปทรงไม่คล้ายคลึงกันเลยกับรถแบบใดๆ ที่มีขายขณะนี้ มีคุณลักษณะพิเศษ และพิสดารซึ่งก็ไม่เหมือนกันเลยกับยานพาหนะติดล้อคันใดในโลกใบนี้ คือ ตัวถังซึ่งออกแบบด้วยเทคโนโลยีการออกแบบปีกเครื่องบินสามารถยืดความยาวจาก 4.000 เป็น 4.800 ม. ได้เมื่อต้องการRENAULT TWINGO ZE
รถตลาดขนาดเล็กสุดที่ยักษ์ใหญ่เมืองน้ำหอมตั้งใจจะเปิดโอกาสให้ผู้คนสัมผัสตัวจริงเป็นครั้งแรกที่งานนี้ คือ เรอโนลต์ ทวิงโก เซดอี (RENAULT TWINGO ZE) รถเก๋งแฮทช์แบค 5 ประตู 4 ที่นั่ง ซึ่งต้องจนถึงปลายปี 2020 นั่นแหละจึงจะเริ่มการจำหน่าย มีขนาดตัวถัง 3.615x1.646x1.541 ม. เท่ากันทุกประการกับรถอนุกรมเดียวกันโมเดลอื่นๆ ที่ไม่เหมือนก็คือ ไม่มีการติดตั้งเครื่องยนต์ขนาดใดๆ แต่แทนที่ด้วยระบบขับซึ่งใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 60 กิโลวัตต์/81 แรงม้า ทำงานร่วมกับแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) ขนาด 21.3 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งหนัก 165 กก. เป็นรถเล็ก และประหยัด มีอัตราสิ้นเปลืองพลังไฟฟ้าเพียง 0.163 กิโลวัตต์ชั่วโมง/กม. โดยเฉลี่ย ชาร์จไฟเต็มแต่ละครั้งด้วยไฟบ้านโดยใช้เวลา 13.5 ชม. หรือด้วยอุปกรณ์ชาร์จไฟติดผนัง (WALLBOX) ขนาด 32 แอมพ์ 3 เฟส โดยใช้เวลา 4 ชม. รถจึงวิ่งได้ไกลถึง 180 กม. เมื่อวัดตามมาตรฐาน WLTPRENAULT CLIO E-TECH/RENAULT CAPTURE E-TECH PLUG-IN/RENAULT MEGANE E-TECH PLUG-IN
ยักษ์ใหญ่เมืองน้ำหอมตั้งใจนำรถไฮบริดรหัส E-TECH ออกอวดตัวแบบ “ครั้งแรกในโลก” พร้อมกันทั้ง 3 อนุกรม คือ รถเก๋งแฮทช์แบคขนาดเล็กกว่าเล็กกะทัดรัด เรอโนลต์ กลีโอ (RENAULT CLIO) รถกิจกรรมกลางแจ้งขนาดเล็กกว่าเล็กกะทัดรัด เรอโนลต์ กัปตีร์ (RENAULT CAPTUR) และรถเก๋งแฮทช์แบคขนาดกะทัดรัด เรอโนลต์ เมกาน (RENAULT MEGANE) ภาพใหญ่คันซ้ายมือ คือ เรอโนลต์ กลีโอ อี-เทค (RENAULT CLIO E-TECH) ติดตั้งระบบขับไฮบริดชนิดไม่ต้องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ ซึ่งใช้เครื่องยนต์เบนซินทำงานร่วมกันกับมอเตอร์ไฟฟ้า และแบทเตอรีขนาด 1.2 กิโลวัตต์ชั่วโมง ได้กำลังสุทธิสูงสุด 103 กิโลวัตต์/140 แรงม้ามีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่เยี่ยมยอดมาก คือ แค่ 4.5 ลิตร/100 กม. หรือ 22.2 กม./ลิตร และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ไม่ถึง 100 กรัม/กม. โดยเฉลี่ย เมื่อวัดตามมาตรฐานใหม่ของนานาชาติ คือ WLTP ภาพใหญ่คันกลาง และภาพเล็กซ้ายมือ คือ เรอโนลต์ กัปตีร์ อี-เทค พลัก-อิน (RENAULT CAPTUR E-TECH PLUG-IN) ติดตั้งระบบขับไฮบริดชนิดต้องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟแบทเตอรี ซึ่งใช้เครื่องยนต์เบนซินทำงานร่วมกันกับมอเตอร์ไฟฟ้า และแบทเตอรีขนาด 9.8 กิโลวัตต์ชั่วโมง ได้กำลังสุทธิสูงสุด 118 กิโลวัตต์/160 แรงม้า เมื่อวิ่งด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ จะวิ่งได้ไกล 50 กม. (WLTP) และทำความเร็วสูงสุด 135 กม./ชม. ภาพใหญ่คันขวามือ และภาพเล็กขวามือ คือ เรอโนลต์ เมกาน อี-เทค พลัก-อิน (RENAULT MEGANE E-TECH PLUG-IN) ก็ติดตั้งระบบขับไฮบริดชนิดต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟแบทเตอรีซึ่งให้กำลังสุทธิสูงสุด 118 กิโลวัตต์/160 แรงม้า เช่นกัน ระยะทางและความเร็วสูงสุดที่ทำได้เมื่อวิ่งด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ และวัดตามมาตรฐาน WLTP ก็เป็นตัวเลขเดียวกัน คือ 50 กม. และ 135 กม./ชม.BUGATTI CHIRON PUR SPORT
ค่าย บูกัตตี (BUGATTI) ซึ่งงานอื่นไม่ค่อยออก นิยมชมชอบแต่งานในเมืองสวิสส์ ตั้งใจใช้งานนี้เป็นที่เปิดตัวรถสปอร์ทไฮเพอร์คาร์ บูกัตตี ชีรน เปอร์ สปอร์ท (BUGATTI CHIRON PUR SPORT) รถโมเดลพิเศษจึงจะเริ่มการผลิต (ด้วยมือ) ในช่วงครึ่งหลังของปี 2020 โดยจำกัดจำนวนผลิตไว้เพียง 60 คัน และตั้งค่าตัวยังไม่รวมภาษีไว้สูงลิบถึง 3 ล้านยูโร หรือประมาณ 105 ล้านบาทไทย ไม่ใช่รถที่ออกแบบ/พัฒนาขึ้นใหม่ทั้งหมด แต่เป็นผลลัพธ์จากการนำรถโมเดลหลักที่มีอยู่ก่อนแล้ว คือ บูกัตตี ชีรน (BUGATTI CHIRON) มาปรับเปลี่ยนรายละเอียดในหลายจุดทั้งในส่วนของตัวถัง และกลไก ตัวอย่าง คือ กระทะล้อแมกนีเซียมที่เบาลงถึง 4 กก. และระบบเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 จังหวะที่ปรับอัตราทดอัตราใหม่ ส่วนเครื่องยนต์ยังใช้บลอคเดิม คือ เครื่องควาดราเทอร์โบเบนซิน DOHC ดับเบิลยู 16 สูบ 7,993 ซีซี 1,103 กิโลวัตต์/1,500 แรงม้า วางเครื่องกลางลำBENTLEY MULLINER BACALAR
เบนท์ลีย์ (BENTLEY) บริษัทรถยนต์สัญชาติอังกฤษซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ผลิตรถยนต์ในเครือข่ายของ โฟล์คสวาเกน กรุพ (VOLKSWAGEN GROUP) ตั้งใจออกแบบ/ก่อสร้างพื้นที่อย่างยิ่งใหญ่กว่าครั้งก่อนๆ เพื่อใช้เป็นเวทีต้อนรับสำหรับ เบนท์ลีย์ มัลลิเนอร์ บาคาลาร์ (BENTLEY MULLINER BACALAR) ซึ่งมีกำหนดอวดตัว “ครั้งแรกในโลก” ที่งานนี้ เป็นรถเปิดประทุน 2 ที่นั่ง ที่ตั้งค่าตัวไว้สุดโหด คือ 1.5 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 60 ล้านบาทไทย จะจำกัดจำนวนผลิตไว้เพียง 12 คัน และทุกคันมีผู้จับจองไว้หมดแล้ว เป็นรถผลิตด้วยมือที่ออกแบบตัวถังขึ้นใหม่ทั้งหมด และมีชิ้นส่วนอยู่ 2 รายการเท่านั้นที่ได้จากรถซึ่งมีอยู่ก่อนแล้วในสายการผลิต คือ ที่จับเปิดประตู และฝาหุ้มศูนย์กลางพวงมาลัย ส่วนเครื่องยนต์ที่ใช้เป็นเครื่องทวินเทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC ดับเบิลยู 12 สูบ 5,950 ซีซี ซึ่งก็มีอยู่ก่อนแล้ว แต่ปรับแต่งใหม่จนกำลังสูงสุดพุ่งจาก 635 เป็น 659 แรงม้าASTON MARTIN V12 SPEEDSTER
ยอดผู้ผลิตรถสปอร์ท และรถหรูของเมืองผู้ดี ตั้งใจจะนำรถใหม่ 2 แบบ ออกอวดตัว “ครั้งแรกในโลก” ที่งานนี้ คือ รถเปิดประทุน แอสตัน มาร์ทิน วานเทจ โวลันเต (ASTON MARTIN VANTAGE VOLANTE) ซึ่งบรรจุไว้ก่อนแล้วใน “ระเบียงรถใหม่” เดือนเมษายน 2020 กับรถไร้หลังคาไม่มีประตูและกระจกหน้า แอสตัน มาร์ทิน วี 12 สปีดสเตอร์ (ASTON MARTIN V12 SPEEDSTER) ที่กำลังอวดโฉมอยู่นี้ เป็นรถโมเดลพิเศษที่เปิดรับการสั่งจองแล้ว แต่ต้องรอจนไตรมาสแรกปี 2021 จึงจะเริ่มการส่งมอบ จำกัดจำนวนผลิตไว้เพียง 88 คัน และกำหนดค่าตัวไว้ที่ 765,000 ปอนด์ หรือประมาณ 30.6 ล้านบาทไทย รถแรงสุดๆ และเร็วสุดๆ โมเดลนี้ ติดตั้งเครื่องยนต์ทวินเทอร์โบเบนซิน DOHC วี 12 สูบ 5,204 ซีซี 700 แรงม้า ส่งกำลังสู่ล้อคู่หลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ZF อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาแค่ 3.5 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 300 กม./ชม.McLAREN 765LT
รถสปอร์ทสายพันธุ์ผู้ดีอีกแบบหนึ่ง ที่ผู้ผลิตตั้งใจจะนำออกอวดตัว “ครั้งแรกในโลก” ที่งานนี้ แต่หมดสิทธิ์ทำเพราะพิษไวรัสตัวเล็กๆ คือ รถ สปอร์ทประตูปีกนกติดป้ายชื่อ แมคลาเรน 765 แอลที (McLAREN 765LT) ผลงานชิ้นใหม่ล่าสุดของยอดผู้ผลิตรถสปอร์ทเมืองอังกฤษ ที่โด่งดังมาก่อน และนมนานในวงการแข่งรถ นับเป็นรถธงในสายการผลิตรถซูเพอร์ซีรีส์ (SUPER SERIES) ของค่ายนี้ และเป็นรถที่จะจำกัดจำนวนผลิตไว้เพียง 765 คันตามชื่อรุ่น รถซึ่งมีขนาดตัวถัง 4.600x1.930x1.157 ม. และมีน้ำหนักรถเปล่า 1,229 กก. โมเดลนี้ ติดตั้งเครื่องยนต์ทวินเทอร์โบเบนซิน DOHC วี 8 สูบ 3,994 ซีซี 563 กิโลวัตต์/765 แรงม้า วางเครื่องกลางลำ/ตามยาว และส่งกำลังสู่ล้อคู่หลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 จังหวะ นับเป็นรถ สปอร์ทเลือดผู้ดีที่แรงสุดสุด และเร็วสุดสุดอีกโมเดลหนึ่ง อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาเพียง 2.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 330 กม./ชม.HYUNDAI PROPHECY
ปิดรายงานมหกรรมยานยนต์เจนีวาครั้งที่ 90 ซึ่งเห็นได้แต่ในฝัน ด้วยผลงานของยักษ์ใหญ่เมืองโสม คือ ฮันเด พโรเฟซี (HYUNDAI PROPHECY) ซึ่งก็เป็นรถใหม่อีกคันหนึ่งซึ่งมีกำหนดเปิดตัว “ครั้งแรกในโลก” ที่งานนี้ แล้วที่สุดก็ไม่ได้เปิด เป็นรถแนวคิดที่ค่ายนี้รังสรรค์ขึ้น เพื่อให้ผู้คนตระหนักว่าจะคาดหวังอะไรได้บ้าง ? จากรถพลังไฟฟ้าล้วนๆ ติดป้ายชื่อ ฮันเด (HYUNDAI) ที่จะออกสู่ตลาดในอนาคต ตัวถังซึ่งมีรูปลักษณ์ตามสมัยนิยม คือ มีประตูข้างที่เปิดแยกจากกันโดยไม่มีเสาค้ำยันกลางอย่างที่เห็นในภาพ เป็นผลลัพธ์ของการออกแบบที่มุ่งเน้นเป็นพิเศษในด้านประสิทธิภาพทางอากาศพลศาสตร์ มีเส้นหลังคาที่ลาดเอียง และไม่มีจุดสะดุด มีช่วงยื่นหน้า และช่วงยื่นหลังสั้นเป็นพิเศษ กับมีกระทะล้อที่ออกแบบเหมือนใบพัดเพื่อผลลัพธ์ในการนำกระแสอากาศเข้าสู่ด้านข้างของตัวถัง ที่น่าเสียดาย คือ ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดทางเทคนิคใดๆ ของระบบขับABOUT THE AUTHOR
ช
ชูศักดิ์ ชมจินดา
ภาพโดย : บริษัทผู้ผลิตนิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2563
คอลัมน์ Online : มหกรรมยานยนต์ต่างประเทศ
คำค้นหา